เมื่อโชคชะตาชักนำให้บุรุษนิรนาม ช่วยเหลือ ‘หลี่จื่อเหยา’ ฟื้นจากความตาย หากยังไม่ทันตอบแทนบุญคุณ เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จนกระทั่งวันที่นางจำต้องออกเรือนตามคำสั่งของพี่ชาย ‘มู่หรงอี้หวาย’ บุรุษผู้นั้นจึงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งโดยไม่มีผู้ใดคาดคิด และประกาศเจตจำนงที่จะเป็น ‘สามี’ ของนาง หากสิ่งที่หลี่จื่อเหยาไม่อาจล่วงรู้ก็คือ บุคคลลึกลับ ผู้มีพระคุณ ผู้ที่ทั้งหล่อเหลา แสนสุภาพ จนทำให้นางต้องเฝ้าคะนึงหามาตั้งแต่แรกพบคราวนั้น จะกลับกลายเป็นอสูรร้ายในห้องหอ ผู้ฉีกกระชาก และย่ำยีหัวใจนางจนย่อยยับ ความลับของมู่หรงอี้หวายที่ซุกซ่อนไว้คืออะไร… หรือที่จริงแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการที่เขาตระเตรียมไว้ เพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง “สามวันสามคืน” นัยน์ตาสีเข้มเต็มไปด้วยเพลิงปรารถนาอย่างไม่ปิดบัง “มะ…หมายความว่า เรา…” หลี่จื่อเหยาหน้าแดงก่ำ ใจเต้นระรัวแรง “ข้าจะอยู่กับเจ้า กอดเจ้า รักเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ไปไหนทั้งนั้นเป็นเวลาสามวันสามคืน” เขาอธิบายพลางปลดอาภรณ์ของตนออกทีละชิ้น
View Moreทรมาน ข้าทรมานเหลือเกิน
เปลือกตาหนักอึ้ง สติค่อยๆ เลือนราง
ข้ากำลังจะตายงั้นรึ
ท่านแม่ ท่านพี่ จื่อเหยาขอลา...
แค่ก แค่ก แค่ก!
หลี่จื่อเหยาสำรอกน้ำออกมาจากปากคำใหญ่ ความทรมานเมื่อครู่มลาย หายไปทีละน้อย
เมื่อของเหลวไหลออกมาจนหมด ความเจ็บปวดตรงหน้าอกก็ หมดไป หลี่จื่อเหยาได้กลิ่นหอมสดชื่นของไม้กฤษณา แม้กำลังจะหมดแรง นางก็พยายามเปิดเปลือกตาเพื่อมองภาพผู้มีพระคุณ
นัยน์ตาดุจลูกกวางสบเข้ากับดวงแก้วสีนิล บุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งกำลังประคองนางเอาไว้ในอ้อมแขน
“แม่นาง เจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว” ชายในชุดสีครามกระตุกรอยยิ้มบนมุมปากน้อยๆ ช่างดูอบอุ่นยิ่งนัก
“ขะ...ขอบคุณ” หญิงสาวที่เพิ่งก้าวข้ามจากประตูผีส่งเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน
“ไม่เป็นไร เห็นคนกำลังจะตาย ข้าเป็นลูกผู้ชายย่อมต้องช่วยเหลือ”
หลี่จื่อเหยาอยากจะถามชื่อของเขา ทว่านางไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว ในที่สุดร่างที่ต้องผจญกับความหนาวเหน็บก็สลบไสลในอ้อมแขนของชายผู้นั้น
พระจันทร์เสี้ยวส่องแสงอ่อนจาง ลมกลางคืนสายหนึ่งพัดกลิ่นดอกเหมยกุ้ย[1] เข้ามา ทางหน้าต่าง
แพขนตาหนากระเพื่อมไหว เปลือกตาของหลี่จื่อเหยาเปิดขึ้น นางกะพริบตาช้าๆ ดวงแก้วสีน้ำตาลกวาดมองตั้งแต่เพดานลงมาจนถึงผนังห้อง ท่ามกลางแสงนวลจากเทียนไขปรากฏภาพอันคุ้นเคย
ใช่...นี่คือห้องของนาง ในบ้านตระกูลหลี่
“คุณหนูฟื้นแล้ว”
หลี่จื่อเหยามองไปทางต้นเสียง เมื่อเห็นใบหน้าของสาวใช้คนสนิทริมฝีปาก ขาดสีเลือดก็ขยับยิ้ม “เสี่ยวจู”
“คุณหนูรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“น้ำ ขอน้ำกินหน่อย” เสี่ยวจูประคองหลี่จื่อเหยาให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงหันไปหยิบถ้วยกระเบื้อง ที่บรรจุน้ำอยู่เต็มแล้วป้อนให้นายหญิงของตน
เมื่อน้ำสัมผัสริมฝีปากและลำคอที่แห้งผาก ความรู้สึกกระหายกลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น หลี่จื่อเหยาดื่มน้ำอีกอึกใหญ่อย่างรวดเร็วจนเสี่ยวจูต้องเอ่ยเตือน ด้วยเกรงว่านายหญิงของตนจะสำลัก
ความทรมานจากความกระหายสิ้นไปแล้ว หลี่จื่อเหยาจึงค่อยๆ ทบทวน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นางจำได้ว่ากำลังเดินกลับบ้านหลังจากไปซื้อเครื่องประทินผิว ระหว่างข้ามสะพานก็มีอาชาตัวใหญ่ตะบึงเข้ามา ด้วยความตกใจจึงรีบเบี่ยงกายหลบจนพลัดตกลงไปในคูเมือง ความรู้สึกหวาดหวั่นยามสายธารอันหนาวเหน็บโอบล้อมนางเอาไว้ ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ร่างบางพลันสั่นเทา นางกลัวเหลือเกิน และในขณะที่ความตายกำลังคืบคลานเข้ามา นางก็พบว่าตนเองได้ถูกช่วยเหลือเอาไว้โดยชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง
“เสี่ยวจู ผู้มีพระคุณของข้าเล่า ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”
“พอคุณหนูหมดสติ คุณชายท่านนั้นก็ช่วยพาคุณหนูกลับมาส่งแล้วรีบจากไป นายท่านยังไม่ทันได้ขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำ”
“เจ้ารู้ชื่อแซ่ของเขาหรือไม่”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ! เขาคือผู้มีพระคุณของข้า แต่ไม่มีผู้ใดคิดจะไต่ถามนามของเขาเลยหรือ”
“คุณชายคนนั้นไปมาราวกับสายลม นายท่านยังไม่ทันได้เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ เจ้าค่ะ”
“เขาช่วยไม่ให้ข้าไปเยี่ยมชมน้ำพุเหลืองก่อนวัยอันควร บุญคุณใหญ่หลวงย่อมต้องทดแทน เสี่ยวจู พรุ่งนี้เจ้าลองไปสืบดูว่าคุณชายท่านนั้นเป็นผู้ใด คงมีคนที่เห็นเหตุการณ์รู้จักเขาบ้างกระมัง”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบไปจัดการให้ทันที”
หลังจากกำชับกำชาสาวใช้ของตนเองเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเหยาก็เอนกายลงบนฟูกแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้นเสี่ยว จูรีบออกไปสืบหาผู้มีพระคุณของนายหญิงตั้งแต่เช้าตรู่ นางเที่ยวสอบถามคนที่อยู่แถวสะพานนั้นหลายคน แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้จักบุรุษในชุดสีน้ำเงินที่ช่วยคุณหนูตระกูลหลี่จากเงื้อมมือมัจจุราชเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดสาวใช้ผู้เหน็ดเหนื่อยก็ยอมแพ้ แล้วกลับมารายงานไปตามความเป็นจริง เรื่องนี้ทำให้หลี่จื่อเหยารู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ
ภาพใบหน้าหล่อเหลากับดวงแก้วสีดำดุจน้ำหมึกนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงคำนึงของนาง
‘คุณชายท่านคือผู้ใดกัน ข้าจะหาตัวท่านพบได้อย่างไร’
ในระหว่างที่หลี่จื่อเหยากำลังเหม่อลอย เสี่ยวจูก็เปรยบางอย่างขึ้นมา “ตามความเห็นของบ่าว ชายผู้นั้นคงไม่ต้องการรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงได้จากไปโดยไม่บอกชื่อแซ่”
“หืม เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้นเล่าเสี่ยวจู เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้ยังต้องรับผิดชอบสิ่งใดอีก”
เสี่ยวจูช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโผล่ออกมาด้วยท่าทีเคืองๆ
“ก็เขาทั้งกอดทั้งจูบคุณหนูต่อหน้าคนตั้งมากมาย หนำซ้ำยังอุ้มท่านด้วย”
“อะไรนะ!” นัยน์ตาดอกท้อพลันเบิกกว้าง หลี่จื่อเหยาแทบไม่อยากจะเชื่อ “เขาน่ะหรือ จะ...จูบข้า”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ป่านนี้คนคงลือไปทั่วแล้ว”
ชายหญิงห้ามใกล้ชิด นี่นางถูกชายแปลกหน้าทั้งกอดทั้งจูบ หลี่จื่อเหยา เอามือกุมขมับ ยามนี้ชื่อเสียงของนางคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดีแน่แล้ว
ทว่าหลายวันผ่านไปกลับไม่มีข่าวลือน่าอายดั่งที่หลี่จื่อเหยาคาดการณ์เอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก นางถูกบุรุษกอดจูบต่อหน้าธารกำนัล ความจริงต้องเป็นที่โจษจันไปทั่ว แต่ทุกคนในบริเวณนั้นทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องนี้ เกิดขึ้น
‘แปลกประหลาดยิ่งนัก’
หลี่จื่อเหยาได้แต่กังขา หรือว่าคุณชายผู้นั้นจะเป็นพวกมีอิทธิพล มิเช่นนั้นคงไม่ทำตัวลึกลับ หนำซ้ำยังสามารถปิดปากคนที่เห็นเหตุการณ์ได้ทั้งหมดอีกด้วย
หากจะกล่าวกันตามจริง เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะต้องการรักษาภาพลักษณ์ของตนเองมากกว่าของนางเสียอีก
ถ้าชายผู้นั้นเป็นคนมีอำนาจจริง นางย่อมไม่มีทางได้พบใบหน้าหล่อเหลานั้นอีกถ้าหากเขาไม่ต้องการ
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จะได้พบกับชายผู้นั้นอีกครั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายปกปิดตัวตน ความหวังย่อมเลือนราง หลี่จื่อเหยาหมดแรง นางแทบจะล้มเลิกความคิดที่จะตามหาเขาในทันที แต่บุญคุณในครั้งนี้นางจะจดจำเอาไว้ไม่มีวัน ลืมเลือนอย่างแน่นอน
‘หากมีวาสนาต่อกันข้าคงได้พบกับท่านอีก และเมื่อถึงเวลานั้นข้าหลี่จื่อเหยายินดีทดแทนบุญคุณ’
[1] ดอกเหมยกุ้ย คือดอกกุหลาบ
หลี่จื่อเหยาแทบสำลัก จุมพิตของเขาช่างร้ายกาจและเอาแต่ใจ นางทำได้เพียงคล้องแขนไว้บนลำคอ แล้วปล่อยให้เขาทำตามใจต้องการไม่นานนักการลงโทษอันแสนหวานก็จบลง มู่หรงอี้หวายถอนจุมพิตอย่างช้าๆ จ้องมองใบหน้าสะคราญโฉมที่กำลังเห่อแดง ริมฝีปากอิ่มยังคงสั่นระริกและบวมเจ่อ นางหอบหายใจ ดวงตาคู่สวยฉ่ำปรือและมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ ภาพนี้ทำให้เขาแทบคลุ้มคลั่ง แต่ก็พยายามข่มใจเอาไว้“พี่อี้หวายหายโกรธจื่อเหยาแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”“นี่กลัวข้าโกรธแล้วจริงหรือ แต่เมื่อครู่ดูเจ้ามีความสุขดี หรือว่าข้าตาฝาด หูเฝื่อน”“จื่อเหยาไม่อยากให้พี่ใหญ่กับท่านแม่เป็นห่วง อีกอย่าง ก็ไม่ต้องการให้ผู้ใดเข้าใจผิดว่าท่านพี่รังแกข้า” นางเอนกายซุกซบในอ้อมอกของเขาอย่างออดอ้อน “ต่อไปจื่อเหยาจะไม่ขัดใจท่านพี่อีกแล้ว ให้อภัยข้าเถิดนะเจ้าคะ”มู่หรงอี้หวายแทบไม่เชื่อหูตนเอง ภรรยาของเขาไม่ได้โกรธเคืองแม้แต่นิดเดียว หนำซ้ำยังโทษตัวเองว่าเป็นฝ่ายผิดที่ขัดใจตน นี่นางเข้าใจว่ากำลังถูกลงโทษ ที่ไม่ยอมร่วมอภิรมย์กับสามีด้วยวิธีให้กลับมาบ้านเดิมเพียงลำพังจริงๆ น่ะหรือ ช่างไร้เดียงสาสียจริง“จำคำของเจ้าเอาไว้ให้ดีเล่า ว่าจะไม่มีวันขัดใจข้าอีก”“จื่อเ
ล่วงเข้ายามเซิน รถม้าหรูหราของตระกูลมู่หรงมาจอดที่หน้าร้านค้าตระกูลหลี่เป็นครั้งที่สองของวันบุรุษรูปงามในอาภรณ์สีฟ้าลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปในร้านค้าตระกูลหลี่ โดยมีหญิงสาวหน้าตางดงามเดินตามหลังมาเงียบๆหลิวจินหูที่นั่งอยู่หลังโต๊ะคิดเงินเงยหน้าขึ้นมองลูกค้า ครั้นเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นก็จำได้ดีว่าผู้มาคือมู่หรงอี้หวาย ผู้ช่วยของหลี่เค่อจึงเดินเข้าไปทักทายท่านเขย พลางเหลือบมองไปยังสตรีที่ยืนอยู่ด้านหลังเมื่อเห็นใบหน้าของนางถนัดชัดเจน ชายหนุ่มก็เบิกตากว้าง ใบหน้าซีดเผือด ตัวสั่นเทาราวกับเจอผี“จินหู ภรรยาข้าอยู่ที่ใด” มู่หรงอี้หวายเอ่ยถามอย่างไม่สนใจอาการผิดปกติของเขา“คะ...คุณหนู อยู่ที่ห้องนายน้อยขอรับ” หลิวจินหูตอบทั้งที่ยังจ้องมองสตรีในอาภรณ์สีขาวอยู่“นางเป็นฮูหยินของข้าแล้ว เจ้าไม่ควรเรียกนางเช่นนั้นอีก”“ขอ... ขออภัยท่านเขยขอรับ ฮูหยินน้อยอยู่ข้างใน”“พาข้าไปหานางได้หรือไม่”“ขะ...ข้าจะให้คน มะ...มานำทางให้ขอรับ...” หลิวจินหูยังมีอาการลนลานอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มเรียกสาวใช้นางหนึ่งมาสั่งการให้นำทางท่านเขยไปยังเรือนด้านหลัง ดวงตาของเขายังคงจดจ้องสตรีในชุดสีขาวไปจนลับตา...แรกเร
“เจ้าอย่าคิดมาก ข้ากับท่านแม่ไม่เป็นอะไร”“ฮือ...พี่ใหญ่ไม่โกรธจื่อเหยาหรือ” นางยังคงสะอึกสะอื้น แต่ก็มิวายแปลกใจ ปกติแล้วพี่ชายของนางจะห่วงหน้าตาและชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลมากกว่าสิ่งใด แต่วันนี้กลับไม่มีท่าทีเดือดดาลดั่งที่นางคาดเอาไว้“ข้าจะโกรธทำไม ในเมื่อเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด”“พี่ใหญ่...”“จำเอาไว้ คนที่มอบความอับอายให้ตระกูลหลี่ไม่ใช่เจ้า แต่เป็นคนอย่างมู่หรงอี้หวายต่างหาก และถ้าข้าจะโกรธ คงเป็นเพราะน้องสาวของข้ารักเขาจากใจจริง แต่ไอ้คนสิ้นคิดนั่นกลับทำร้ายได้ลงคอ ข้าหลี่เค่อจะไม่มีวันลืม”หลี่จื่อเหยาจดจ้องดวงตาสีเข้มของพี่ชาย นางสัมผัสได้ถึงความอึดอัด ผิดหวัง และโกรธเคือง เขาพยายามข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้อย่างที่สุดแล้ว หากตนเองยังคงฟูมฟาย คงมีแต่ซ้ำเติมให้เขารู้สึกแย่ ดังนั้นนางจะต้องอดทนหลี่เค่อยิ้มอย่างปรานี ก่อนจะรั้งน้องสาวมากอดเอาไว้หลวมๆ แล้วลูบศีรษะเบาๆเวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง เสียงสะอื้นไห้จึงเงียบลง“พี่ใหญ่ จื่อเหยาไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ”“สบายใจขึ้นก็ดีแล้ว”“จื่อเหยาผิดเองที่บกพร่องจนทำให้สามีโกรธเคือง”“เหยาเหยา การเป็นสะใภ้ตระกูลมู่หรงอาจจะไม่ง่ายดายอย่างที่คิด แต่เจ
มู่หรงอี้หวายละสายตาจากเอกสาร แล้วจ้องหน้าเหม่ยเหมย ทำราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน “ผู้หญิงคนนั้นทำให้ข้าแปลกใจอีกแล้ว ทั้งที่ตอนกินข้าวหน้าซีดออกปานนั้น แต่พออยู่ต่อหน้าบ่าวไพร่กลับปั้นยิ้มได้จนตลอดรอดฝั่งเชียวหรือ”“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยไม่ได้ทำเรื่องขายหน้าให้นายน้อยอย่างแน่นอน” เหม่ยเหมยยืนยันสิ่งที่เห็น“บัดซบ! เจ้าจะบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้รู้สึกรู้สาที่ข้าปฏิเสธที่จะกลับตระกูลหลี่กับนางหรือ” มู่หรงอี้หวายตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว“มะ...ไม่เชิงเจ้าค่ะ” เหม่ยเหมยละล่ำละลัก นางไม่แน่ใจว่าครานี้ นายน้อยต้องการคำตอบแบบใดกันแน่ ทั้งที่ฮูหยินน้อยก็ทำหน้าที่ของตนได้ดี เหตุใดเขาต้องโกรธเคืองเล่า“พูดมาอย่ามัวอ้ำอึ้ง สรุปนางเสียใจ หรือไม่เสียใจกันแน่”“ฮูหยินน้อยทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง บ่าวไพร่ก็ล้วนชื่นชมนาง แต่หลังจากทุกคนออกไปจากห้องโถงแล้ว นางถึง...ถึงร้องไห้ออกมาเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าหล่อเหลาจึงกลับมาเป็นปกติ ไม่มีวี่แววของความเดือดดาลหลงเหลือ เหม่ยเหมยลอบปาดเหงื่อเมื่อนายน้อยดูสงบลง“เจ้าว่านางรู้สึกยังไงกับข้า” คำถามแปลกประหลาดออกมาจากปากของผู้เป็นนายอีกครั้ง
