จั๋วซือหรานรู้สึกว่านางค่อนข้างเข้าใจหลักการของหนอนพิษกู่นี้เส้นใยเหล่านี้ที่พองตัวขึ้นอย่างกะทันหันเป็นวิธีที่ใช้ในการควบคุมการกระทำของเฟิงจู๋และคนอื่น ๆดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บที่ข้อต่อของแขนขา แต่พวกเขาก็ไม่สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวแต่พวกเขายังคงสามารถเคลื่อนไหว เพียงเพราะเส้นใยเหล่านี้กำลังดึงร่างกายของพวกเขา เหมือนหุ่นเชิด...เหมือนผู้ที่ถูกควบคุมเพียงเพราะหนอนพิษกู่ตัวนี้ไม่แข็งแรงพอ พลังของเส้นใยเหล่านั้นจึงไม่เพียงพอที่จะควบคุมแขนขาของพวกมันได้อย่างแม่นยำและพิถีพิถันดังนั้นเมื่อเฟิงช่าน เฟิงจู๋และคนอื่น ๆ ถูกควบคุม การเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงดูกระตุกและแข็งทื่อมากหากมันเป็นหนอนพิษกู่ที่แข็งแกร่งพอ...จั๋วซือหรานบอกการคาดเดาของนางให้เฟิงเหยียนและผู้อาวุโสฟังผู้อาวุโสทุกคนต่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้“ แม่นางจิ่ว เจ้าหมายถึง...เจ้าหมายถึง...”จั๋วซือหรานเหลือบมอง 'ขนมชาม' ที่อยู่ในมือของนาง "ข้าคิดว่าหากมันเป็นหนอนพิษกู่ที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ มันจะสามารถควบคุมร่างกายของเฟิงจู๋ เฟิงช่านและคนอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่ การเคลื่อนไหวของพวกเขาคล่องแคล่วมา
ก่อนที่เหล่าผู้อาวุโสเดินออกจากตำหนักใต้ดิน พวกเขาทั้งหมดมองจั๋วซือหรานด้วยสายตาที่ซับซ้อนมากแม้ว่าพวกเขามีอายุมากกว่านางหลายปีก็ตาม แต่พวกเขายังต้องยอมรับว่า ผู้หญิงคนนี้ทำตามที่นางพูดจริง ๆก่อนที่พวกเขาเดินออกจากตำหนักใต้ดิน จั๋วซือหราน กล่าวว่า "ใช่แล้ว ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องปรึกษากับผู้อาวุโส"ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสปฏิบัติต่อจั๋วซือหรานอย่างมีมารยาทที่พอสมควรดังนั้นเราต้องยอมรับว่า บางครั้งหากเราต้องการได้รับความเคารพจากผู้อื่น เราต้องชิงความเคารพนั้นด้วยความแข็งแกร่งและความสามารถของตัวเอง“ เชิญแม่นางจิ่วพูด” เหล่าผู้อาวุโสกล่าว“วางศพของสามคนนี้ไว้ที่นี่ มีแต่จะเพิ่มความเสี่ยง ให้ข้าจัดการจะดีกว่าไหม” จั๋วซือหรานแนะนำเหล่าผู้อาวุโสตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่จั๋วซือหราน พูดถึงคือร่างศพสามคนนั้นที่แม่กู่อาศัยเหล่าผู้อาวุโสลังเลเล็กน้อย ดูเหมือนพวกเขาตัดสินใจลำบาก“ แม่นางจิ่ว ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากสัให้เจ้า เพียงแต่...”จั๋วซือหรานพยักหน้าเมื่อนางได้ยินคำพูดของพวกเขา นางพูดว่า "ข้าเข้าใจความกังวลของพวกเจ้า เพราะต้องรีบนำคนที่เสียชีวิตไปฝัง พวกเขาจะไปขึ้นสวรรค์อย่างม
