LOGINแต่งงานได้เพียงสามเดือน สามีก็ถูกส่งไปชายแดน นางจึงได้แต่ภาวนาอยู่ทุกคืนวันให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย แต่สิ่งที่เขาตอบแทนกลับเป็น...การบีบบังคับให้หย่าและไล่ต้อนนางไปสู่ความตาย!
View More“หลี่เจี้ยนหัว ข้าขอหย่ากับท่าน!” หญิงสาวเหยียดยิ้ม มองสามีตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเย็นชา อดนึกย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อนไม่ได้
‘ซูอี้หราน’ แต่งเข้าสกุลหลี่เป็นฮูหยินของคุณชายสาม ‘หลี่เจี้ยนหัว’ มาสามปีแล้ว ช่วงสามเดือนแรกพวกเราเป็นสามีภรรยาทั่วไป รักใคร่ปรองดองไม่มีเรื่องหมางใจ ทุกวันเต็มไปด้วยความสุข แต่หลังจากนั้นก็มีราชโองการให้เขาไปประจำการที่ชายแดนทางเหนือ เนื่องจากชนเผ่านอกด่านเริ่มแข็งข้อ ทำให้
พวกเราต้องแยกจากกันทั้งที่พึ่งแต่งงานได้ไม่นานใครจะคิดว่าวันคืนที่ซูอี้หรานสวดภาวนาขอพระพุทธองค์ให้คุ้มครองเขา รอคอยการกลับมาของสามีด้วยความหวังจะกลับกลายเป็นฝันร้าย เพราะมีข่าวลือว่าฮ่องเต้จะพระราชทานสมรสให้เขากับองค์หญิงใหญ่ ผู้เป็นธิดาองค์โปรดของพระองค์ ทั้งที่มีนางเป็นฮูหยินเอกอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นจึงมีทางรอดให้ซูอี้หรานเพียงทางเดียวก็คือนางยอมเป็นฮูหยินรองเพราะบ้านเดิมเป็นเพียงตระกูลพ่อค้า แม้จะร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นจ้าว แต่ก็ยังไม่อาจเทียบความสูงศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์ได้อยู่ดี
ซึ่งเรื่องทั้งหมดหญิงสาวเข้าใจแตกฉาน ไม่คิดโกรธเคืองที่คนสกุลหลี่พยายามบีบบังคับนางทุกวิถีทาง ทั้งพูดอ้อม ๆ ขอร้องตรง ๆ หรือแม้กระทั่งสร้างเรื่องให้ได้รับโทษเพื่อกดดัน แต่ซูอี้หรานก็สามารถผ่านมาได้ทุกครั้ง แม้จะหวุดหวิดมากแค่ไหนก็ตามราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคอยช่วยเอาไว้เสมอ
แต่นางไม่มีเวลาให้ไขข้อสงสัยว่าใครเป็นคนช่วยเพราะแค่เอาตัวรอดในสกุลหลี่ก็ยากพอแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่วิธีการที่คนพวกนั้นนำมาใช้ก็ยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนความอดทนขาดสะบั้น ตั้งใจบุกไปหาสามีที่หลบหน้าตั้งแต่กลับมาจากชายแดนเพื่อถามให้ชัดเจนว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ แต่ก็ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบอยู่ร่ำไป
และที่ซูอี้หรานประวิงเวลาไม่ยอมตัดสินใจสักทีทั้งที่สถานะในสกุลหลี่ไม่มั่นคงและอันตราย ก็เพราะนางอยากได้ยินจากปากสามีว่าเขาต้องการทำอย่างไรต่อไป ด้วยราชโองการยังไม่ถูกประกาศออกไป เป็นแค่การเปรยลอย ๆ ของฮ่องเต้เพื่อดูท่าทีเท่านั้น ซึ่งหลี่เจี้ยนหัวก็นิ่งเงียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ และไม่พบนางตลอดสามเดือนที่เขากลับมา อ้างว่าที่ค่ายทหารมีงานต้องสะสางจึงไม่สามารถกลับมานอนที่จวนได้ จนกระทั่งวันนี้…
ทว่าไม่ได้มาเพียงคนเดียว ข้างกายยังมีสตรีรูปร่างอรชร เครื่องหน้าหมดจรดงามน่ามอง ผิวพรรณนวลเนียนสมกับที่ได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดี เมื่อรวมกับชุดสีม่วงปักด้วยดิ้นทองก็ยิ่งส่งเสริมให้ ‘จ้าวเยี่ยนหรู’ งดงามและสูงศักดิ์สมกับตำแหน่ง
องค์หญิงใหญ่เพียงหนึ่งเดียวของแคว้นการมาถึงของเชื้อพระวงศ์หญิงทำให้ทั้งคนสกุลหลี่ออกไปต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง มีเพียงซูอี้หรานที่ได้รับคำสั่งให้อยู่แต่ในเรือนห้ามออกไปข้างนอก เพราะกลัวนางจะไปสร้างเรื่อง
หากเป็นสถานการณ์ปกตินางย่อมเชื่อฟังอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ความสงสัยกลับมีมากกว่า สามีหลบหน้าโผล่มาอีกทีก็มีองค์หญิงใหญ่อยู่ด้วยจะไม่สงสัยได้อย่างไรว่าสรุปแล้วในใจของเขาเป็นเช่นไรกันแน่ นางไม่ยอมถูกปิดหูปิดตาจึงฝืนคำสั่งแอบออกมา ขอเพียงแอบมองไกล ๆ และเห็นสายตาที่เขามององค์หญิงใหญ่ก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
และความหวาดกลัวที่ซูอี้หรานพยายามกดมันให้ลึก
สุดหัวใจก็เป็นจริง ดวงตาคู่นั้นมองจ้าวเยี่ยนหรูอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่เพราะต้องทำหน้าที่อารักขาจึงไม่อาจคลาดสายตา แต่ว่ามีความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นออกมา และนางมั่นใจว่าสัญชาตญาณไม่ผิดพลาดแน่นอนในตอนนั้นเองซูอี้หรานก็กระจ่างเรื่องราวทั้งหมด นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสามีถึงหลบหน้าไม่ยอมพบ ทั้งไม่คิดจะออกหน้าปกป้องตอนที่ถูกสกุลหลี่รังแก นั่นก็เพราะในใจของเขาก็คิดเหมือนกัน จึงแสร้งหลับตาข้างหนึ่งยืมมือบิดามารดาให้จัดการนางที่เป็นอุปสรรค
พอมาคิดดูแล้วทั้งสองคนก็เหมาะสมกันใน
ทุกด้าน หลี่เจี้ยนหัวเหมาะกับการเป็นราชบุตรเขยอย่างยิ่งเพราะเป็นบุตรชายสายตรง และว่าที่ผู้นำตระกูลคนถัดไป เป็นคนหนุ่มอนาคตไกล ทั้งสกุลหลี่ก็เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์มาตั้งแต่สถาปนาแคว้นส่วนองค์หญิงใหญ่ก็เป็นธิดาองค์โปรด การที่ได้สมรสกับขุนนางย่อมดีกว่าถูกส่งไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ต่างแคว้นที่ไม่รู้ว่าชะตากรรมที่รออยู่จะเป็นอยเช่นไร เรียกว่าเป็นความลงตัวที่พอดีและช่วยส่งเสริมกันอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับซูอี้หรานที่มาจากตระกูลพ่อค้าพอเอามาเทียบกันก็ด้อยอยู่หลายส่วน จึงไม่แปลกที่นางจะถูกบีบทุกทางให้เป็นรอง
เพราะเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดีจึงเจ็บจนพูดไม่ออก หัวใจดวงน้อยบอบช้ำอย่างหนักกับความจริงที่พึ่งได้รับรู้ หยาดน้ำตาไหลรินอาบแก้ม ต่อให้พยายามเช็ดเท่าไหร่ก็ยังไหลออกมาราวกับ
เขื่อนแตก นางรู้สึกว่าเวลาที่รอคอยมาตลอดสามปีช่างว่างเปล่าอย่างยิ่ง ราวกับเป็นคนโง่งมก็ไม่ปานซูอี้หรานแทบครองสติเอาไว้ไม่อยู่ไม่รู้ว่าเดินกลับมา
ตอนไหน จนกระทั่งบังเอิญเจอกับนางกำนัลผู้หนึ่งกำลังทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าเรือนของนาง จึงเข้าไปสอบถามและมีการโต้เถียงกันเล็กน้อย เครียกวามสนใจจากคนกลุ่มใหญ่ที่ผ่านมาพอดีแม้หญิงสาวจะพอคาดเดาได้ว่ามันเป็นกับดัก แต่ด้วยอารมณ์ตอนนี้ที่อ่อนไหวจึงไม่มีสติคิดไตร่ตรองให้รอบคอบเช่นครั้งก่อน ๆ จนทำให้องค์หญิงใหญ่ไม่พอพระทัยกลับก่อนเวลาที่ตั้งใจเอาไว้ ซูอี้หรานจึงตกเป็นจำเลยว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้
เชื้อพระวงศ์หญิงไม่พอพระทัยหลี่ฮูหยินจึงสั่งให้ข้ารับใช้คนสนิทพาตัวซูอี้หรานไปที่
ลานกว้างเพื่อรอลงโทษระหว่างที่นางไปส่งองค์หญิงใหญ่ แม้ว่าพระองค์จะไม่ตรัสอะไรแต่การเร่งรัดจากไปทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังออกปากว่าจะดื่มน้ำชายามบ่ายด้วยกัน ก็แสดงถึงความไม่พอใจของพระองค์ได้เป็นอย่างดีเพราะฉะนั้นแม้พระองค์จะจากไปแล้วนางก็ควรแสดงท่าทีกำราบต้นเหตุที่ทำให้พระองค์อารมณ์เสียด้วย อย่างไรหูตาของพระองค์ก็กว้างไกลย่อมต้องเห็นความจริงใจของสกุลหลี่อย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดก็ถูกโบยสิบไม้และคุกเข่าสำนึกผิดที่ศาลบรรพชนจนกว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรผิด โดยไม่แม้จะถามความจากฝั่งนาง
ส่วน ‘เถียนเถียน’ ที่เป็นสาวใช้ก็ได้รับโทษถึงยี่สิบไม้ และหวิดถูกนำตัวไปขายที่ตลาดค้าทาส“นี่คือความจริงใจที่สกุลหลี่มีต่อองค์หญิงใหญ่สินะเจ้าคะ” ระหว่างที่โบยอยู่นั้น นางก็พูดและแดกดันอย่างอดไม่ได้
“ซูอี้หราน เห็นทีว่าบทลงโทษจะน้อยเกินไปสินะถึงยังปากกล้าอยู่เช่นนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่โกรธจนใบหน้าเปลี่ยนสี ชี้นิ้วหาซูอี้หรานอย่างเอาเรื่อง
“...เกิดอะไรขึ้นขอรับ” การมาถึงของหลี่เจี้ยนหัวทำให้การลงโทษหยุดชะงัก
“เจ้าสามกลับมาแล้ว เป็นอย่างไรบ้างองค์หญิงใหญ่ตรัสอะไรหรือไม่” เสียงของบุตรชายดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้หลี่ฮูหยินละความสนใจจากซูอี้หรานและปรับเสียงให้อ่อนลง
“ไม่ได้ตรัสอะไรเป็นพิเศษขอรับ แล้ว...”
“นางทำกิริยาไม่งามต่อหน้าองค์หญิง แม่จึงลงโทษ”
ไม่พูดเปล่า หลี่ฮูหยินยังลอบสังเกตสีหน้าของบุตรชายอีกด้วย แต่เมื่อเห็นว่ามันราบเรียบไร้อารมณ์จึงเบาใจ “เจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ ไปพักเถอะ”ซูอี้หรานมองตามแผ่นหลังของสามีที่ค่อย ๆ ไกลออกไปเรื่อย ๆ โดยไม่แม้จะปรายตามองนางด้วยซ้ำ ในใจก็ยิ่งกระจ่าง “...หลี่เจี้ยนหัว ข้าขอหย่ากับท่าน!”
กึก!
เท้าที่กำลังเดินหยุดชะงัก ก่อนจะเดินต่อไปราวกับเมื่อครู่เป็นเพียงลมพัดผ่าน แต่สำหรับหลี่ฮูหยินนั้นไม่ใช่ นี่เป็นคำที่นางรอคอยมาตลอด ขอเพียงซูอี้หรานหลีกทางให้ ความรุ่งโรจน์ของสกุลหลี่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ดีกว่าบีบเป็นรองให้ถูกคนภายนอกนินทาเป็นไหน ๆ
“ปล่อยนาง แล้วก็ไปเอากระดาษพู่กันมา”
“ขอรับฮูหยิน”
ชั่วชีวิตหนึ่งมีใครบ้างที่ไม่หลงเหลือความเสียใจเอาไว้เบื้องหลัง ต่างก็อยากกลับไปแก้ไขอดีตทั้งนั้นแต่ไหนเลยจะสามารถทำได้ ซูอี้หรานก็คือหนึ่งในนั้น ทุก ๆ วันนางจะคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่ามันผิดพลาดตรงไหน หรือเป็นเพราะนางโง่งมเกินไปจึงยอมถอยออกมาจากความสัมพันธ์อย่างง่ายดาย พวกเขาถึงมองว่านางอ่อนแอจะทำอะไรก็ได้ หลงลืมความดีที่เคยทำจนหมดสิ้น
แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรซูอี้หรานก็โทษตัวเองเป็นอันดับแรก นางทั้งไร้เดียงสาและโง่เขลา คิดเพียงว่าถ้ายอมหย่ากับสามีตามที่เขาและครอบครัวต้องการก็จะไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรพวกเราก็รู้จักกันมานานย่อมมีไมตรีหลงเหลืออยู่บ้าง ทว่าความจริงกลับโหดร้ายกว่านั้น ซูอี้หรานลืมนึกถึงบุคคลที่สามซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ ซึ่งเจ้าตัวไม่ยอมปล่อยนางไป
“แม่นางซู เจ้านายของข้ามีเรื่องจะคุยด้วย” ต่อให้พยายามขัดขืนก็ไม่สามารถสู้กับชายฉกรรจ์นับสิบชีวิตได้ ซูอี้หรานจึงยอมลงจากรถม้าแต่โดยดี พลันพบสาวใช้คนสนิทนอนหมดสติอยู่ที่นั่งบังคับม้า และมีเลือดกองโตไหลอยู่ที่พื้นดิน
“อึก!” เถียนเถียน...
ไม่มีเวลาเสียใจ ซูอี้หรานปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม รู้ตัวแล้วว่าองค์หญิงใหญ่ไม่มีทางปล่อยให้นางรอดอย่างแน่นอน อีกไม่นานก็คงได้ไปพบกัน ค่อยไปขอโทษที่ทำให้ต้องตายก็ยังไม่สาย
“ฮึก...นำทางไป องค์หญิงใหญ่ต้องการพบข้าไม่ใช่หรือ”
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะถูกบีบคั้นด้วยวิธีใดก็ยังพอมีเมตตาอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ยังไม่ถึงแก่ชีวิต แต่สำหรับสตรีตรงหน้านั้นอำมหิตกว่านั้น เพราะจ้าวเยี่ยนหรูต้องการให้ซูอี้หรานหายไปตลอดกาล
“มาแล้วหรือ” จ้าวเยี่ยนหรูหันไปมองซูอี้หรานพร้อมกับเหยียดยิ้ม นางมาดักรอขบวนรถม้าระหว่างทางไปเมืองทางใต้ ซึ่งประจวบเหมาะกับที่มีสถานที่เหมาะสำหรับกำจัดคนไม่ให้ทิ้งร่องรอยเอาไว้พอดี
ร่างบอบบางถูกผลักอย่างแรงจนเสียหลักล้มลงไป ก่อนจะพบว่าถ้าถูกผลักแรงกว่านี้เพียงนิดเดียวนางคงตกหน้าผาไปแล้ว ด้วยความสูงขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่คนฝึกยุทธ์เก่งกล้าไม่ว่าอย่างไรก็ตาย แล้วนางที่เป็นเพียงคุณหนูในห้องหอจะไปรอดได้อย่างไร คงไม่แคล้วต้องตายอย่างอนาถ
“...หม่อมฉันถอยให้พระองค์ถึงเพียงนี้แล้ว พระองค์ยังต้องการชีวิตหม่อมฉันอีกหรือเพคะ”
“หืม ดูเจ้าพูดเข้าสิ ข้าแค่อยากจัดการให้เรียบร้อยเท่านั้น” ดวงตาหงส์ประกายอำมหิต “เพราะเรื่องที่เจ้าหย่าทำให้เกิดข่าวลือในเมืองหลวงว่าข้าแย่งสามีเจ้า!”
ซูอี้หรานเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ พึ่งลงนามหย่าเมื่อวานเหตุใดคนนอกถึงรู้เรื่องเร็วนักเล่า “แล้วมันไม่จริงหรือเพคะ”
“เป็นเจ้าที่ไร้ความสามารถเองต่างหาก ในเมื่อยอมหย่าแล้ว เจ้าก็ยอมให้ข้าอีกหน่อยจะเป็นไรไป”
“...” ซูอี้หรานเม้มปากแน่น นางยอมจนไม่รู้จะยอมอย่างไรแล้ว เหตุใดคนพวกนี้ถึงไม่ปล่อยนางไปเสียที
“อย่ามองข้าอย่างนั้นสิ ข้ามีเมตตาอยากให้เจ้าไปอยู่กับครอบครัวเชียวนะ ควรขอบคุณถึงจะถูก”
“มะ...หมายความว่าอย่างไรเพคะ”
“ก็ปู่กับย่าของเจ้าอย่างไรเล่า ข้าส่งไปรอเจ้าที่ปรโลกแล้ว”
“!!!”
เหมือนถูกฟ้าผ่ากลางใจ ใบหน้าเล็กส่ายหน้าไปมาอย่าง
ไม่อยากเชื่อหู ดวงตากลมโตแดงก่ำพร้อมกับหยาดน้ำตาไหล อาบแก้มชวนน่าสงสาร ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้น แค้นต่อทุกคนที่มีส่วนทำให้นางเป็นเช่นนี้ นางมั่นใจว่าไม่เคยทำร้ายใคร ยอมถอยจนไม่รู้จะถอยอย่างไรแล้วก็ไม่ปล่อยนางไป ยังต้องการเอาชีวิตนางและคนรอบตัวไปด้วย“พะ...พวกเขาทำสิ่งใดผิดเพคะ”
“ก็แค่...มีสายเลือดเดียวกับเจ้า” จ้าวเยี่ยนหรูพูดอย่าง
ไม่ใส่ใจนัก“อ่า... ดียิ่ง เพราะเกิดมาสูงศักดิ์เลยไม่สนใจชีวิตของราษฎรว่าจะเป็นอย่างไรสินะ” ซูอี้หรานเสียดสี “ไหน ๆ ข้าก็จะตายแล้ว ทั้งที่ข้ายอมหลีกทางให้แล้วท่านก็ยังไม่รามือ แต่ก็โทษท่าน
คนเดียวไม่ได้หรอกเพราะคนที่เลี้ยงดูท่านมาก็ไม่ต่างกัน!”บุตรมีใจอำมหิตกล้าทำร้ายคนโจ่งแจ้งเช่นนี้ ย่อมมีบิดามารดาคอยให้ท้ายเก็บกวาด ไม่เช่นนั้นจะดูคุ้นชินไร้ความรู้สึกเห็นใจหรือ
“เจ้า!”
“ฮ่า ๆ ๆ ดียิ่ง ในเมื่อวันนี้เป็นวันตายของข้า ข้าก็ขอสาปแช่งทุกคนที่ทําให้ข้าต้องมีจุดจบเช่นนี้ เมื่อข้าร่วงหล่นสู่ผืนดินและหยาดโลหิตไหลริน เมื่อนั้นแคว้นที่ปกครองโดยทรราชจะต้องลุกเป็นไฟ ถูกชิงบัลลังก์จากกษัตริย์ผู้เปี่ยมคุณธรรม สิ้นชื่อ
สกุลจ้าว”“ฆ่ามันซะ!”
ฉึก!
ดาบยาวสามฉื่อ[1]ถูกแทงทะลุร่างของซูอี้หรานไป เป็นเหตุให้นางกระอักเลือดคำโต
“อึก ส่วนท่าน...” มือบางพยายามกดบาดแผลที่ท้องเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็ชี้ไปที่องค์หญิงใหญ่พร้อมมองด้วยสายตาอาฆาต “องค์หญิงใหญ่ผู้สูงศักดิ์จะต้องมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย ทุกข์ทรมานทั้งกายและใจชั่วกัปชั่วกาล อะไรที่ปรารถนาก็ขอให้มีคนแย่งท่านไป
ทุกครั้งจนไม่เหลืออะไรเลย!”“ทำอะไรอยู่ ฆ่านางและโยนลงไปเสีย จะปล่อยให้พูดจาอัปมงคลไปถึงไหน” จ้าวเยี่ยนหรูกรีดร้องออกมา
ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ซูอี้หรานเพราะตอนนี้นางกำลังถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงหนึ่งก้าวก็จะตกหน้าผา และหากมีคนเข้าไปเพิ่มเกรงว่าพื้นดินตรงนั้นอาจถล่มลงไป
การที่องค์หญิงใหญ่สามารถดักเจอนางได้ก็คงเพราะสกุลหลี่คาบข่าวไปบอก รวมถึงเรื่องที่นางถูกบีบคั้นต่าง ๆ นานาอีกด้วย โดยเฉพาะบุรุษผู้นั้นที่มาด้วยแต่ก็ไม่กล้าพบหน้านาง ได้แต่หลบอยู่ในรถม้าอย่างคนขี้ขลาด
ดวงตากลมโตจึงเคลื่อนไปมองที่รถม้าใกล้ ๆ “และ...
พวกตระกูลหลี่จะต้องชดใช้กรรมที่ก่อเอาไว้ อยากรุ่งโรจน์นักก็ขอให้ตกต่ำอย่างถึงขีดสุด สิ้นสกุลในรุ่นนี้ บรรพบุรุษจะต้องลุกขึ้นมาจากหลุมเพื่อก่นด่าที่ทำให้ชื่อเสียงดีงามต้องแปดเปื้อน แค่ก ๆ”ซูอี้หรานกระอักเลือดคำโต ก่อนจะมองอดีตสามีที่หลบอยู่ในรถม้าเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อสลักลึกลงไปว่าเกิดชาติหน้าอย่าได้เจอกันเขาอีก และทิ้งตัวลงจากหน้าผาสูงชัน ความเจ็บปวดแล่นทั่วทั้งร่าง กระดูกแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่สติจะดับวูบไปตลอดกาล...
[1] ฉื่อ เป็นหน่วยวัดของจีน โดย 1 ฉื่อ ≈ 33.3 ซม.
สกุลหลี่เป็นตระกูลเก่าแก่ของแคว้นจ้าว ในทุกรุ่นจะให้กำเนิดแม่ทัพเลื่องชื่อทั้งนั้น ทำให้แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเกือบหนึ่งร้อยปี สกุลหลี่ก็ยังคงเรืองอำนาจและสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพมาตลอด กอปรกับความจงรักภักดีและรู้ว่าควรทำเช่นไรถึงไม่โดดเด่นจนเกิดความระแวง ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และแน่นอนว่าอำนาจและเงินตราเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ ดังนั้นชนชั้นสูงในเมืองหลวงจึงอยากสานสัมพันธ์กับตระกูลหลี่เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งในปัจจุบันสกุลหลี่มีทายาทค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับตระกูลใหญ่ตระกูลอื่น เพราะอดีตแม่ทัพใหญ่หรือนายท่านหลี่มีบุตรชายทั้งหมดสามคนบุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายคนโต คนที่สามและบุตรสาวเกิดจากภรรยาเอก ส่วนบุตรชายคนรองเกิดจากอนุที่ได้รับพระราชทานมาจากฝ่าบาทพระองค์ก่อนถึงจะมีน้อยทว่าแต่ละคนก็มีความสามารถโดดเด่นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะบุตรชายคนโตที่เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น ดังนั้นเขาจึงวางใจลงจากตำแหน่งให้บุตรชายสานต่อ ส่วนตัวเองก็ถอยไปเป็นเบื้องหลังคอยปูทางให้บุตรชายได้ขึ้นไปเป็นผู้นำตระกูลอย่างราบรื่น ไม่ว่าจะสหายที่คบหา หรือภรรยาที่ตบแต่งล้วนผ่านการคิดมาอย่างดี
เมื่อย่างเข้าเดือนสิบเอ็ด อากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณว่าเข้าสู่ฤดูเหมันต์แล้ว มีสายลมเอื่อย ๆ พัดผ่านตลอดเวลาทำให้หนาวสะท้าน ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อยเพราะทำใจลุกจากเตียงได้ยาก ยกเว้นจวนเดียวที่บรรยากาศครื้นเครง ใบหน้าทุกคนต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มเร่งทำงานในมืออย่างกระฉับกระเฉง และสาเหตุก็เป็นเพราะคุณหนูเพียงหนึ่งเดียวจะออกเรือน ทั้งบ้านเจ้าบ่าวก็ไม่ได้เป็นเพียงคุณชายธรรมดาแต่เป็นคนหนุ่มอนาคตไกล ที่สำคัญทั้งสองยังรักปักใจมาตั้งแต่เล็กจนเกิดเป็นงานมงคลในวันนี้ซูอี้หรานปล่อยให้สาวใช้ช่วยขัดสีฉวีวรรณอย่างอดทน แม้ใต้ตาจะคล้ำเพราะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ทว่าดวงหน้ากลับ เปล่งปลั่งเต็มไปด้วยความสุขเมื่อคิดว่าอีกไม่กี่ชั่วยาม[1]สถานะของตนก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล เป็นเหตุให้เหล่าสาวใช้ที่มาช่วยแต่งตัวรู้สึกเอ็นดูอย่างอดไม่ได้ ทุ่มสุดความสามารถเพื่อให้คุณหนูงดงามที่สุดและมัดใจคุณชายสามหลี่ให้อยู่หมัดจนกระทั่งผ่านไปสองชั่วยามการเตรียมตัวอันยาวนานก็เสร็จสิ้น เหลือเพียงประทินโฉมอีกเล็กน้อย ปักปิ่นและคลุมผ้าแดง“หรานเอ๋อร์” ‘เจิ้งหว่านชิง’ เรียกหลานสาวเสียงอ่อนโยน“ท่านย่า”
“หลี่เจี้ยนหัว ข้าขอหย่ากับท่าน!” หญิงสาวเหยียดยิ้ม มองสามีตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเย็นชา อดนึกย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อนไม่ได้‘ซูอี้หราน’ แต่งเข้าสกุลหลี่เป็นฮูหยินของคุณชายสาม ‘หลี่เจี้ยนหัว’ มาสามปีแล้ว ช่วงสามเดือนแรกพวกเราเป็นสามีภรรยาทั่วไป รักใคร่ปรองดองไม่มีเรื่องหมางใจ ทุกวันเต็มไปด้วยความสุข แต่หลังจากนั้นก็มีราชโองการให้เขาไปประจำการที่ชายแดนทางเหนือ เนื่องจากชนเผ่านอกด่านเริ่มแข็งข้อ ทำให้พวกเราต้องแยกจากกันทั้งที่พึ่งแต่งงานได้ไม่นานใครจะคิดว่าวันคืนที่ซูอี้หรานสวดภาวนาขอพระพุทธองค์ให้คุ้มครองเขา รอคอยการกลับมาของสามีด้วยความหวังจะกลับกลายเป็นฝันร้าย เพราะมีข่าวลือว่าฮ่องเต้จะพระราชทานสมรสให้เขากับองค์หญิงใหญ่ ผู้เป็นธิดาองค์โปรดของพระองค์ ทั้งที่มีนางเป็นฮูหยินเอกอยู่แล้วเพราะฉะนั้นจึงมีทางรอดให้ซูอี้หรานเพียงทางเดียวก็คือนางยอมเป็นฮูหยินรองเพราะบ้านเดิมเป็นเพียงตระกูลพ่อค้า แม้จะร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นจ้าว แต่ก็ยังไม่อาจเทียบความสูงศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์ได้อยู่ดีซึ่งเรื่องทั้งหมดหญิงสาวเข้าใจแตกฉาน ไม่คิดโกรธเคืองท





