ลั่วชิงยวนนิ่งอึ้งไปกลัวหรือก็เคยกลัวอยู่เหมือนกันแต่ยามนี้กลัวไปจะมีประโยชน์อะไรนางส่ายหน้า “เมื่อก่อนกลัว ตอนนี้มิกลัวแล้ว”“เหตุใด?” อวี๋โหรวสงสัย“เพราะเขามิได้บ้าคลั่งถึงเพียงนั้น ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนมีจุดมุ่งหมาย”“ข้ามีประโยชน์ต่อเขา เขาย่อมอดทนต่อข้า”อวี๋โหรวได้ฟังแล้วก็พยักหน้าครุ่นคิด แต่ก็ยังรู้สึกมิเข้าใจอยู่ดี“แต่ว่า... เท่าที่ข้ารู้จักเฉินชี เขาสามารถทำได้ทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย เหตุใดจึงยอมอ่อนข้อให้เจ้าถึงเพียงนี้”“สำหรับเขาแล้ว เจ้าคงต่างจากคนอื่น”ลั่วชิงยวนยกยิ้มกล่าว “อาจจะใช่”นางคิดว่าความแตกต่างที่ว่านั้นน่าจะเป็นเพราะโอสถจตุรธาตุเพียงแต่อาจเป็นไปได้ว่าโอสถจตุรธาตุออกฤทธิ์ต่อเฉินชีต่างจากออกฤทธิ์ต่อผู้อื่นเล็กน้อยถึงอย่างนั้นสภาพที่ฟู่เฉินหวนต้องเผชิญเมื่อก่อนนั้นก็มิค่อยพบเจอในหมู่คนอื่น ๆขณะพูดคุยกันก็มาถึงตลาดมืดแล้วที่นี่อยู่ในหุบเขาที่รกร้างว่างเปล่านอกเมืองหลวง รถม้ามิสามารถเข้าไปมิ คนที่มาที่นี่ล้วนเดินเท้ามารอบด้านมืดมิดจนมองมิเห็นสิ่งใดบรรยากาศค่อนข้างวังเวงแต่เมื่อเดินผ่านหน้าผาเข้าไป สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือแสงไฟสว
เมื่อคำพูดของเฉินชีหลุดออกมา ฝูงชนรอบตัวก็แตกตื่น“หนึ่งแสนตำลึงหรือ? สวรรค์โปรด แพงถึงเพียงนี้เลยรึ?”ในขณะที่ลั่วชิงยวนคิดว่าต้องได้มาแน่นอนแล้วท่ามกลางฝูงชนก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง!”ลั่วชิงยวนใจหายวาบหันไปมอง แต่กลับมองมิเห็นว่าเสียงนั้นมาจากผู้ใดเนื่องจากคนที่นั่งอยู่เหล่านั้นดูธรรมดาทั่วไปฝูงชนส่งเสียงจอแจด้วยความฮือฮา ทุกคนต่างตกตะลึงกับราคานี้เมื่อก่อนขายบัวถวายได้แพงสุดหนึ่งร้อยตำลึง ยามนี้ราคากลับพุ่งขึ้นไปถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงนี่มันเกิดอะไรขึ้นสายตาเย็นเยียบของเฉินชีเหลือบมองไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังขึ้น แล้วตะโกนในทันที “สามแสน!”รอบด้านเงียบสงัดไปชั่วขณะทว่าเงียบไปเพียงชั่วครู่ เสียงเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้ง “สามแสนห้าหมื่น!”ลั่วชิงยวนใจหายราคาสูงถึงเพียงนี้ อีกฝ่ายกลับยังเพิ่มราคาขึ้นอีกห้าหมื่นตำลึงสำหรับสมุนไพรชนิดหนึ่ง ราคานี้มิคุ้มค่าเลยคนผู้นี้สามารถทุ่มเงินได้มากมายเช่นนี้ แสดงว่าบัวถวายนี้มิเพียงแต่สำคัญต่อเขามากเท่านั้น แต่เงินจำนวนนี้ยังมิถือว่ามีค่าอะไรสำหรับเขาด้วยเฉินชีปวดหัว ไม่มีเงินเหลือแล้วในตลาดมืดแห่งนี
สำนักเทียนฉยง?!แท้จริงแล้วคือสำนักเทียนฉยง!เฉินชีเป็นคนที่มิยอมพ่ายแพ้ผู้ใด จึงคิดจะลงมือสังหารชายตรงหน้าทันทีลั่วชิงยวนรีบดึงเฉินชีไว้“เก็บกระบี่ก่อน!”ตอนนี้นางยังมิอยากไปยั่วยุสำนักเทียนฉยงมิใช่ว่ายั่วยุมิได้เพียงแต่มิต้องการเพิ่มปัญหาที่ยากจะแก้ไขในยามนี้เฉินชีลดกระบี่ลงขณะนี้ชายคนนั้นยกยิ้มพลางมองลั่วชิงยวน “หากแม่นางลั่วเต็มใจเข้าร่วมสำนักเทียนฉยงของพวกข้า ข้าก็จะมอบบัวถวายนี้ให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย!”ลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อยเข้าร่วมสำนักเทียนฉยงช่างน่าขันสำนักนักบวชและสำนักเทียนฉยงมีวิถีทางที่แตกต่างกันมาตั้งแต่แรก ถึงขั้นเป็นศัตรูกันด้วยซ้ำนางเคยเป็นถึงนักบวชระดับสูง มีหรือจะเข้าร่วมสำนักเทียนฉยงเพียงแต่มิคาดคิดว่าสำนักเทียนฉยงจะสังเกตเห็นนางแล้วหรือว่าเรื่องของตระกูลมู่จะทำให้สำนักเทียนฉยงสนใจ?“ข้าจะมิเข้าร่วมสำนักเทียนฉยง”กล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็ดึงเฉินชีและอวี๋โหรวออกจากโรงประมูลเฉินชีบ่นตลอดทาง “เจ้ามิควรขัดขวางข้า ควรให้ข้าฆ่ามันไปเสีย!”“คิดว่าข้าจะกลัวสำนักเทียนฉยงรึ?”“บัวถวายนี้หามานานกว่าจะพบในตลาดมืด กลับพลาดไปเช่นนี้”หลังจากเดินมาไ
ส่วนเขาก็หันกลับไปขี่ม้าออกจากเมือง มุ่งหน้าไปยังตลาดมืดอีกครั้งภายใต้ความมืดมิดในป่ายามราตรีชายคนนั้นยังคงถือหีบใหญ่ที่บรรจุตั๋วเงินไว้ ขณะวางแผนว่าจะใช้เงินนี้อย่างไรอย่างมีความสุขทว่าทันใดนั้นเมื่อเงยหน้าขึ้น ร่างในความมืดทำให้เขาใจหายวาบเขารีบหันหลังเดินไปอีกทางหนึ่งทว่าเพิ่งเดินไปได้มิกี่ก้าว เงาร่างนั้นก็เคลื่อนมาปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาในทันทีสายตาของเฉินชีเย็นเยียบ คว้าคอของเขาในทันที“สามแสนตำลึง ขอบคุณที่เจ้าเห็นแก่หน้าข้า อุตส่าห์ลดให้ข้าถึงห้าหมื่นตำลึง”ชายคนนั้นหวาดกลัวจนหีบในมือร่วงหล่นลงพื้นด้วยความที่หายใจมิออกเพราะถูกบีบคอ เขาจึงเอ่ยปากได้อย่างยากลำบาก“มิเอาแล้ว... ข้ามิคิดเงินแล้ว...”“ข้าจะหาให้พวกท่านโดยมิคิดเงิน”ดวงตาของเฉินชีเย็นชา แววตาเปี่ยมไปด้วยเจตนามุ่งสังหาร “สายไปแล้ว”เสียงแผ่วเบาดังขึ้นครู่ต่อมา เฉินชีก็ออกแรงที่มือมีเสียงดังกร๊อบแล้วศีรษะของชายคนนั้นก็ห้อยลงมาผิดรูปเขาถูกเฉินชีบีบคอจนหักเฉินชีทิ้งศพของเขาลงอย่างมิใส่ใจ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือก่อนจะหันหลังกลับไปอย่างมิแยแส......ยามเช้าเวินซินถงนั่งอยู่ในห้องเนิ่