คนรับใช้ที่อยู่ด้านข้างถามด้วยความเคารพ " เจ้าหุบเขา กำลังพูดถึงแม่กู่เส้นไหมที่ท่านปรับแต่งมาก่อนและจัดเตรียมส่งไปยังแคว้นชางหรือ"“ใช่” เสียงอันมีเสน่ห์นั้นตอบเบา ๆ “มันเป็นเพียงหนอนที่ปรับแต่งไม่สำเร็จ ทางนั้นต้องการ ข้าเลยเอาให้พวกเขา”“ตายแล้วหรือ” คนรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างถามแม้ว่าในเวลานั้น พวกเขาเอาหินนำทางให้ทางนั้นแล้ว จากการเปลี่ยนแปลงของหินน้ำทาง ผู้ที่ถือหินนำทางสามารถรับรู้ได้ว่าแม่กู่ตายหรือไม่แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหุบเขาในฐานะที่เป็นผู้ปรับแต่งแม่กู่เหล่านั้นยังคงมีความสามารถระดับหนึ่งที่รับรู้การเปลี่ยนแปลงของแม่กู่เพราะเวลากลั่นพิษกู่ในระดับนี้ ต้องใช้เลือดของหัวใจดังนั้นการตอบสนองที่ผู้กลั่นมีต่อหนอนพิษกู่ไม่เหมือนหินนำทางที่รับรู้แค่ว่าหนอนกู่นั้นตายหรือไม่ ผู้กลั่นรับรู้ถึงละเอียดมากกว่า“มันยังไม่ตาย” ชายผู้มีดวงตาสองสีที่ถูกเรียกว่า เจ้าหุบเขา พูด “บางทีมันอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่า”“เช่นนั้นทางเราต้องการส่งข้อความถึงแคว้นชางหรือไม่” คนรับใช้ถามชายผู้มีดวงตาสองสีคิดอยู่ครู่หนึ่ง รูปลักษณ์และลักษณะใบหน้าของเขาดูมิติมาก เผยให้เห็นลักษณะของคนต่างแดน เขายิ้ม
เด็กผู้หญิงบนที่นั่งไม่พูดอะไร และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางจึงพูดเบา ๆ “มันยังไม่ตาย มันแค่หรี่ลงนิดหน่อย บางที... ตัวถูดแม่กู่อาศัยตายแล้ว”เจาหมิ่นยิ้มและพูดอย่างเย็นชา "อย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นพรสวรรค์ที่โดดเด่นของตระกูลเฟิง แต่ตระกูลเฟิงละทิ้งพวกเขาโดยไม่ลังเลใด ๆ ช่างเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองหลวงของแคว้นชางอย่างแท้จริง"“ถ้าอย่างนั้น... ตอนนี้องค์หญิงจะไปเยี่ยมจวนของตระกูลเฟิงหรือไม่” หนึ่งในนั้นถามอีกครั้งเจาหมิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มอย่างไร้ความอบอุ่น “อย่ากังวล รออีกสักสองสามวัน หากตัวที่ถูกแม่กู่อาศัยตาย เช่นนั้นเรารอให้แม่กู่ระเบิด เมื่ออาคมหนอนพิษกู่ถูกแพร่กระจายร้ายแรงในจวนของตระกูลเฟิงแล้ว ถึงเวลานั้น ข้าค่อยเสนอตัวล้างพิษให้พวกเขา จากนั้นพวกเขายิ่งขอบคุณข้า”......ในจวนเฟิง บรรยากาศเคร่งขรึมและเงียบอย่างมากผู้พิทักษ์เงาของเฟิงเหยียนได้กลับมาถึงจวนเฟิงกันแล้ว และตอนนี้พวกเขารวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของหอพักของเฟิงเหยียน“ท่านสั่งพวกข้าเลยขอรับ”ผู้พิทักษ์เงาทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีดำและมีอารมณ์ที่น่าเกรงขาม พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกทีละคน
หลังจากสั่งงานผู้พิทักษ์เงาเสร็จแล้ว เฟิงเหยียนเรียกพ่อดูแลเรื่องต่าง ๆ ของจวนของตระกูลเฟิง เขาสั่งงานอย่างอื่นแก่พ่อดูแลกิจกรรมของจวนเฟิงเมื่อสั่งงานเสร็จเฟิงเหยียนจึงเหลือบมองฉูนจวีน “ จั๋วเสียวจิ่วอยู่ที่ไหน”“แม่นางน่าจะกำลังทานข้าวอยู่กระมัง” ฉูนจวีนตอบ เขารู้สึกหมดคำพูดเล็กน้อยเพราะจะคิดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ที่ช่วยตระกูลเฟิงพ้นตัวออกจากวิกฤติในเหตุการณ์นี้หลังจากนางแก้ไขวิกฤติต่าง ๆ เหล่านั้นและจัดการทุกเรื่องเสร็จเมื่อนางเดินออกจากตำหนักใต้ดิน เหล่าผู้อาวุโสถามนางว่า พวกเขาสามารถทำอะไรให้นางได้บ้างสิ่งที่นางพูดคือ...“ข้าหิว ข้าอยากกินของอร่อย ๆ ”จากนั้นเหล่าผู้อาวุโสรีบออกคำสั่งและเตรียมอาหารให้นางอย่างรวดเร็วฉูนจวีนกล่าวต่อ "แค่ดูเหมือนว่า แม่นางจิ่วไม่ค่อยพอใจกับอาหารที่จวนเราเตรียมให้แม่นาง"เดิมทีเฟิงเหยียนอาจจะไม่เข้าใจ แต่เฟิงเหยียนเคยลิ้มรสทักษะการทำอาหารของนางแล้วดังนั้นเขาไม่แปลกใจเลยที่จั๋วซือหรานอาจจะไม่ชอบอาหารของจวนเขา "พ่อครัวของจวนเราทำอาหารพอใช้ได้จริง ๆ นางค่อนข้างจู้จี้จุกจิกกับอาหารการกิน นางไม่ชอบกับข้าวในจวนเรา นั่นเป็นเรื่องธรรมดา"เมื่
นี่คือเหตุผลที่ฉูนจวีนค่อนข้างตกใจจั๋วซือหรานจะไม่เห็นความตกใจของเขาได้อย่างไร นางยิ้มและพูด "พวกเจ้าไม่มีความรู้สึกเลยใช่ไหม"“ข้าไม่ได้สังเกตขอรับ ส่วนเจ้านาย…” ฉูนจวีนไม่แน่ใจจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงมองไปที่เฟิงเหยียนเฟิงเหยียนส่ายหัวแล้วพูดว่า "ข้าไม่สังเกตเลย"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จั๋วซือหรานยิ้มและพูด "เป็นเรื่องปกติที่พวกเจ้าไม่สังเกต"“จะปกติได้อย่างไร” เฟิงเหยียนมองนางจั๋วซือหรานกล่าวว่า "มันพิสูจน์ให้เห็นว่าข้ามีความเชี่ยวชาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการใช้พลังวิเศษ และ..."นางจ้องเข้าไปในดวงตาของเฟิงเหยียน แล้วพูดว่า "ข้าได้รับพลังวิเศษมากมายจากท่านอ๋อง"ทันทีที่นางพูดถึงเรื่องนี้ สมองของเฟิงเหยียนก็นึกย้อนไปถึงตอนที่เขายังอยู่ในตำหนักใต้ดินเขาจูบกับนางอย่างเร่าร้อนภายใต้สายตาของผู้อาวุโสหลายคน...“แค๊ก” เฟิงเหยียนไอด้วยน้ำเสียงเข้ม เขามองไปทางอื่นเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาทำตัวเช่นนี้ จั๋วซือหรานอดไม่ได้ที่ต้องหัวเราะกล่าวโดยสรุป ก่อนที่นางมาที่นี่ จั๋วซือหรานจึงสังเกตพลังวิเศษของนางดูเหมือนมีความแตกต่างปเล็กน้อยเนื่องจากลักษณะของพลังทางจิตวิญญาณของนางเปลี่ยนไปบางทีอาจเป็น
เฟิงเหยียนจึงจ้องมองนางอยู่พักหนึ่ง ราวกับว่าในที่สุดเขาก็เชื่อว่านางแค่ฟุ้งซ่านเมื่อเห็นเฟิงเหยียนพยักหน้า จั๋วซือหรานจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะแม้ว่าท่านอ๋องไม่เชื่อนาง แต่นางก็ไม่ทำอะไรไม่ได้นางทำอะไรได้บ้าง จั๋วซือหรานอดไม่ได้ที่ต้องรู้สึกตัวเองทำอะไรไม่ถูกเช่นกันใครก็ตามที่เห็นว่าศพทั้งสามและ 'ขนมชาม' หนึ่งตัวที่ถูกวางไว้ในพื้นที่คุ้นเคยกลายเป็นศพสามศพและ 'ขนมชาม' สี่ตัวใคร ๆ ก็ต้องตกใจใช่ไหมเดิมทีจั๋วซือหรานวางตัดสินใจรอจนกว่านางจัดการทุกเรื่องเสร็จ จากนั้นนางรีบจัดการกับศพสามศพที่ถูกแม่กู่อสศัยในพื้นที่น้ำพุวิเศษ นางจะได้คืนศพให้คนอื่น จะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลังตอนนี้ดีมาก นางสามารถข้ามขั้นตอนนี้ได้เลย“ไม่ต้องกังวล เจ้าค่อย ๆ จัดการ” เฟิงเหยียนกล่าวจั๋วซือหรานยิ้มและกล่าวว่า "พวกเขาล้วนเป็นพรสวรรค์ที่โดดเด่นของตระกูลเฟิง หากข้าค่อย ๆ จัดการ... ข้าไม่รู้ว่าข้าจะถูกกล่าวหาด้วยเรื่องอันใด แม้ว่าข้าไม่ตกเป็นเป้าหมาย แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ข้าต้องทำให้ท่านอ๋องเตือดร้อน”เฟิงเหยียนจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง มีความประหลาดใจแวบขึ้นมาในดวงตาของเขา "เจ้ามองออกอะไรอีก"“
ฉูนจวีนจึงพูดต่อ "ใช่ สำหรับเรื่องที่การดำรงอยู่ของท่าน ตระกูลเฟิงมีสองเสียงเสมอ"“ประการหนึ่งคือ พวกเขาจำเป็นต้องผนึกพลังศักดิ์สิทธิ์ ของตระกูลไว้ในร่างกายของท่านด้วยวิธีนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนในตระกูลเฟิงยังสามารถมีพลังวิเศษของตระกูลเฟิงเช่นเดียวกันกับพลังศักดิ์สิทธิ์ต่อไป สามารถรักษาสถานะของตระกูลเฟิงด้วยวิธีนี้ "“หากเราสามารถรักษาสถานะของตระกูลของเราได้ เราก็จะได้รับทรัพยากรมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย หากเราสามารถได้รับทรัพยากรมากขึ้น ลูกหลานของเราจะมีโอกาสมากขึ้นในการก้าวหน้าและตื่นตัวมากขึ้น”“อีกฝ่ายรู้สึกว่า ควรปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ และให้ตระกูลพัฒนาเหมือนตระกูลอื่น ๆ สมาชิกในตระกูลจะสามารถก้าวไปข้างหน้าภายใต้แรงกดดัน และอาจตื่นตัวอย่างแท้จริง”“แต่ไม่ใช่ใช้ชีวิตอย่างตอนนี้ ทุกคนได้รับการดูแลจากพลังวิเศษของตระกูล ซึ่งทำให้พวกเขาอยู่เฉย ๆ และไม่กล้วสิ่งใด ๆ กลับทำให้พวกเขาไม่รู้สึกความกดดันและไม่อยากก้าวหน้า”เมื่อฟังสิ่งที่ฉูนจวีนพูด จั๋วซือหรานพูดจากใจ "จากจุดยืนของพวกเขา พวกเขาทั้งสองฝ่ายไม่ผิด เพียงแต่ว่าจุดยืนของพวกเขาแตกต่างกัน"“ ใช่ขอรับ มันเป็นเพียงมีความคิดเห็นที
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย