อินเจ๋ออัน: “...” หลักฐานหลักฐานหลักฐาน! หลักฐานอีกแล้ว! นางเป็นกรมสอบสวนคดีอาญาหรือไรกัน! ที่นี่ไม่ใช่โถงพิพากษาของกรมสอบสวนคดีอาญาเสียหน่อย! ยังจะมาเอาหลักฐานอะไรอีก!อินเจ๋ออันสูดลมหายใจลึก จึงพยายามข่มอารมณ์ในใจที่ถูกหญิงสาวคนนี้กระตุ้นขึ้นอย่างง่ายดายและรู้สึกได้เลยว่าทำไมสามตระกูลใหญ่นั้นถึงได้เกลียดนางจนเข็ดฟัน แต่กลับต้องมาปวดหัวอย่างมากเพราะนาง!เสียงของอินเจ๋ออันแทบจะลอดออกมาจากร่องฟันแล้ว “เช่นนั้นเจ้าต้องการอะไรล่ะ?”จั๋วซือหรานพอได้ยินคำพูดนี้ของอินเจ๋ออัน สองมือที่เดิมทีกอดอกตลอดในที่สุดก็ปล่อยลงมาแล้วในตานางเปล่งประกาย อินเจ๋อหรานตอนที่มองเห็นสายตานี้ ก็มีความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ แต่กลับไม่รู้ว่าตรงไหนที่ไม่สบายใจส่วนเจี่ยงเทียนซิง เขาจำสายตานี้ของจั๋วซือหรานได้ สายตานี้ของนางเป็นตัวแทนว่านางวางแผนทำร้ายผู้อื่นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแผนรับมือแล้วด้วยอดพูดไม่ได้จริงๆ จากมุมที่ถูกนางวางแผนใส่ก็คงรู้สึกแย่เอามากๆ แต่ตอนนี้พอมาเป็นสหายกับนาง แล้วเห็นสายตาของนางเช่นนี้อีกครั้ง ก็รู้สึกเหมือน...แอบคาดหวังอยู่หน่อยๆ เหมือนกันจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า “
เจี่ยงเทียนซิงจึงไม่พูดเรื่องนี้อีก แต่หันไปพูดเรื่องอื่นแทน“ยังมีงานเลี้ยงชานั่นอีก” เจี่ยงเทียนซิงเอ่ยขึ้น “งานเลี้ยงชาของอ๋องอวี้ชิน ข้าเองก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายใจเลย”“อื๋อ? ” จั๋วซือหรานฟังถึงตรงนี้ แหงนตามองเขาเจี่ยงเทียนซิงเอ่ยขึ้น “ถ้าหากก่อนหน้านี้ที่เมืองหลวงถูกก่อกวนจนวุ่นวายไปหมด เป็นการเคลื่อนไหวที่อ๋องอวี้ชินทำขึ้นมาเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ การเคลื่อนไหวเหล่านี้ในปัจจุบัน ก็คงจะถูกเขาข่มเอาไว้หมดแล้ว”“ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่ควรรีบจัดงานเลี้ยงชาขึ้นต่ออีกจึงจะถูก พอหมดความสามารถไปก็ควรจะเก็บเนื้อเก็บตัวให้เรียบร้อยถึงจะถูก แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีความคิดที่จะยกเลิกงานเลี้ยงชานั่นเลยแม้แต่น้อย ทำเอาคนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นหน่อยๆ” เจี่ยงเทียนซิงขมวดคิ้วด้วยช่องทางข้อมูลของหอฟ้าดาวถือว่าใช้ได้อยู่ ดังนั้นจึงเข้าใจอย่างชัดเจน ว่างานเลี้ยงชานั้นของอ๋องอวี้ชิน ตอนนี้ยังไม่มีการยกเลิกแต่อย่างใดไม่ใช่แค่ไม่มี อุทยานหลิ่วพ่านทางนั้นยังเตรียมการสำหรับงานเลี้ยงชานี้อยู่ตลอดอีกด้วยหลังจากจั๋วซือหรานได้ยิน ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “น่าจะเพราะท่านอ๋องคนนี้ยังมีแผนสำรอ
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังกังวลกับเรื่องที่ทั้งสามตระกูลเริ่มหันมาเพ่งเล็งนางอยู่เลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้กระแสภายนอกยังไม่เอื้อกับนางแท้ๆแต่เวลาแค่วันเดียวเท่านั้น กระแสภายนอกที่ทำให้คนกังวลก่อนหน้าก็พลิกกลับอย่างสิ้นเชิงแต่ก็เหมือนกับประโยคนั้นพูดเอาไว้ สิ่งที่คนอื่นเห็นล้วนเป็นว่านางบินได้สูงแค่ไหน แต่ว่าเซี่ยอวิ๋นเหนียงในฐานะที่เป็นแม่ สิ่งที่เห็นก็คือลูกสาวบินได้เหนื่อยหรือไม่เซี่ยอวิ๋นเหนียงถาม “หรานหราน เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้วกระมัง?”“ยังไหว ไมได้เหนื่อยมาก” จั๋วซือหรานยิ้มๆ รู้ว่าท่านแม่เป็นห่วง เพื่อให้แม่ของนางวางใจจึงเอ่ยต่อว่า “ตอนที่ตระกูลเหยียนชื่อเสียงสูงสุด ก็ยังดึงข้าลงมาไม่ได้ ตอนนี้แน่นอนว่าทำไม่ได้อยู่แล้ว”เซี่ยอวิ๋นเหนียงเอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ “หรานหราน แม่ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะไปแล้ว เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”จั๋วซือหรานมองตาของเซี่ยอวิ๋นเหนียง ตามเหตุผลแล้วตนเองกับเซี่ยอวิ๋นเหนียงไม่ใช่แม่ลูกแท้ๆ ไม่ควรจะมีหลักการที่ว่าแม่รู้จักลูกสาวดีที่สุดแต่ก็อดพูดไม่ได้จริงๆ เซี่ยอวิ๋นเหนียงพอพูดคำพูดนี้ออกมา จั๋วซือหรานก็ยังรู้สึกขึ้นจริงๆ ว่าบางทีอาจจะมีอยู่นิดหน่อยเพราะ
จั๋วซือหรานในบ้างด้านก็เฉียบคมมาก แต่ในบางด้านกลับหัวช้าพอควรตอนนี้ความเศร้าสร้อยในเสียงของอ๋องเซี่ยน จั๋วซือหรานคิดว่าเขายังคงไม่สบายใจอยู่จนถึงตอนนี้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องถ้ารู้สึกค่ายป้องกันอยู่ไกลเกินไปล่ะก็ ค่ายลาดตระเวนก็ยังได้นะ สถานการณ์ของค่ายทหารล้วนมั่นคงอยู่ในการควบคุมแล้ว แม่ทัพทั้งสองคนก็เป็นคนที่มีคุณธรรม เชื่อว่าท่านอ๋องไม่ว่าจะไปทางไหน ก็ล้วนจะได้รับการปกป้องที่ดีแน่นอน”“ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องถ้าหากมีการเคลื่อนไหวอะไร ก็จะสะดวกขึ้นอีกหน่อย ถ้าอยู่แต่ในหน่วยสืบสวนพิเศษ มันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก”ซือคงเซี่ยนมองดวงตาสุกใสของจั๋วซือหราน ฟังแล้วรู้สึกว่าเธอวางแผนเอาไว้ดีมากจึงตอบมาว่า “ขอบคุณมากแม่นางจิ่ว”“ท่านอ๋อง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หากหลังจากนี้ร่างกายยังมีจุดที่ไม่สบาย ก็ให้คนเข้ามาบอกข้าได้” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นซือคงเซี่ยนมองหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ นางไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อนางหลังจากซือคงเซี่ยนกลับห้องไปชิ่งหมิงนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาจ้องมาทางจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานถูกสายตาบริสุทธิ์ของเขาจ้องจนรู้
“นายท่าน” ฉุนจวินสีหน้าร้อนรน เข้ามาประคองเฟิงเหยียน“แค่ก...” วินาทีต่อมา เฟิงเหยียนก็ไอออกมาเป็นเลือดฉุนจวินถามขึ้น “นายท่าน เป็นอะไรไป? แม่นางจิ่วเองก็ไม่มีทางแก้หรือ?”เฟิงเหยียนยกมือขึ้นเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก ดวงตาจืดจาง “กว่าครึ่งคือยังไม่มีวิธีน่ะ ไม่เช่นนั้นเจ้าพวกตระกูลเฟิง คงไม่สามารถเอาเรื่องนี้มาบีบข้าอย่างมั่นใจขนาดนี้...”แววตาของฉุนจวินยิ่งร้อนรนขึ้นไปอีก ความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านกับตระกูลเฟิงแปลกประหลาดขนาดนี้เชียวเป็นความสัมพันธ์ที่คอยควบคุมซึ่งกันและกัน ตระกูลเฟิงต้องการให้เฟิงเหยียนเป็นภาชนะของพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดง มาทำให้พลังของคนในตระกูลมั่นคง และทำให้ตระกูลเฟิงสามารถอยู่เป็นผู้นำตระกูลขุนนางในเมืองหลวงได้ตลอดดังนั้นตัวตนฐานะของเฟิงเหยียนในตระกูลเฟิงจึงสูงส่งมากแต่ในมือตระกูลเฟิงก็ยังมีจุดอ่อนที่สามารถควบคุมเฟิงเหยียนได้ ตระกูลเฟิงไม่ได้มีเพียงพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์มีชื่อว่าพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดง ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือดวงใจแห่งหงส์แดงถ้าหากบอกว่าเฟิงเหยียนคือภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์ของหงส์แดง เช่นนั้นดวงใจแห
ในห้อง ฉุนจวินจัดการเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดของเฟิงเหยียนก่อนหน้านี้ไปแล้วตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียงกังวานเสียงหนึ่งดังที่นอกประตู “ท่านอ๋อง ท่านยังไม่หลับใช่ไหม? ข้าเห็นไฟยังสว่างอยู่”ฉุนจวินอยากจะให้คุณหนูเข้ามาตรวจอาการของนายท่านใจจะขาด ดังนั้นจึงหันไปมองนายท่านที่นั่งอยู่ตรงนั้น แม้คิ้วจะขมวดเล็กน้อย แต่กลับไม่มีการปฏิเสธแต่อย่างใดฉุนจวินจึงเปิดประตู “แม่นางจิ่ว สายัณห์สวัสดิ์”“อื๋อ? ฉุนจวินเองก็อยู่ด้วยหรือ” จั๋วซือหรานมองเขาฉุนจวินเปิดทางให้นางเข้ามา “นายท่านยังไม่พักผ่อนเลย”ฉุนจวินคิดๆ แล้วก็เสริมขึ้นมาคำหนึ่ง “เพราะเป็นห่วงแม่นางจิ่วน่ะ”ใช่แล้ว ฉุนจวินคิดขึ้นมาได้ นายท่านทรมานมากจากการถูกแว้งกัด ตามหลักควรจะพักผ่อนได้แล้ว แต่กลับรอจนดึกดื่นไม่ยอมนอนมาตลอดก็เพราะเป็นห่วงแม่นางจิ่วที่ยังไม่กลับมากระมัง?จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้วเล็กน้อย มองไปทางเฟิงเหยียนและชายหนุ่มที่ดูดีจนเหมือนไม่ใช่คนคนนี้ แต่เดิมไม่พูดไม่จา ทว่าตอนนี้พอได้ยินคำพูดของฉุนจวินก็ขมวดคิ้ว ตำหนิเสียงต่ำมาว่า “พูดมาก”ดูท่าจะปากแข็งเอาเรื่อง“อืม...” จั๋วซือหรานครางเสียงยาว มุมปาก
“ไม่เป็นไรจริงๆ” เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นมาจั๋วซือหรานคิด “ให้ข้ารักษาให้ท่านเถอะ มีโรคก็ต้องรักษาโรคสิ ไม่มีโรคร่างกายจึงจะแข็งแรง...”ฉุนจวินพอได้ยินคำพูดนี้จึงถอนใจโล่งออกมาพอรู้ว่าแม่นางจิ่วจะรักษาให้นายท่าน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเห็นว่านายท่านกับแม่นางจิ่วจับมือถือแขนกันด้วยฉินจวินจึงถอยออกจากห้องอย่างรู้ความจั๋วซือหรานรักษาให้เขา พลางบอกเขาถึงเรื่องในวันนี้ส่วนใหญ่ก็เพราะ เขาเป็นคนที่ยื่นมือเข้าไปช่วยนางก่อน และเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างกายนางมาตลอดดึงนั้นจั๋วซือหรานจึงไม่เคยป้องกันอะไรเขาเลยยิ่งไปกว่าเรื่องอีกมากมาย ถ้าไปพูดกับคนอื่นก็ไม่ค่อยเหมาะสม จะพูดกับแม่ ก็กลัวแม่จะเป็นห่วงที่พูดกับเฟิงเหยียนก็เหมือนจะเหมาะสมที่สุดแล้ว เขาเองก็พูดน้อย ถนัดรับฟังมากกว่า นิสัยเช่นนี้ของเขา ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะโพนทะนาไปทั่วยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็รักษาอาการบาดเจ็บให้นาง มีจุดนี้อยู่จึงยิ่งปลอดภัยขึ้นไปอีกเฟิงเหยียนฟังเงียบๆ ได้ยินว่านางต้องไปเจอกับการเพ่งเล็งของตระกูลเหยียน แล้วยังไปค่ายป้องกันนอกเมืองรักษาให้ทหารอีก คนที่ตลาดมืดก็ยังมาหาเรื่องนาง...เฟิงเหยียนขมวดคิ้ว “หอจันทร์เงิน? ไ
ดวงตาจั๋วซือหรานถลึงโตขึ้นมาก่อน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือดวงตาลึกซึ้งราวกับทะเลราตรีที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมลึกซึ้งสวยงาม และดึงดูดราวกับกระแสวนจั๋วซือหรานสบตากับเขาครู่หนึ่ง เห็นในดวงตาของเฟิงเหยียนรอยยิ้มที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ในที่สุดนางก็ไม่ทนแล้ว รีบปิดตาลงดังนั้น นางจึงไม่ทันสังเกต ว่าหลังจากนางหลับตาไปครู่หนึ่ง สีหน้าในดวงตาคู่งามของชายหนุ่ม มีเจ็บปวดจากการอดกลั้นเพิ่มขึ้มาพอสมควรเพราะเขาแบ่งพลังให้กับจั๋วซือหรานอีกครั้ง ดังนั้นตระกูลเฟิง จึงลงโทษเขาเช่นนี้ความรู้สึกเจ็บปวดทะลวงใจทะลุกระดูกนั่น ทำเอาเขาเกร็งไปทั้งตัวทั้งๆ ที่หลายปีนี้ ในฐานะที่เห็นภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์ ก็เจอเรื่องทุกข์ทรมานมาไม่น้อยแล้วแท้ๆ ตามหลักการก็ควรจะไม่รู้สึกกับความเจ็บปวดใดๆ แล้วแต่เพราะความเจ็บปวดนี้ ก็ยังเกร็งขึ้นมาทั้งตัวมือของจั๋วซือหรานจับไปที่เอวของเขาเบาๆ ดังนั้นจึงสัมผัสได้ถึงอาการเกร็งตัวของร่างกายเขาจั๋วซือหรานพอคิดจะลืมตา ก็ถูกมือข้างหนึ่งของเฟิงเหยียนปิดตาไว้ส่วนมืออีกข้างของเขา ก็ช้อนท้ายทอยนางแนบสนิทยิ่งขึ้นจั๋วซือหรานรู้สึกแค่ว่า จูบที่ดึงดันกลับอบอุ่นแต่เดิมของชายหนุ่ม เวลานี
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"