จวนแม่ทัพหลานจีกำลังรออยู่ในเรือนเฉินชีกลับมากลางดึก หลานจีที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดก็รีบลุกขึ้นเฉินชีมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย มิได้เอ่ยคำใดและเพียงแค่เดินผ่านไปเมื่อหลานจีเห็นเช่นนั้นก็ร้อนใจ รีบเดินเข้าไปขวางไว้ “ท่านแม่ทัพ!”เฉินชีกลับมิได้หยุดฝีเท้า ยังคงเดินไปข้างหน้าหลานจีรีบตามไปกอดเฉินชีจากด้านหลัง “ท่านแม่ทัพ เหตุใดช่วงนี้ท่านจึงเย็นชากับข้าถึงเพียงนี้”“ท่านแม่ทัพมิต้องการหลานจีแล้วจริงหรือเจ้าคะ?”เมื่อก่อนมิได้เป็นเช่นนี้ เมื่อก่อนท่านแม่ทัพรักใคร่เอ็นดูนางถึงเพียงนั้นปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจเหตุใดความรู้สึกเช่นนี้จึงเปลี่ยนไปได้เฉินชีมิสบอารมณ์ อยากจะดึงนางออกไปทว่าเมื่อลมพัดมา พลันได้กลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้อย่างชัดเจนชั่วขณะนั้น ดวงตาของเฉินชีพลันฉายแววเย็นเยียบ ความหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่วจู่ ๆ เขาก็ดึงตัวนางออกอย่างแรงพร้อมกับโทสะที่ปะทุออกมา“ผู้ใดให้เจ้าใช้กลิ่นดอกกล้วยไม้อีก?”“ข้ามิได้บอกเจ้าหรือว่าห้ามใช้กลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้!”ท่าทางโกรธเกรี้ยวของเฉินชีทำให้หลานจีใจหายวาบแต่นางก็ยังรวบรวมความกล้าคว้าจับชายเสื้อของเฉินชี แล้วกล่าวว่า “ท่า
เลียนแบบคนที่อยู่ในภาพวาดหลานจีตกตะลึงเสียงเย็นชาของเฉินชีดังขึ้นช้า ๆ “เห็นหรือไม่? สำหรับข้าแล้ว เจ้าก็เป็นเพียงหนึ่งในพวกนางเท่านั้น”“ที่ข้าให้เจ้าอยู่ในจวนข้ามานาน ถือว่าเจ้าโชคดีกว่าพวกนางมาก”“พวกนางมิเคยมีโอกาสได้แตะต้องตัวข้าเลยด้วยซ้ำ”“เจ้ายังมิพอใจอีก”หลานจีตกตะลึงมองเขา น้ำตาพลันไหลรินอย่างห้ามมิอยู่“พวกนางและข้าล้วนเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้นหรือ?”“คนที่พวกนางกำลังเลียนแบบ ก็คือคนที่คล้ายกับข้าหรือ?”หลานจียังจดจำได้ถึงครั้งแรกที่พบกันได้ สายตาที่เฉินชีมองนางราวกับกำลังมองคนที่ตกหลุมรักมานานก็เพราะสายตานั้นนางจึงตกหลุมรักเฉินชี จากนั้นก็ยากจะถอนตัวแต่วันนี้ นางกลับเข้าใจแล้วสายตาของเฉินชีในวันนั้นมิได้มองนางแต่มองคนอื่นเฉินชีตอบโดยมิลังเล “ใช่”“สิ่งที่เจ้าแตกต่างจากคนที่นี่คือเจ้ามิจำเป็นต้องเลียนแบบ ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับนางสามส่วน”“แต่เมื่อเทียบกับนางจริง ๆ ก็ยังห่างไกลนัก”“ของปลอมก็ยังคงเป็นของปลอมเสมอ”ในสมองของเฉินชีหวนนึกถึงครั้งแรกที่พบกับลั่วชิงยวนในแคว้นเทียนเชวียเขารู้สึกคุ้นเคยมาก และถึงกับถูกนางดึงดูดใจอย่างลึกซึ้งเป็นไปตามคาด นางค
ในมุมมืด เซี่ยหลิงที่ติดตามมาตลอดทางนอนอยู่บนหลังคา เมื่อเห็นภาพในเรือนก็ตกใจยิ่งนักเฉินชีถึงกับเลี้ยงดูสตรีมากมายไว้ที่นี่เพื่อให้เลียนแบบลั่วเหลา!เฉินชีที่ควบม้าจากไปไกลแล้วหันกลับมามองสายตาของเขาจับจ้องไปยังร่างที่นอนอยู่บนหลังคารอยยิ้มเย็นชาพลันปรากฏที่มุมปากของเขา......วันนั้นเวินซินถงถูกเซี่ยหลิงพาไปยังคฤหาสน์ชิงซานเมื่อเห็นหญิงงามมากมายในเรือน เวินซินถงก็ตกตะลึง“เห็นหรือไม่ขอรับ? นี่คือสิ่งที่เฉินชีทำมาโดยตลอด เขาฝึกคนมากมายเพื่อให้เลียนแบบลั่วเหลา”“และลั่วชิงยวนก็เป็นหนึ่งในนั้น!”“จุดประสงค์ของเขาตั้งแต่ต้นจนจบก็คือการแย่งชิงตำแหน่งนักบวชระดับสูงของท่าน แล้วท่านยังจะกล้าเชื่อคำพูดของลั่วชิงยวนอีกหรือขอรับ”เวินซินถงรู้สึกยากจะเชื่อ “แต่นางรู้เรื่องราวมากมายระหว่างข้ากับนาง”เซี่ยหลิงดึงนางเข้ามา ขณะยืนเผชิญหน้ากับนาง “แค่นางรู้มิได้หมายความว่านางคือลั่วเหลานะขอรับ!”“ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงใดที่ลมมิอาจลอดผ่าน เป็นไปได้ว่าเฉินชีจะรู้เรื่องราวในอดีตของพวกท่าน”“ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถของเฉินชี หากเขาต้องการรู้ บางทีก็อาจจะรู้ได้”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เวิ
ในเรือนมีกลิ่นสุราชั้นดีหอมอบอวลในอากาศยามนี้เวินซินถงกำลังนั่งรอคอยนางอยู่ลั่วชิงยวนประหลาดใจเล็กน้อยส่วนเวินซินถงเมื่อเห็นนางมาก็มีสีหน้าประหม่า“ท่านนักบวชระดับสูง” ลั่วชิงยวนเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนสีหน้าของเวินซินถงอ่อนโยนลงมาก มิเย็นชาเหมือนเมื่อก่อน “นั่งเถิด”ลั่วชิงยวนพยักหน้า จากนั้นเดินเข้าไปนั่งลงเวินซินถงรินสุราสองจอกยื่นให้นางจากนั้นมองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าคือศิษย์พี่ของข้าจริงหรือ?”“เช่นนั้นข้าอยากรู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าตายอย่างไร? เหตุใดจึงหายตัวไปอย่างกะทันหัน? แม้แต่ศพก็หายไปด้วย?”“ผู้ใดทำร้ายเจ้า?”เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงคำถามนี้ทำให้นางมิรู้จะตอบอย่างไร“ข้าก็มิรู้ว่าผู้ใดสังหารข้า ข้ามองมิเห็นใบหน้าของคนผู้นั้น”กล่าวจบ นางก็มองเวินซินถงด้วยสายตาจริงใจ “เจ้ายังมีข้อสงสัยอะไรอีกหรือไม่?”“อันที่จริงข้ายังมีของอีกสิ่งหนึ่ง หากเจ้าได้เห็น เจ้าก็น่าจะเชื่อ”ริมฝีปากของลั่วชิงยวนยกยิ้มจางเมื่อเวินซินถงได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “สิ่งใด?”ในใจของลั่วชิงยวนเกิดความตื่นเต้นเล็กน้อยหลังจากมาถึงแค
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน