คนที่ดูเหตุการณ์อยู่ภายนอกต่างวิตกกังวลเสียงของสัตว์ร้ายดังขึ้นในหูของลั่วชิงยวน ความกลัวในหัวใจนางก็ยิ่งกินพื้นที่มากขึ้นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทั่วร่างกายของนางทำให้ลั่วชิงยวนมิแข็งแกร่งเท่าที่ควร แต่นางก็เลือกที่จะกัดฟันทนต่อไปนางจะมาตายที่นี่มิได้!นางมิยอมตายในสถานที่อัปยศเช่นนี้!เหยียนหน่ายซิน!ดวงตาของลั่วชิงยวนเต็มไปด้วยความดุร้าย เมื่อนางต่อต้านการโจมตีของหมาป่า นางก็ยกขาขึ้น เตะหน้าท้องของมันอย่างแรง และเตะมันออกไปหมาป่าไม่รู้สึกเจ็บปวดและเข้าตะครุบนางอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งลั่วชิงยวนตบฝ่ามือลงบนพื้น พลิกตัว กระโดดขึ้นไปในอากาศ และหลีกเลี่ยงการโจมตีของหมาป่าในเวลาเดียวกัน ก็เตะเข้าที่หัวหมาป่าอย่างแรงนางเตะหมาป่าแรงจนร่างของมันกระแทกเข้ากับกรงเหล็กภายใต้การโจมตีอย่างหนักหน่วง ลั่วชิงยวนมองเห็นช่องโหว่ที่บริเวณข้อต่อของกรงเหล็ก“น่าตื่นเต้นมากทีเดียว!”“ความแข็งแกร่งของคนพวกนี้มิธรรมดาเลย!”แม้ว่าคนในวังจะไม่พอใจกับสิ่งนี้ แต่พวกเขาก็ยังคงหลงใหลไปกับมัน ทั้งประหม่าและน่าตื่นเต้นถึงขีดสุดทันทีที่ฟู่เฉินหวนนั่งลง เขาก็ขมวดคิ้วและรู้สึกสับสนเมื่อเห็นร่างในกร
ลั่วชิงยวนเหลือบมองเหยียนหน่ายซินด้วยสายตาที่เย็นชา ขณะที่หมาป่าคำรามและกระโจนเข้าหา ลั่วชิงยวนก็คว้าชิ้นส่วนอันแหลมคมของหน้ากากไว้ แล้วเลื่อนถอยหลังออกไปเศษชิ้นส่วนตัดเข้าที่สวนท้องของหมาป่าหมาป่าซึ่งถูกกระตุ้นด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง กลับกลายเป็นดุร้ายมากขึ้นและรีบพุ่งเข้าหาลั่วชิงยวนอีกครั้งลั่วชิงยวนกระโดดขึ้นและกระแทกเข้าที่จุดบอดของกรงจนมันเปิดออกนางรีบทะยานตัวออกไปในขณะนั้น ผู้ชมทั้งหมดต่างตกตะลึง!มีเสียงโห่ร้องและอุทานดังขึ้น“ลั่วชิงยวน!” เหยียนหน่ายซินตกใจและตะโกนออกไปด้วยความโกรธลั่วชิงยวนบ้าหรือไร? หาเรื่องกระโจนออกจากกรงเนี่ยนะ!ทันทีที่สามคำนี้ถูกตะโกนออกมา ผู้ชมทั้งหมดก็กรีดร้องด้วยความประหลาดใจม่านตาของฟู่เฉินหวนหรี่ลง เขาจ้องมองไปยังใบหน้างดงามน่าทึ่งที่ปกคลุมไปด้วยเลือดและเจตนาสังหารอย่างตั้งใจนั่นคือ... ลั่วชิงยวนอย่างนั้นหรือ?ตลกไปใหญ่แล้ว!อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทันได้ตอบสนอง ขณะที่ลั่วชิงยวนออกจากกรงมาได้ นางก็คว้าไหล่ของเหยียนหน่ายซินไว้ทันทีนางผลักอีกฝ่ายเข้ากับกรงด้านหลังอย่างแรง“อ๊าก!” เหยียนหน่ายซินพุ่งตรงไปที่ปากหมาป่าช่องท้องของ
