ฟู่เฉินหวนถือจอกสุราไว้ในมือ ใบหน้าของเขามืดมนเมื่อลั่วเยวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้างเห็นฉากนี้ นางก็ลุกขึ้นยืนทันทีและพูดว่า “เอาล่ะ หม่อมฉันจะร่ายรำแทนพี่หญิงของหม่อมฉันแล้วกัน!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้วและคว้าข้อมือของลั่วเยวี่ยอิงไว้ลั่วชิงยวนให้ความสนใจกับปฏิกิริยาของฟู่เฉินหวนเมื่อเหยียนหน่ายซินขอให้นางร่ายรำ ฟู่เฉินหวนกลับมิพูดอะไรเลย แต่ขณะที่ลั่วเยวี่ยอิงต้องการร่ายรำแทนนาง ฟู่เฉินหวนกลับคว้าข้อมือของลั่วเยวี่ยอิงโดยไม่รู้ตัวเขายังรู้อีกด้วยว่าการถูกขอให้ร่ายรำในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องดีเพียงดูก็รู้ว่า อัปยศอดสูเพียงใดนางเป็นพระชายาอ๋อง แต่นางกลับถูกขอให้ร่ายรำเพื่อทุกคนดูในฐานะสตรีจากหอนางโลมเมื่อองค์จักรพรรดิเห็นว่าฟู่เฉินหวนมิได้พูดอะไร เขาก็รู้ถึงทัศนคติของอีกฝ่าย โดยธรรมชาติแล้วเขาจะไม่มีวันปล่อยให้ลั่วชิงยวนแสดงการเต้นรำเด็ดขาดขณะที่เขากำลังจะพูดเพื่อหยุดเหยียนหน่ายซินทันใดนั้น ลั่วชิงยวนก็ลุกขึ้นยืนนางมองไปที่ลั่วเยวี่ยอิงและฟู่เฉินหวนด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะพูดว่า “หม่อมฉันจะร่ายรำเอง”ฟู่เฉินหวนเองก็มิได้แสดงท่าทีอะไรเช่นกัน หากลั่วชิงยวนแสดงกา
“หม่อมฉันคิดว่านั่นจะทำให้การร่ายรำดูงดงามจนมิอาจมีใครเทียบได้ทีเดียว”ทันทีที่คำพูดของเหยียนหน่ายซินจบลง เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาทันที เสียงหัวเราะปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันในห้องโถงอันเงียบสงบแห่งนี้เหยียนหน่ายซินมองไปที่เว่ยอวิ๋นเซี๋ย “เจ้าหัวเราะอะไร?”เว่ยอวิ๋นเซี๋ยยิ้มและพูดว่า “คุณหนูเหยียน ท่านมิรู้เหรอว่าลั่วชิงยวนเป็นสตรีอัปลักษณ์ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแห่งนี้ เมื่อนางอภิเษกกับอ๋องผู้สำเร็จราชการ หลายคนต่างพูดกันว่านางคือคางคกหมายกินเนื้อหงส์”“ท่านคงสามารถจินตนาการได้ว่านางมีใบหน้าที่น่าเกลียดมากเพียงใด”“ได้ยินมาว่านางถูกงูกัด จึงมีฝีเต็มหน้า”“หากท่านอยากให้นางถอดหน้ากากแล้วร่ายรำ ข้าเกรงว่าจะดูน่าเกลียด น่าขยะแขยงจนแทบคลื่นไส้อาเจียน!”การเย้ยหยันอย่างไร้ยางอายของเว่ยอวิ๋นเซี๋ยก็เหมือนกับการเปลื้องผ้าของลั่วชิงยวนต่อหน้าธารกำนัล เปิดเผยสิ่งที่นางกลัวต่อสาธารณะและเหยียบย่ำนางตามอำเภอใจ ย่อมทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกอับอายอย่างแน่นอนทว่า เว่ยอวิ๋นเซี๋ยจะรู้ได้อย่างไรว่าในขณะนี้หัวใจของลั่วชิงยวนกลับสงบเป็นพิเศษ แต่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร หลังจากที่เหยียนหน่า
ในตอนแรกเหยียนหน่ายซินอดทนกับสิ่งนี้ แต่ลั่วชิงยวนแกว่งดาบใส่นางหลายต่อหลายครั้ง!ด้วยระยะของดาบที่เข้ามาใกล้ ก็ทำให้ผมของนางถูกตัดไปหลายครั้ง อีกทั้งรังสีสังหารที่เปล่งออกก็ยิ่งทำให้เหยียนหน่ายซินรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกแทงด้วยดาบจนตายเหยียนหน่ายซินจะทนกับสิ่งนี้ได้อย่างไร นางตบโต๊ะด้วยความโกรธ “ลั่วชิงยวน ทำเช่นนี้หมายความเยี่ยงไร?!”ทว่า สิ่งที่ลั่วชิงยวนตอบโต้นางกลับเป็นการแกว่งดาบใส่นางอย่างดุเดือดการแสดงออกของเหยียนหน่ายซินเปลี่ยนไปอย่างมาก “เรียกคนเข้ามา! เรียกคนเข้ามา!”เหยียนหน่ายซินตื่นตระหนกราชองครักษ์เห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง พวกเขาจึงกำลังจะชักดาบออกมา แต่จักรพรรดิกลับลอบมองพร้อมกับส่งสัญญาณให้พวกเขา พวกเขาจึงกลับไปยืนประจำในตำแหน่งเดิมหากปราศจากคำสั่งของจักรพรรดิก็ไม่อาจมีผู้ใดกล้าขยับเขยื้อนในห้องโถงแห่งนี้ จากนั้นพวกเขาก็เฝ้าดูอย่างช่วยมิได้ขณะที่ลั่วชิงยวนแกว่งดาบใส่เหยียนหน่ายซิน หลายคนกลั้นหายใจขณะที่มองดู ลั่วชิงยวนคงมิได้จะฆ่าเหยียนหน่ายซินจริง ๆ ใช่หรือไม่อย่างไรก็ตามความจริงไม่เป็นเช่นนั้นดาบยาวแหลมคมในมือของลั่วชิงยวนวาดผ่านไปที่แก้มของเหยียนหน่า
ลั่วชิงยวนจะปล่อยให้เหยียนหน่ายซินตบนางได้อย่างไร เช่นนั้นนางจึงยกมือขึ้นเพื่อคว้าข้อมือของอีกฝ่าย เหยียนหน่ายซินตกใจ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธลั่วชิงยวนปล่อยข้อมือนางอย่างรุนแรงพร้อมกับเย้ยหยัน “ท่านมิได้เป็นคนเชื้อเชิญให้ข้าร่ายรำหรอกหรือ? เหตุใดท่านจึงโกรธอีกแล้ว?”“เจ้ายังต้องการให้ข้าอธิบายในสิ่งที่เจ้าทำอีกงั้นรึ? ลั่วชิงยวน เจ้าตั้งใจทำทุกอย่าง! เจ้าตั้งใจทำให้ข้าอับอาย!” เหยียนหน่ายซินโกรธจัดและตำหนิอีกฝ่ายอย่างรุนแรงลั่วชิงยวนยังคงมีท่าทีสงบ นางเอ่ยอย่างใจเย็น “ท่านมิได้ตั้งใจจะทำให้ข้าขายหน้าโดยขอให้ข้าร่ายรำหรอกหรือ? อย่างนั้นก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน”“ข้าแตกต่างจากเจ้า!” เหยียนหน่ายซินโกรธมากนางคือว่าที่ฮองเฮา!หากกล้าที่จะทำให้นางขายหน้า แสดงว่าคนผู้นั้นกำลังรนหาที่ตาย!เว่ยอวิ๋นเซี๋ยก็ยังเย้ยหยันอีกด้วยว่า “ใช่แล้ว คุณหนูเหยียนมิใช่คนที่พระชายาเปลือกปลอมอย่างท่านจะเทียบได้ ท่านควรตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา กล้าดีอย่างไรถึงเปรียบเทียบตัวเองกับคุณหนูเหยียน”“อัปลักษณ์ก็ช่างปะไร ทว่ากลับมิเจียมเนียมเจียมตัว กล้ายั่วยุคุณหนูเหยียนในที่ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้”เ
หลังจากที่นางสวมหน้ากากแล้ว ฟู่เฉินหวนก็ปล่อยนางและผูกสายรัดหน้ากากให้นางลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับมองไปยังฟู่เฉินหวน ดวงตาของเขาเย็นชา แม้แต่ใบหน้าของเขาก็ไม่แปลกใจเลย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เห็นใบหน้าของนางเช่นกันผู้คนในวังต่างตกตะลึง พวกเขาคิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้ด้วยวิธีนี้ ใบหน้าของลั่วชิงยวนจึงได้รับการปกป้องจากสายตาของผู้คนภายนอกใบหน้าของลั่วชิงยวนนั้นอัปลักษณ์มากจริง ๆเกรงว่าหากใบหน้าของลั่วชิงยวนเปิดเผยออกมากคงจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะเอาได้ เช่นนั้นนางก็จะต้องขายหน้าอย่างแน่นอนท้ายที่สุดแล้ว ท่านอ๋องจะมีพระชายาที่อัปลักษณ์ถึงเพียงนี้ได้เช่นไร?หลายคนคาดเดาเช่นนี้“กลับไปพักผ่อนเถอะ” ฟู่เฉินหวนกระซิบข้างหูของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนพยักหน้า นางหันหลังกลับและจากไปเหยียนหน่ายซินลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดด้วยความโกรธ “เจ้าจะเดินออกไปง่าย ๆ เช่นนี้งั้นรึ?!”ฟู่เฉินหวนหันหน้าด้วยสายตาอาฆาต น้ำเสียงของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “เจ้าต้องการอะไร?”คำขู่ที่ถ่ายทอดออกมาด้วยน้ำเสียงทำให้นางหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลังเหยียนหน่ายซินรู้สึ
มารดาของเขาก็ชอบร่ายรำใต้แสงจันทร์ด้วยเช่นกัน!ลั่วเยวี่ยอิง พยักหน้า “เพคะ”ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกภูมิใจ ด้วยคำแนะนำของบิดาที่มอบให้แก่นางนั้นได้ผลจริง ๆ!…… ลั่วชิงยวนจากไปแล้วเดินตรงกลับไปยังที่พักของนางเมื่อเข้าไปในลานตำหนัก นางก็เห็นร่างโปร่งสีขาวภายใต้แสงจันทร์ แสงจันทร์ตกกระทบร่างอันหล่อเหลาและเสื้อผ้าสีขาวของเขา ท่ามกลางแสงสว่างนั้น เขาดูราวกับเทพเซียนที่มาจุติลงในโลกมนุษย์“องค์ชายห้า?” ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้า“ท่านมิได้ไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำหรือ?”ฟู่อวิ๋นโจวยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ไม่สำคัญว่าข้าจะไปหรือไม่”“เจ้าว่างหรือไม่? ไปเดินเล่นด้วยกันได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนต้องการปฏิเสธ แต่ทิวทัศน์บนภูเขานั้นงดงามมากจริง ๆ อีกทั้งเวลานี้นางก็ยังไม่ง่วงนอน ด้วยความเบื่อหน่ายนางจึงตอบตกลง“เพคะ”ทั้งสองคนเดินออกจากตำหนักไปเดินเล่นลมยามค่ำคืนอันหนาวเย็นทำให้ฟู่อวิ๋นโจวซึ่งสวมอาภรณ์เพียงบาง ๆ เริ่มไอขณะที่เดินออกไปไกลเรื่อย ๆ ลั่วชิงยวนหยุดเดิน ก่อนที่จะเอ่ยว่า “เหตุใดท่านมิกลับไปสวมอาภรณ์ที่หนากว่านี้เพคะ?”ฟู่อวิ๋นโจวส่ายหน้า “ข้าชินแล้ว เดินต่อไปกันเถอะ”ลั่วชิงยวนเข้า
ไม่มีใครสามารถแทนที่ตำแหน่งของลั่วเยวี่ยอิงในใจของฟู่เฉินหวนได้นางเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีทว่าเมื่อนางเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาแล้วก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไรนักฟู่อวิ๋นโจวยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะพาเจ้าไปที่สักแห่ง”“ไปที่ใด?” ลั่วชิงยวนอยากรู้อยากเห็น“ตามข้ามา!” ฟู่อวิ๋นโจวพูดแล้วพานางออกไปอย่างรวดเร็วทั้งสองเดินไปผ่านทางอันคดเคี้ยวหลายต่อหลายครั้งจนมาถึงสวนขนาดใหญ่ ชิงช้าที่สร้างด้วยเถาวัลย์พลิ้วไหวตามสายลม และรอบสวนก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้“วันนี้ข้าค้นพบที่แห่งนี้โดยบังเอิญ ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้อาจทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นได้”ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องในลานกว้าง ทั่วทั้งสวนเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของมวลหมู่ดอกไม้และต้นไม้ ชิงช้าขนาดใหญ่ทำให้ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะนั่งบนนั้น ฟู่อวิ๋นโจวก้าวไปข้างหน้าและแกว่งชิงช้านั้นอย่างแรงลั่วชิงยวนเริ่มแกว่งไปมา“โอ้ ช่างสูงนัก” เมื่อไปถึงจุดสูงสุด ลั่วชิงยวนก็ยังคงมองเห็นแสงไฟในส่วนอื่นของวัง ทุกสิ่งสว่างไสวอย่างสวยงามมากจริง ๆ!เมื่อเห็นลั่วชิงยวนมีความสุขมาก ฟู่อวิ๋นโจวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขเช่นกัน ชิงช้าที
เหยียนหน่ายซินยิ้มอย่างภาคภูมิใจและพูดว่า “ว่าอย่างไร ท่านอยากจะวาดภาพหรือไม่?”ฉินไป๋หลี่อดทนแล้วอดทนอีก หากเขาไม่ได้รับเงินสนับสนุน สถานการณ์ของพี่ใหญ่ของเขาคงเป็นอันตรายมาก!เขากลัวเมื่อคิดถึงคำแนะนำของลั่วชิงยวนบนรถม้า“ข้าจะวาด!” ฉินไป๋หลี่ยังคงประนีประนอม“เช่นนั้นท่านต้องวาดภาพให้ดี ข้าจะแขวนภาพวาดนี้ไว้ในตำหนักของจักรพรรดิในภายหน้า”เหยียนหน่ายซินนั่งลงบนเก้าอี้นางรับใช้ยื่นถ้วยน้ำชาวางไว้ด้านข้างเหยียนหน่ายซินนั่งดื่มชาอย่างสบาย ๆ พลางดูฉินไป๋หลี่วาดภาพความงามให้นางนางต้องการเห็นว่าภาพวาดของฉินไป๋หลี่นั้นดีเพียงใด ผู้คนมากมายต่างก็พูดเสียงเดียวกันในทางที่ดี แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังเต็มไปด้วยการสรรเสริญชื่มชมภาพเหล่านั้นและถึงกับออกปากว่าภาพวาดของนางนั้นด้อยกว่าของฉินไป๋หลี่นางไม่เชื่อ!ฉินไป๋หลี่วาดรูปสตรีที่งดงามแล้วมอบให้เหยียนหน่ายซินเหยียนหน่ายซินเหลือบมองมัน จากนั้นนางก็เย้ยหยันเบา ๆ ก่อนที่จะหยิบภาพนั้นขึ้นแล้วฉีกออกเป็นสองชิ้นด้วยเสียงดังแควกนางโยนภาพนั้นลงพื้นด้วยความรังเกียจ “ท่านจะใช้ภาพเยี่ยงนี้หลอกข้างั้นรึ?”“นางรับใช้ของข้าทุกคนวาดภาพได้ดีกว่าน
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