จั๋วอวิ๋นฉีได้ยินคำพูดนางก็ตกตะลึง เอ่ยขึ้นทันที่ว่า "เขาเคยมาหาเจ้าหรือ?"จั๋วซือหรานหัวเราะเสียงเรียบ "แค่นั้นที่ไหน เข้ามาขอข้าแต่งงานด้วยนะ"จั๋วอวิ๋นฉีตาเบิกกว้าง "เสียวจิ่ว เจ้าต้องระวังคนคนนี้ไว้ หลังจากที่ข้าออกจากตระกูลจั๋ว อยู่ที่พรมแดนใต้มานาน ดังนั้นจึงค่อนข้างได้ยินกิตติศัพท์เขามา""เนื่องจากได้รับการสืบทอดวิชากู่วิชาพิษจากของหุบเขาหมื่นพิษมาตั้งแต่เด็ก พอสัมผัสกับพิษกู่ต่างๆ เป็นเวลานาน นิสัยก็เปลี่ยนไปเป็นแปลกประหลาด อารมณ์แปรปรวน อันตรายมาก""ยิ่งไปกว่านั้น เขากับเฟิงเหยียนก่อนหน้านี้ก็เหมือน..." จั๋วอวิ๋นฉีเดิมทีไม่คิดจะเอ่ยถึงเฟิงหราน เพื่อไม่ให้ไปยั่วอารมณ์ของเสียวจิ่วตอนนี้พอพูดชื่อนี้ขึ้นมา ก็เหลือบมองไปยังสีหน้าของจั๋วซือหรานสีหน้ากลับเป็น...ไม่แสดงท่าทีใดเลยกระทั่งเขาพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดลงมา ยังเห็นสายตาจั๋วซือหรานที่มองเข้ามา มีการเฝ้ารออยู่ด้วยซ้ำราวกับกำลังถามว่า 'กับเฟิงหรานเหมือนอะไร หลังจากนั้นล่ะ?'จั๋วอวิ๋นฉีเดาว่าอารมณ์ของเสียวจิ่วไม่น่าได้รับผลกระทบอะไร บางทีอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบมากก็เลยเอ่ยต่อว่า "ข้าก็แค่ได้ยินมา ปันอวิ๋นก่อนหน้านี้เคย
รวมถึงฮั่วจือโจวกับฮั่วชิงหยวนสองพี่น้องจากตระกูลฮั่วด้วย มารวมกันหมดแล้ว"ลองชิมดู" จั๋วซือหรานชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะฮั่วชิงหยวนน้ำชายแทบจะไหลออกมาแล้ว กินอย่างมีความสุขจั๋วซือหรานไม่ได้กิน แค่นั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ บอกกับพวกเขาว่า "รายการอาหารข้าร่างไว้ให้แล้ว พวกเจ้าให้พ่อครัวทำออกมา ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเจ้าก็ได้ชิมแล้ว มีรสชาติอย่างไรก็จำไว้หน่อย ถ้าพ่อครัวทำออกมาแล้วรสชาติไม่ถูกต้อง พวกเขาจะได้ตอบสนองทัน""ถ้าหากพวกเจ้าตอบสนองไม่ได้ ยืนยันว่าทำถูกแล้ว หรือไม่ต่างกันมากนัก แค่อร่อยก็พอ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นคนอื่นยังพอว่า แต่ฮั่วจือโจวกับเจี่ยงเทียนซิง พอได้ยินคำพูดจั๋วซือหราน ก็ยกตาขึ้นมองนางเจี่ยงเทียนซิงขมวดคิ้ว "ท่าทางเหมือนฝากฝังนี่มันอะไรกัน? จะไปไหนรึ?"ฮั่วจือโจวขมวดคิ้วถาม "ไปพื้นที่ศักดินาหรือ? ไปเร็วขนาดนี้เชียว?"จั๋วซือหรานตอบเสียงเรียบ "พื้นที่ศักดินาเดี๋ยวก็ต้องไป แต่ว่าตอนนี้มีเรื่องเร่งด่วนกว่านั้น"หลงซ่งที่อยู่ข้างๆ เช็ดๆ ปาก บอกกับฮั่วจือโจวกับเจี่ยงเทียนซิงว่า "น้องชายของแม่นางถูกลักพาตัวไปแล้ว พาไปที่สำนักเมฆาวารี ไม่รู้ว่าพาตัวไปทำอะไร มีอันตรายหรือไม่ แม
ฮั่วจือโจวพอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน ก็รู้ว่าไม่มีอะไรที่ต้องพูดมากอีก จึงบอกว่า "เช่นนั้น ก็ขอให้แม่นางเดินทางราบรื่นล่วงหน้าเลยแล้วกัน อวิ๋นหลิวเองก็มีโรงน้ำชาโรงเตี๊ยมของตระกูลฮั่วอยู่ ข้าจะแจ้งไปก่อนล่วงหน้า ถ้าเจ้าต้องการข่าวสารล่ะก็ให้ไปที่โรงน้ำชาตระกูลฮั่วได้เลย""ขอบคุณมาก" จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง"เกรงใจไปแล้ว" ฮั่วจือโจวเอ่ยตอบ "พวกเราในเมื่อร่วมมือกันอย่างมีความสุข ก็ถือว่าเปห้นเพื่อนกันแล้วสิ""มีเหตุผล" จั๋วซือหรานพยักหน้า "เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เลือกมาร่วมมือกับพวกเจ้าเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง""อื๋อ?" บนหน้าฮั่วจือโจวมีรอยยิ้มเผยออกมา บนใบหน้าสุขุมแต่ไหนแต่ไรของเขา ก็ยังหวั่นไหวขึ้นมาเพราะรอยยิ้มนี้ "เจ้าไม่ได้เลือกตระกูลฮั่วหรอกหรือ?"เขาคิดมาตลอดว่าที่จั๋วซือหรานเลือกคือตระกูลฮั่ว ตนเองเป็นแค่คนที่นางคิดว่ามีปากมีเสียงในตระกูลฮั่วได้พอดีเท่านั้นจนตอนที่ได้ยินจั๋วซือหรานพูดคำนี้ ฮั่วจือโจวถึงได้เข้าใจขึ้นมา"แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว ที่ข้าเลือกก็คือเจ้า" จั๋วซือหรานเข้าใจว่าสายตามองคนของตนเองถือว่าใช้ได้อยู่ ไม่ได้ถือว่าแม่นยำนัก แต่ก็ถือว่าได้ผิดเสียทีเดียวครั้งแต
อันที่จริงก็รู้ว่าตนเองไม่ค่อยมีประโยชน์ ช่วยอะไรไม่ได้เลย แล้วยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อลูกสาวจั๋วซือหรานไม่ได้อะไรกับเรื่องนี้นัก นางยิ้มกุมมือท่านแม่ไว้ เอ่ยว่า "ท่านแม่ ไม่เป็นไร ข้าไม่เคยรู้สึกว่าท่านกับเสี่ยวหวายเป็นความยุ่งยากของข้า และไม่รู้สึกว่าพวกท่านสร้างภาระให้ข้าด้วย มีแค่ท่านกับเสี่ยวหวายที่เป็นแรงผลักดันให้ข้าพยายามมาโดยตลอด"ตนเองตอนเพิ่งมาถึงโลกที่แปลกหน้านี้ โลกทั้งใบราวกับจงใจมาทำร้ายตนเองมีแค่ท่านแม่กับน้องชาย ที่ตนเองไม่สามารถปล่อยวางได้ไม่ว่าจะเวลาไหน จุดนี้ก็จะไม่เปลี่ยนพอได้ยินคำพูดที่เข้าใจเหตุผลของลูกสาว เซี่ยอวิ๋นเหนียงก็ยิ่งรู้สึกแย่ พ่อแม่ที่เป็นห่วงลูก ก็มักจะปวดใจกับเรื่องที่ลูกเข้าใจเหตุผลต่างๆ ยิ่งลูกเข้าใจมาก ก็ยิ่งทำให้เป็นห่วงกังวลมากถึงอย่างไร การเข้าใจเหตุผลคำนี้ แม้จะมีความหมายในแง่บวก แต่สำหรับคนที่เข้าใจเหตุผลแล้ว กลับไม่ใช่คำที่ดีอะไรนัก เพราะคนยิ่งเข้าใจเหตุผล ก็จะยิ่งเผชิญกับความอยุติธรรมบนโลกมากขึ้นเซี่ยอวิ๋นเหนียงออกแรงเช็ดน้ำตาจั๋วซือหรานเห็นท่านแม่เป็นเช่นนี้ จึงถอนใจออกมา "ท่านแม่ ไม่ต้องเป็นห่วง สำนักเมฆาวารีเดิม
"เพราะพลังวิญญาณพ่ข้า แม่ของเฟิงเหยียนถึงคลอดเขาออกมาได้หรือ?" จั๋วซือหรานถามเซี่ยอวิ๋นเหนียงคิดๆ "ถึงแม้จะพูดแบบนี้ได้ ถึงอย่างไรพ่อของเจ้าตอนนั้นถ้าหากไม่ได้ช่วยนางไว ก็คงไม่มีเฟิงเหยียนแล้ว แต่...คุณสมบัติร่างกายของเฟิงเหยียนก็เหมือจะมีอะไรอยู่ ถึงอย่างไร...หลังจากที่นางคลอดเฟิงเหยียน ก็มีชีวิตต่อไม่ได้เสียแล้ว"เซี่ยอวิ๋นเหนียงถอนหายใจ "หลักๆ คือ น่าจะมีแค่พ่อเจ้าที่เข้าใจ ต้องโทษที่ข้าตอนนั้นไม่ถามเขาให้มากกว่านี้หน่อย ถ้ารู้ว่าเจ้าจะมาพัวพันกับซื่อจื่อเฟิงลึกซึ้งขนาดนี้ ตอนนั้นข้าคงถามให้มันชัดเจนไปแล้ว..."เซี่ยอวิ๋นเหนียงมีนิสัยอ่อนโยนแข็งแกร่ง เป็นแบบฉบับของภรรยาและแม่ที่ดี สำหรับเรื่องเหล่านี้ ตอนที่สามียังอยู่ จึงไม่ได้ไปสนใจอะไรเป็นพิเศษจั๋วซือหรานเองก็ฟังออก ว่าท่านแม่น่าจะเพราะไม่ได้ผ่านเรื่องนั้นด้วยตนเอง สิ่งที่รู้ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่มาจากปากท่านพ่อเท่านั้นดังนั้นพูดจึงพูดอย่างจับต้นชนปลายไม่ได้ ตามหลักการคงทำให้คนฟังรู้สึกงงไปหมด แต่ในหูของจั๋วซือหรานกลับต่างออกไปเพราะนางรู้เรื่องมากมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาของตระกูลเฟิง ดังนั้น ข้อมูลจึงร้อย
"ไม่ถึงกับโกรธหรอก" จั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือซือคงเซี่ยนถอนหายใจ "ข้ารู้ว่าในใจก็คงไม่เบิกบานนัก เรื่องนี้ ราชวงศ์ของพวกเราผิดต่อเจ้าจริงๆ""ช่างเถอะ" จั๋วซือหรานเอ่ยเสียงเรียบ คำพูดนั้นมันพูดว่าอะไรนะ "ฟ้าผ่าหรือสายฝน..."ซือคงเซี่ยนเอ่ยอย่างจนใจ "ฟ้าผ่าหรือสายฝน...ก็ล้วนเป็นพระมหากรุณาธิคุณ""อืม ความหมายนั้นนั่นล่ะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "แล้วก็ ให้ใครมาเจอรางวัลพวกนี้แบบข้า ก็ล้วนเป็นความโปรดปรานชั้นสูงทั้งนั้น ไม่มีอะไรให้บ่นเลยเสียหน่อย"ซือคงเซี่ยนอยากจะถามว่านี่คือใจจริงของนางไหม แต่พอคิดอย่างละเอียด หญิงสาวคนนี้ก็เหมือนไม่เคยพูดอะไรที่อ่อนข้อยอมความ แต่คำพูดที่พูดออกมามากกว่าครึ่งล้วนเป็นความจริงแต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ในใจซือคงเซี่ยนก็ยิ่งชัดเจน ในใจนางกับราชวงศ์ มีสิ่งบางๆ กั้นไว้มาโดยตลอด ดังนั้นจึงได้เป็นเช่นนี้...เย็นชาและไม่ใส่ใจ"ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหาเสด็จพ่อ" ซือคงเซี่ยนเอ่ยขึ้น "เจ้าจัดการเรื่องในเมืองเสียเรียบร้อย วันนี้...จะมาบอกลาหรือ?"จั๋วซือหรานเอียงตามองซือคงเซี่ยน เหมือนไม่ได้แปลกใจกับการควบคุมความเคลื่อนไหวของซือคงเซี่ยนเลยจั๋วซือหรานเข้าใจดี ความสามารถเห