ทุกคนกำลังตกตะลึงและไม่อาจเรียกเตือนสติได้เป็นเวลานาน“ใช่ นางน่าเกลียดมากจนไม่เคยถอดหน้ากาก เหตุใดวันนี้นางจึง...”ทุกคนไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือใบหน้าของลั่วชิงยวนผู้ซึ่งได้ฉายาว่าเป็นสตรีอัปลักษณ์ที่สุดในเมืองหลวง เป็นที่โจษจันกันว่านางคือคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์มิใช่หรือ?เรื่องรูปร่างหน้าตาของลั่วชิงยวนนั้นนับว่าน่าตกใจยิ่งกว่าตอนที่เหยียนหน่ายซินเกือบจะถูกหมาป่ากัดจนตายเสียอีก“มิแปลกใจแล้วว่า ไฉนท่านอ๋องจึงมิยอมให้ลั่วชิงยวนถอดหน้ากาก ข้าเคยคิดว่าเป็นเพราะเขากลัวว่าใบหน้าของนางจะทำให้ท่านอ๋องอย่างเขาเสียชื่อเสียง ครั้นเมื่อเห็นอย่างวันนี้แล้ว ก็ชัดเจนแล้วว่าเขากลัวว่าผู้คนได้ยลโฉมความงามของชายาตัวเองมากกว่า!”“อ้อ! ต้องใช่แน่! ต้องเป็นเหตุผลนี้แน่นอน!”“ท่านอ๋องมิเห็นแก่หน้าพวกเราเลยจริง ๆ ถึงได้ซ่อนพระชายาผู้งดงามเอาไว้เช่นนี้”ทุกคนต่างพูดถึงเรื่องนี้กันไม่หยุดปากลั่วเยวี่ยอิงนั่งอยู่บนที่นั่งของนาง ไม่อาจเรียกสติกลับมาได้เป็นเวลานานเมื่อฟังคำพูดรอบตัว นางได้แต่รู้สึกตกใจและโกรธอย่างรุนแรงที่สุดไฉนลั่วชิงยวนถึงมีหน้าตางดงามเช่นนั้น?ไฉนนางจึงไม่มีรอยแผลเป็นบนใบห
เขานึกอยากจะพาตัวลั่วชิงยวนออกไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เขามิรู้ว่าจะกล้าสู้กับสายตาเย็นชาของนางได้อย่างไรบรรดาหมอถูกส่งไปทีละคน พวกเขาถือล่วมยาและเวชภัณฑ์มากมายอยู่ในมือด้วยเมื่อมองแวบแรก ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไปรักษาอาการบาดเจ็บของเหยียนหน่ายซินฟู่เฉินหวนหยุดหนึ่งในนั้น “หมอหลวงสวี่”หมอหลวงสวี่หยุดและพูดว่า “พ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าอยู่นี่และคอยดูแลองค์ชายห้าและพระชายาอ๋องแล้วกัน ที่นี่ไม่มีหมอหลวงอยู่เลย”“พ่ะย่ะค่ะ”…… หลังจากที่ฟู่อวิ๋นโจวได้รับยา และอาการทางกายภาพของเขาเป็นปกติดีแล้ว ลั่วชิงยวนก็เบาใจได้เปลาะหนึ่ง ก่อนจะฟลุบหลับลงไปกับโต๊ะฟู่เฉินหวนเดินเข้าไปในห้องอย่างช้า ๆ หยิบเสื้อคลุมขึ้นมาแล้วสวมให้ลั่วชิงยวนอย่างระมัดระวังลั่วชิงยวนตื่นขึ้นมาในขณะนั้น แต่นางอ่อนล้าเหลือทนและไม่อยากจะขยับกายแม้แต่น้อยในเวลานี้องค์จักรพรรดิก็รีบมาอย่างใจจดใจจ่อ“พี่สาม พี่สาม! นางผู้นั้นคือลั่วชิงยวนจริงหรือ? ท่านนี่ใจร้ายจริง ๆ เก็บงำเรื่องนี้ไว้จากข้ามาตั้งนาน!” ฟู่จิ่งหานรีบเข้าไปในห้องฟู่เฉินหวนส่งเสียง ‘ชู่ว’ ออกไปทันทีองค์จักรพรรดิตกใจเล็กน้อย เขาลดเสียงลง และชี้ไปยังร่างที่นอนอ