หลี่จื่อเหยาเก็บรอยยิ้มแทบไม่ทัน ไม่คิดว่าจะถูกสามีปฏิเสธ“เข้าใจแล้วหรือไม่”“เจ้าค่ะ” นางตอบรับเสียงเบาราวกับยุง จากนั้นก็ตัดสินใจกินข้าวต่อไปอย่างเงียบเชียบแม้จะพอรู้นิสัยของทายาทคหบดีบ้างแล้ว แต่การเป็นภรรยาของสามีผู้เอาแต่ใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี นางเลยตัดสินใจไม่ต่อความยาวสาวความยืด ดังที่มารดาสอนเอาไว้ว่า นิ่งสงบสยบทุกสิ่ง คงมีแต่ต้องรอให้เขาหายโมโหไปเองเท่านั้นภายในห้องมีเพียงความเงียบ ทั้งสองต่างคนต่างกิน จนในที่สุดบุรุษผู้เอาแต่ใจก็เปิดปากเอ่ยสำเนียงขึ้นก่อน“จริงสิ ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”หลี่จื่อเหยาละสายตาจากชามข้าว เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเขา เป็นเชิงว่าพร้อมรับฟังแล้ว“พรุ่งนี้ข้าจะให้รถม้าไปส่งเจ้ากลับบ้านเดิม เจ้าพาแค่เสี่ยวจูไปด้วยก็น่าจะพอ”“ถ้ามีแค่เสี่ยวจูคนเดียว เกรงว่าจะดูแลท่านพี่ได้ไม่ดีนะเจ้าคะ พวกเราพาเหม่ยเหมยไปด้วยอีกคนน่าจะดีกว่า”“พวกเรารึ...” เขาเลิกคิ้ว ทำหน้าเหมือนนางพูดอะไรผิด “นี่เจ้าไม่เข้าใจ ที่ข้าพูดเลยสินะ”“ก็ตามธรรมเนียม...” คำพูดประโยคต่อมาจุกอยู่ที่ลำคอ ในที่สุด หลี่จื่อเหยาก็เข้าใจแล้วว่า สามีตัดสินใจอย่างไร“ดูเหมือนภรรยาข้าจะเริ่มเข้าใ
ใบหน้างดงามบูดบึ้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะส่งค้อนวงใหญ่ให้สามีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มู่หรงอี้หวายเพียงส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แล้วลูบฝ่ามือไปตามสาบเสื้อของนาง แค่เขาตวัดนิ้วไม่กี่ครั้งเอี๊ยมตัวบางกับอาภรณ์สีขาวสะอาดก็ไหลหล่นลงจนหน้าอก และแผ่นหลังของนางเปล่าเปลือยอวดสายตา“พะ...พี่อี้หวาย ไม่ได้นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะได้เวลาไปคารวะน้ำชาท่านพ่อแล้ว”“ท่านพ่อมีธุระด่วน ไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์” เขาก้มลงกระซิบชิดใบหูนาง ก่อนจะฝังจมูกลงบนซอกคอหอมกรุ่น มือสากร้อนลูบไล้จากลาดไหล่ไล่เรื่อยจนถึงโนมเนื้ออวบหยุ่นเต็มมือ“ตะ...แต่ว่าจื่อเหยาไม่ไหวแล้ว หากท่านพี่ยังคงเคี่ยวกรำไม่หยุด เกรงว่าข้าคงขาดใจตายเป็นแน่” นางร้องประท้วงพร้อมกับพยายามหยุดฝ่ามือที่กำลังเคล้นคลึงดอกบัวคู่งาม “โอ๊ย...เจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ พี่อี้หวายเจ้าคะ ให้จื่อเหยาพักก่อนได้หรือไม่” นางส่งเสียงออดอ้อน วอนขอให้เขาปรานี“เมื่อครู่ดื่มยาไปแล้วนี่ ยังไม่คลายความเจ็บปวดบ้างเลยหรือ” เขาตอบเสียงสั่น พร้อมซุกไซ้โลมเลียลำคอระหง มือไม้เริ่มซุกซนไปตามจุดอ่อนไหวของนาง“อือ...จริงสิ เมื่อครู่ท่านให้เหม่ยเหมยเอายาอะไรให้ข้าดื่ม”“ก็แค่ยาคลายความเจ็บปวดข
Comments