ยิ่งเข้าใกล้หลังตำหนัก เสียงนกร้องจิ๊บๆ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นพอเดินถึงหลังตำหนัง ก็มองเห็นว่าสวนดอกไม้เล็กของหลังตำหนัก มีคานตั้งขึ้นมาแล้วแขวนกรงทองเอาไว้ส่วนหนึ่ง ด้านในมีนกน้อยขนสวยงามร้องเสียงใสอยู่หลากชนิด กำลังกระโดดไปมาในกรงอย่างคึกคักองค์จักรพรรดิเฒ่ายืนไพล่หลังชื่นชมอยู่ข้างๆ ถือไม้ไผ่แบนยาวตักอาหารใส่เข้าไปบนใบหน้าดูสงบสุขสบายใจ เทียบกับองค์จักรพรรดิเฒ่าที่ดูอ่อนล้าซีดเซียวตอนที่จั๋วซือหรานช่วยออกมาจากวังสวนของราชวงศ์ตอนนั้นอย่างกับคนละคน"คารวะฝ่าบาท" จั๋วซือหรานทำความเคารพจักรพรรดิเฒ่าโบกไม้โบกมือ "เด็กน้อยเสียวจิ่วมาได้เสียที ข้ายังคิดว่าเจ้ายังโกรธจนไม่คิดจะเข้ามาเสียอีก...""ฝ่าบาทกล่าวเกินไปแล้ว" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ที่หม่อมฉันมา ก็เพื่อมาจับชีพจรให้ฝ่าบาท ไทเฮาและพระสนมเอก และถือโอกาสบอกลาฝ่าบาทด้วย"แม้เจตนาเดิมขององค์จักรพรรดิเฒ่าคือให้จั๋วซือหรานมีพื้นที่ศักดินาที่ไกลออกไปหน่อย และยังได้ยินข่าวว่าช่วงนี้จั๋วซือหรานจัดการเรื่องในเมืองหลวงหมดแล้ว ทำท่าเหมือนจะตรงไปพรมแดนใต้แล้วแต่พอได้ยินว่าจั๋วซือหรานมาบอกล่า ก็ยังรู้สึกว่าไวเกินไป"ไวขนาดนี้เชียว?" องค์จัก
จั๋วซือหรานปิดกรงนกลง เอ่ยต่อว่า "ชีพจรของฝ่าบาทแข็งแรงมาก""อื๋อ?" องค์จักรพรรดิเฒ่าตกตะลึง "เจ้ามาจับชีพจรข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน?"จั๋วซือหรานตาโค้งชูนิ้วขึ้นกระดกนิ้ว ไหมกู่เส้นหนึ่งค่อยๆ ปรากฏออกมา "เมื่อครู่ตอนที่เล่นกับนกน้อย ข้าก็จัดการจับดูแล้ว"องค์จักรพรรดิเฒ่าเห็นไหมกู่เส้นนั้น ยังมีความระแวดระวังขึ้นมา หลักๆคือเพราะรู้ว่าวิชากู่ของจั๋วซือหรานอยู่ในระดับสูงจั๋วซือหรานเก็บไหมกู่กลับมา "หม่อมฉันจะจัดตำรับยาบำรุงร่างกายไว้ให้ฝ่าบาทดื่ม ถ้าหากร่างกายไม่สบายแล้วฝ่าบาทไม่ไว้ใจแพทย์จากสถาบันแพทย์หลวงพวกนั้น จามาระให้คนไปที่โรงหมอของหม่อมฉัน พอกับเหยียนเจินเหยียนฉีสองพ่อลูกได้""คนตระกูลเหยียน!" องค์จักรพรรดิเฒ่าเดิมทียังมีใบหน้าอ่อนโยน แต่พริบตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา "พูดถึงคนตระกูลเหยียน การลงโทษพวกเขาจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้แล้ว!"องค์จักรพรรดิเฒ่ามองจั๋วซือหราน "แล้วเจ้ายังถูกใจท่านอ๋องตระกูลเฟิงคนนั้นอีกไหม แม้เขาตอนนี้จะหมั้นหมายกับหญิงสาวจากตระกูลเหยียน แต่ไม่นานก็คงจบกันแล้ว"จั๋วซือหรานฟังถึงจุดนี้ สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนัก อันที่จริงความเป็นไปได้นี้ นางเองก็คาดเดาไว้แล้
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"