ฟู่เฉินหวนหายใจไม่ออกเขากำมือแน่นจนเลือดแทบไหลฉากที่เขาเห็นเบื้องหน้ายิ่งทำให้จิตใจของเขาระส่ำระส่ายลั่วชิงยวนอยู่ข้างเตียง จับมือของฟู่อวิ๋นโจวไว้แน่น และพูดคุยกับเขาด้วยความกังวลฟู่เฉินหวนไม่ต้องการได้ยินอะไรสักคำ ไม่อยากแม้แต่จะเหลือบมองซ้ำ เขาเลือกที่จะหันหลังกลับและจากไปแทน “เซียวชู พาคนสองสามคนมาเฝ้านางอย่างลับ ๆ และปกป้องนางด้วย” ฟู่เฉินหวนเดินออกจากลานและสั่งเซียวชูเซียวชูตกใจเล็กน้อย “แต่... คดีขององค์ชายห้าจะไม่ตรวจสอบแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว ฟู่อวิ๋นโจวฟื้นแล้ว เพียงมีคำให้การของเขา ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยดี” นี่อาจเป็นข้อดีอย่างเดียวของการที่ฟู่อวิ๋นโจวฟื้นขึ้นมา“แต่ต้องแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เตรียมแพะรับบาปไว้ล่วงหน้าและแกล้งทำเป็นบุคคลที่สามในคืนนั้นด้วย”เซียวชูตอบด้วยความเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ!”จากนั้นฟู่เฉินหวนก็เดินจากไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้งภายในห้องลั่วชิงยวนคว้ามือของฟู่อวิ๋นโจวอย่างประหม่า “ท่านตื่นแล้วหรือ? ไฉนมือของท่านจึงเย็นนัก?”ลั่วชิงยวนพยายามอย่างหนักที่จะทำให้เขาอบอุ่นขึ้น แต่พบว่าอุณหภูมิร่างกายของฟู่อวิ๋นโจวค่อย ๆ ลดลงนา
“พระชายา!” จู่ ๆ เซียวชูก็ปรากฏตัวขึ้นและก้าวไปประคองนางไว้ “พระชายา ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นก็ควรกลับไปพักฟื้นเสียก่อน!”เมื่อเห็นเซียวชู ลั่วชิงยวนก็สะดุ้งและคว้าแขนของเขาไว้ “ร่างของหมอกู้อยู่ที่ใด?”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซียวชูก็ประหลาดใจ ดวงตาของเขาว่างเปล่าและสับสน “ศพ? หมอกู้?”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว "ใช่ มีร่างของหมอกู้อยู่ในห้องนั้น!”เซียวชูขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ“ไม่มีร่างของหมอกู้เลยขอรับ”“หลังจากเหตุการณ์ระหว่างท่านกับองค์ชายห้าในคืนนั้น เราก็ไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบทันที ดูจากร่องรอยในที่เกิดเหตุ ไม่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วย!”“ข้าก็มิเห็นศพของหมอกู้เหมือนกันขอรับ”ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดออกมาเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็รู้สึกขนหัวลุกไม่มีศพหรือ?เหตุใดจึงไม่มีศพ?นางฆ่าหมอกู้ด้วยมือของนางเอง!หรือว่าหมอกู้จะยังมิตาย? เขาหนีไปได้งั้นหรือ?เป็นไปมิได้!ในเวลานั้นกริชจันทร์เสี้ยวเกือบจะตัดศีรษะของหมอเทวดากู้ออกไป เขาจะตายอย่างแน่นอน! นางมิอยากจะเชื่อ จึงกลับไปที่ห้องที่เกิดอุบัติเหตุเพื่อตรวจสอบดังที่เซียวชูกล่าว ตำแหน่งของศพในห้
ลั่วชิงยวนเดินจากไปอย่างผิดหวังเซียวชูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วของเขาขมวดมุ่น และคิดว่าเขาพูดอะไรผิดหรือไม่?เมื่อลั่วชิงยวนกลับมาที่ห้อง ฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถามด้วยความกังวล “พบแล้วหรือยัง”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า นางนั่งลงเพื่อตรวจดูชีพจรของฟู่อวิ๋นโจวแล้วถามว่า “เมื่อพิษเริ่มทำงาน ท่านจะมีอาการเช่นไร?”ฟู่อวิ๋นโจวตกใจเล็กน้อยและดูเศร้าซึม เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่พบยาแก้พิษ“ร่างกายของข้าจะรู้สึกหนาวราวกับถูกแช่แข็งอยู่ในห้องเก็บน้ำแข็งใต้ดิน…”ฟู่อวิ๋นโจวพูดอย่างระมัดระวังโดยไม่เก็บงานรายละเอียดใด ๆลั่วชิงยวนวิเคราะห์จากสิ่งที่เขาพูด จากนั้นจึงเขียนใบเทียบยา แล้วไปเตรียมยาด้วยตนเองแม้ว่าพิษที่ฟู่อวิ๋นโจวได้รับจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็เป็นการดีกว่าที่จะระงับมันไว้ชั่วคราวและทำให้เขารอดชีวิตไปได้ในช่วงเวลานี้ก่อนตราบใดที่เขาให้เวลานางอีกสักหน่อย นางจะค่อย ๆ ค้นคว้ายาแก้พิษออกมาได้แน่!ฟู่อวิ๋นโจวกินยาแล้วและทุกอย่างก็ปกติดี อาการของเขามิได้ทรุดลงแต่อย่างใด ทว่าลั่วชิงยวนก็มิหายกังวลและคอยเฝ้าอยู่ในห้องตลอดเวลาเนื่องจากผลของยา ในไม่ช้าฟู่อวิ๋นโจวจึงเข้าสู่ภาวะหลับลึกท่ามกลา
ฝ่ามือที่เย็นเล็กน้อยของเขาสัมผัสลงบนผิวหนังของลั่วชิงยวน ทำให้หูของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที ก่อนที่นางจะตะโกนขึ้นด้วยความโกรธว่า “ไปให้พ้น!”“อย่าขยับ!” ฟู่เฉินหวนรู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขามีเลือดออกรอยแส้ทั่วร่างเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อไร?ผิวหนังแตก เนื้อฉีก มีกลิ่นเค็มชัดเจน นี่คงเป็นน้ำเกลือ!ฟู่เฉินหวนหนักมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น“ฟู่เฉินหวน นี่ท่านคิดจะทำอะไร!” ลั่วชิงยวนคว้าอาภรณ์ขึ้นมาปกปิดร่างกายของตน นางจ้องมองบุรุษตรงหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำฟู่เฉินหวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นความลำบากใจและการต่อต้านของนางเมื่อดูการกระทำของนาง ฟู่เฉินหวนก็เกิดกังวล"ข้าขอโทษ"การที่จู่ ๆ เขาก็เอ่ยปากขอโทษ นั่นทำให้ลั่วชิงยวนตกใจครู่ต่อมา มือใหญ่โตก็วางลงบนลำคอของนางมีเสียงดัง ‘แคว่ก’ เกิดขึ้นเสื้อผ้าของนางขาดวิ่นความเยือกเย็นที่พัดเข้ามาทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกละอายใจเล็กน้อยนางขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ฝ่ามือของฟู่เฉินหวนกลับกดไหล่ของนางไว้ได้อย่างแน่นหนาเขายังขู่ซ้ำ “หากเจ้าขยับอีกครั้ง ข้าจะฆ่าฟู่อวิ๋นโจวเสีย!”ลั่วชิงย
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน