เมื่อโชคชะตาชักนำให้บุรุษนิรนาม ช่วยเหลือ ‘หลี่จื่อเหยา’ ฟื้นจากความตาย หากยังไม่ทันตอบแทนบุญคุณ เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จนกระทั่งวันที่นางจำต้องออกเรือนตามคำสั่งของพี่ชาย ‘มู่หรงอี้หวาย’ บุรุษผู้นั้นจึงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งโดยไม่มีผู้ใดคาดคิด และประกาศเจตจำนงที่จะเป็น ‘สามี’ ของนาง หากสิ่งที่หลี่จื่อเหยาไม่อาจล่วงรู้ก็คือ บุคคลลึกลับ ผู้มีพระคุณ ผู้ที่ทั้งหล่อเหลา แสนสุภาพ จนทำให้นางต้องเฝ้าคะนึงหามาตั้งแต่แรกพบคราวนั้น จะกลับกลายเป็นอสูรร้ายในห้องหอ ผู้ฉีกกระชาก และย่ำยีหัวใจนางจนย่อยยับ ความลับของมู่หรงอี้หวายที่ซุกซ่อนไว้คืออะไร… หรือที่จริงแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการที่เขาตระเตรียมไว้ เพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง “สามวันสามคืน” นัยน์ตาสีเข้มเต็มไปด้วยเพลิงปรารถนาอย่างไม่ปิดบัง “มะ…หมายความว่า เรา…” หลี่จื่อเหยาหน้าแดงก่ำ ใจเต้นระรัวแรง “ข้าจะอยู่กับเจ้า กอดเจ้า รักเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ไปไหนทั้งนั้นเป็นเวลาสามวันสามคืน” เขาอธิบายพลางปลดอาภรณ์ของตนออกทีละชิ้น
Lihat lebih banyakทรมาน ข้าทรมานเหลือเกิน
เปลือกตาหนักอึ้ง สติค่อยๆ เลือนราง
ข้ากำลังจะตายงั้นรึ
ท่านแม่ ท่านพี่ จื่อเหยาขอลา...
แค่ก แค่ก แค่ก!
หลี่จื่อเหยาสำรอกน้ำออกมาจากปากคำใหญ่ ความทรมานเมื่อครู่มลาย หายไปทีละน้อย
เมื่อของเหลวไหลออกมาจนหมด ความเจ็บปวดตรงหน้าอกก็ หมดไป หลี่จื่อเหยาได้กลิ่นหอมสดชื่นของไม้กฤษณา แม้กำลังจะหมดแรง นางก็พยายามเปิดเปลือกตาเพื่อมองภาพผู้มีพระคุณ
นัยน์ตาดุจลูกกวางสบเข้ากับดวงแก้วสีนิล บุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งกำลังประคองนางเอาไว้ในอ้อมแขน
“แม่นาง เจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว” ชายในชุดสีครามกระตุกรอยยิ้มบนมุมปากน้อยๆ ช่างดูอบอุ่นยิ่งนัก
“ขะ...ขอบคุณ” หญิงสาวที่เพิ่งก้าวข้ามจากประตูผีส่งเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน
“ไม่เป็นไร เห็นคนกำลังจะตาย ข้าเป็นลูกผู้ชายย่อมต้องช่วยเหลือ”
หลี่จื่อเหยาอยากจะถามชื่อของเขา ทว่านางไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว ในที่สุดร่างที่ต้องผจญกับความหนาวเหน็บก็สลบไสลในอ้อมแขนของชายผู้นั้น
พระจันทร์เสี้ยวส่องแสงอ่อนจาง ลมกลางคืนสายหนึ่งพัดกลิ่นดอกเหมยกุ้ย[1] เข้ามา ทางหน้าต่าง
แพขนตาหนากระเพื่อมไหว เปลือกตาของหลี่จื่อเหยาเปิดขึ้น นางกะพริบตาช้าๆ ดวงแก้วสีน้ำตาลกวาดมองตั้งแต่เพดานลงมาจนถึงผนังห้อง ท่ามกลางแสงนวลจากเทียนไขปรากฏภาพอันคุ้นเคย
ใช่...นี่คือห้องของนาง ในบ้านตระกูลหลี่
“คุณหนูฟื้นแล้ว”
หลี่จื่อเหยามองไปทางต้นเสียง เมื่อเห็นใบหน้าของสาวใช้คนสนิทริมฝีปาก ขาดสีเลือดก็ขยับยิ้ม “เสี่ยวจู”
“คุณหนูรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“น้ำ ขอน้ำกินหน่อย” เสี่ยวจูประคองหลี่จื่อเหยาให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงหันไปหยิบถ้วยกระเบื้อง ที่บรรจุน้ำอยู่เต็มแล้วป้อนให้นายหญิงของตน
เมื่อน้ำสัมผัสริมฝีปากและลำคอที่แห้งผาก ความรู้สึกกระหายกลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น หลี่จื่อเหยาดื่มน้ำอีกอึกใหญ่อย่างรวดเร็วจนเสี่ยวจูต้องเอ่ยเตือน ด้วยเกรงว่านายหญิงของตนจะสำลัก
ความทรมานจากความกระหายสิ้นไปแล้ว หลี่จื่อเหยาจึงค่อยๆ ทบทวน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นางจำได้ว่ากำลังเดินกลับบ้านหลังจากไปซื้อเครื่องประทินผิว ระหว่างข้ามสะพานก็มีอาชาตัวใหญ่ตะบึงเข้ามา ด้วยความตกใจจึงรีบเบี่ยงกายหลบจนพลัดตกลงไปในคูเมือง ความรู้สึกหวาดหวั่นยามสายธารอันหนาวเหน็บโอบล้อมนางเอาไว้ ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ร่างบางพลันสั่นเทา นางกลัวเหลือเกิน และในขณะที่ความตายกำลังคืบคลานเข้ามา นางก็พบว่าตนเองได้ถูกช่วยเหลือเอาไว้โดยชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง
“เสี่ยวจู ผู้มีพระคุณของข้าเล่า ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”
“พอคุณหนูหมดสติ คุณชายท่านนั้นก็ช่วยพาคุณหนูกลับมาส่งแล้วรีบจากไป นายท่านยังไม่ทันได้ขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำ”
“เจ้ารู้ชื่อแซ่ของเขาหรือไม่”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ! เขาคือผู้มีพระคุณของข้า แต่ไม่มีผู้ใดคิดจะไต่ถามนามของเขาเลยหรือ”
“คุณชายคนนั้นไปมาราวกับสายลม นายท่านยังไม่ทันได้เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ เจ้าค่ะ”
“เขาช่วยไม่ให้ข้าไปเยี่ยมชมน้ำพุเหลืองก่อนวัยอันควร บุญคุณใหญ่หลวงย่อมต้องทดแทน เสี่ยวจู พรุ่งนี้เจ้าลองไปสืบดูว่าคุณชายท่านนั้นเป็นผู้ใด คงมีคนที่เห็นเหตุการณ์รู้จักเขาบ้างกระมัง”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบไปจัดการให้ทันที”
หลังจากกำชับกำชาสาวใช้ของตนเองเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเหยาก็เอนกายลงบนฟูกแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้นเสี่ยว จูรีบออกไปสืบหาผู้มีพระคุณของนายหญิงตั้งแต่เช้าตรู่ นางเที่ยวสอบถามคนที่อยู่แถวสะพานนั้นหลายคน แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้จักบุรุษในชุดสีน้ำเงินที่ช่วยคุณหนูตระกูลหลี่จากเงื้อมมือมัจจุราชเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดสาวใช้ผู้เหน็ดเหนื่อยก็ยอมแพ้ แล้วกลับมารายงานไปตามความเป็นจริง เรื่องนี้ทำให้หลี่จื่อเหยารู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ
ภาพใบหน้าหล่อเหลากับดวงแก้วสีดำดุจน้ำหมึกนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงคำนึงของนาง
‘คุณชายท่านคือผู้ใดกัน ข้าจะหาตัวท่านพบได้อย่างไร’
ในระหว่างที่หลี่จื่อเหยากำลังเหม่อลอย เสี่ยวจูก็เปรยบางอย่างขึ้นมา “ตามความเห็นของบ่าว ชายผู้นั้นคงไม่ต้องการรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงได้จากไปโดยไม่บอกชื่อแซ่”
“หืม เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้นเล่าเสี่ยวจู เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้ยังต้องรับผิดชอบสิ่งใดอีก”
เสี่ยวจูช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโผล่ออกมาด้วยท่าทีเคืองๆ
“ก็เขาทั้งกอดทั้งจูบคุณหนูต่อหน้าคนตั้งมากมาย หนำซ้ำยังอุ้มท่านด้วย”
“อะไรนะ!” นัยน์ตาดอกท้อพลันเบิกกว้าง หลี่จื่อเหยาแทบไม่อยากจะเชื่อ “เขาน่ะหรือ จะ...จูบข้า”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ป่านนี้คนคงลือไปทั่วแล้ว”
ชายหญิงห้ามใกล้ชิด นี่นางถูกชายแปลกหน้าทั้งกอดทั้งจูบ หลี่จื่อเหยา เอามือกุมขมับ ยามนี้ชื่อเสียงของนางคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดีแน่แล้ว
ทว่าหลายวันผ่านไปกลับไม่มีข่าวลือน่าอายดั่งที่หลี่จื่อเหยาคาดการณ์เอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก นางถูกบุรุษกอดจูบต่อหน้าธารกำนัล ความจริงต้องเป็นที่โจษจันไปทั่ว แต่ทุกคนในบริเวณนั้นทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องนี้ เกิดขึ้น
‘แปลกประหลาดยิ่งนัก’
หลี่จื่อเหยาได้แต่กังขา หรือว่าคุณชายผู้นั้นจะเป็นพวกมีอิทธิพล มิเช่นนั้นคงไม่ทำตัวลึกลับ หนำซ้ำยังสามารถปิดปากคนที่เห็นเหตุการณ์ได้ทั้งหมดอีกด้วย
หากจะกล่าวกันตามจริง เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะต้องการรักษาภาพลักษณ์ของตนเองมากกว่าของนางเสียอีก
ถ้าชายผู้นั้นเป็นคนมีอำนาจจริง นางย่อมไม่มีทางได้พบใบหน้าหล่อเหลานั้นอีกถ้าหากเขาไม่ต้องการ
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จะได้พบกับชายผู้นั้นอีกครั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายปกปิดตัวตน ความหวังย่อมเลือนราง หลี่จื่อเหยาหมดแรง นางแทบจะล้มเลิกความคิดที่จะตามหาเขาในทันที แต่บุญคุณในครั้งนี้นางจะจดจำเอาไว้ไม่มีวัน ลืมเลือนอย่างแน่นอน
‘หากมีวาสนาต่อกันข้าคงได้พบกับท่านอีก และเมื่อถึงเวลานั้นข้าหลี่จื่อเหยายินดีทดแทนบุญคุณ’
[1] ดอกเหมยกุ้ย คือดอกกุหลาบ
ข้าคือมู่หรงซือเฉิง บิดาข้าคือมู่หรงอี้หวาย คหบดีใหญ่และวาณิชหลวงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน มารดาข้าเป็นกุลสตรีที่ดีพร้อมนามหลี่จื่อเหยา ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าข้านั้นคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด มีบุญวาสนาที่จะได้เสพสุขจากทรัพย์สินมหาศาล ที่ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดของตระกูลมู่หรงข้าช่างโชคดีเหลือเกินความจริงข้ามีพี่สาวผู้หนึ่ง นางมีชื่อว่ามู่หรงรั่วเยียน ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต่อไปนางจะต้องเติบโตเป็นสตรีที่งดงามปานเทพธิดาแน่นอน ก็ใช่ล่ะสิ นางถอดแบบบิดาผู้มีรูปโฉมล้ำเลิศมาทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่นิสัยใจคอเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คน พี่สาวของข้ามักสวมหน้ากากคุณหนูในห้องหอทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ว่าจะเอ่ยวาจา หรือเยื้องกรายไปที่ใด ทุกคนล้วนยกยิ้มพลางพยักหน้าหงึก ๆ คิดว่านางช่างดีแสนดี แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าภายใต้หน้ากากเทพธิดา มีแม่หมาป่าตัวน้อย ๆ ที่พร้อมจะขย้ำคอทุกคนซ่อนอยู่นางร้ายไม่ต่างจากท่านพ่อเลยสักนิด! ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ท่านพ่อเปรยกับท่านแม่ว่าไม่ต้องการบุตรเขยที่ร่ำรวยและเก่งเกินไป ยิ่งเป็นพวกเศรษฐีใหม่ หรือขุนนางซื่อสัตย์สุจริต แต่เบื้องหลังไม่ได้มีอำนาจมากนักก็พอ เพื่อที่แต
ตั้งแต่ศิษย์พี่หญิงจากไป ข้าไม่เคยเฉียดกลายเข้าไปใกล้บ้านตระกูลหลี่อีกเลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาข้าทำเพียงอ่านรายงานความเคลื่อนไหวภายในบ้านตระกูลหลี่ จากคนที่ข้าส่งเข้าไปแทรกซึมเท่านั้นคนของข้าผู้นั้นทำหน้าที่แม่นม นางดูแลหลี่หลางได้อย่างดี อีกทั้งยังเพิ่มรายงานเล็ก ๆ น้อยเกี่ยวกับคนที่อยู่รอบตัวของเขามาด้วย จากรายงานเหล่านั้น ข้ามักจะได้รับรู้เรื่องของหลี่จื่อเหยาเสมอ ๆ แม้ตอนที่หลี่หลางเกิดคุณหนูหลี่จะยังอายุน้อยก็ตาม แต่นางกลับดูแลจัดการเรื่องทุกอย่างของเด็กชายประหนึ่งมารดาเลยทีเดียวอาจเป็นเพราะหลี่จื่อเหยาเป็นผู้ที่ใกล้ชิดหลี่หลางที่สุด ทำให้ชื่อของนางผ่านสายตาข้าบ่อยครั้ง พอรู้ตัวอีกที เรื่องของคุณหนูผู้นี้ก็กลายเป็นส่วนที่ข้าชอบอ่านในรายงานไปเสียแล้ว “คุณหนูหลี่ปักเสื้อให้คุณชายน้อย” “คุณชายน้อยชอบกินอาหารฝีมือคุณหนูหลี่” “คุณหนูหลี่ดีดพิณได้ไพเราะ” “คุณหนูหลี่ชอบดอกบัวที่สุด” “ตอนนี้คุณหนูหลี่เข้าวัยปักปิ่นแล้ว นางงดงามดั่งดอกสาลี่สีขาวบริสุทธิ์” ข้ารู้จักนิสัยใจคอของนางผ่านทางรายงานที่ถูกส่งมา จนรู้สึกว่าหากได้เห็นหน้าคาดตาสักครั้งก็คงดี ทว่าความคิดนี้มีอันต้องตกไป เพราะข้าไม
หลี่จื่อเหยายิ้มถึงดวงตา ในขณะที่เอ่ยล้อเลียนเขาด้วยประโยคที่ตนเองได้ยินบ่อยครั้งที่สุด ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนซอกคอของเขา โดยไม่รู้ว่าเท่านี้ก็เพียงพอให้บุรุษผู้เร่าร้อนทรมานมากมายมู่หรงอี้หวายหวานล้ำไปทั้งใจ อีกทั้งยังรู้สึกวูบวาบไปทั้งกาย แต่ก็อดกลั้นความปรารถนาอันไม่สิ้นสุดที่ตนเองมีต่อนางเอาไว้ในห้องกว้างขวางมีเพียงเงาร่างของสองสามีภรรยาโอบกอดกันอยู่เนิ่นนาน กลิ่นอายแห่งความรัก และความเข้าอกเข้าใจแผ่ซ่านไปถ้วนทั่วทุกอณูคฤหาสน์ตระกูลมู่หรง หลายเดือนต่อมาหลังจากมีข่าวดีว่าฮูหยินน้อยของคุณชายตั้งครรภ์แล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาฮ่องเต้ทรงประกาศแต่งตั้งวาณิชหลวงของราชสำนักคนใหม่ ซึ่งมู่หรงอี้หวายได้รับสืบทอดตำแหน่งจากบิดา ด้วยการสนับสนุนของฉินอ๋องและขุนนางที่เห็นว่าเขามีความสามารถมู่หรงเหออารมณ์ดี จึงจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ และประกาศมอบหมายกิจการทั้งหมดให้บุตรชายที่ยามนี้พร้อมรับผิดชอบทุกสิ่งที่ตระกูลสร้างเอาไว้แล้วส่วนตนเองก็ตั้งใจจะออกท่องเที่ยว ใช้ชีวิตยามเกษียณเพื่อไปในที่ที่ภรรยาผู้ล่วงลับเคยเอ่ยว่าต้องการไปสักครั้ง แต่ไม่มีโอกาสเพราะยามนั้นเขาต้องรับผิดชอบทุกอย่างจ
เมื่อความสงบกลับมา มู่หรงอี้หวายจึงเล่าเรื่องวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้บิดาฟังอย่างรวบรัด พยายามตัดจุดที่อาจจะสร้างความแค้นเคืองให้คหบดีใหญ่ออกไป เหลือเพียงส่วนเสี้ยวสำคัญๆ เท่านั้น แล้วไปเน้นย้ำความต้องการของญาติผู้น้องที่หมายจะทำการยกเลิกการหมั้นหมายกับเย่เทียนหลางเสียมากกว่า มู่หรงเหอได้ฟังก็ทอดถอนหายใจ แต่ก็รับปากจะทำตามคำขอของซูเพ่ยอิงพอพูดคุยกันเสร็จสรรพ มู่หรงเหอก็เข้าไปเยี่ยมหลี่จื่อเหยาที่ยังนอนหมดสติอยู่ พอเห็นสภาพของลูกสะใภ้คนโปรด เขาก็เอ่ยปากว่าจะถมสระบัวทิ้ง เพราะเข้าใจว่านางเป็นลมตกน้ำไปเอง จึงเกรงว่าจะเป็นอันตรายอีก แต่มู่หรงอี้หวายห้ามเอาไว้ เพราะหลี่จื่อเหยาชอบดอกบัวมากที่สุด คหบดีใหญ่จึงตำหนิลูกชายว่าไม่รู้จักดูแลภรรยาให้ดี ก่อนจะกลับออกไป ก็ยังคาดโทษเอาไว้อีกด้วยมู่หรงอี้หวายมองส่งบิดาจนลับตา จากนั้นจึงกลับเข้ามาชำระร่างกายตนเอง แล้วไปนั่งเฝ้าหลี่จื่อเหยาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ห่างไปไหน ทั้งยื่นมือไปจับหน้าผากเพื่อตรวจไข้ ไหนจะคอยเช็ดเหงื่อที่ผุดพราย จนกระทั่งไม่รู้สึกความร้อนบนใบหน้าของนางแล้วจึงคลายใจ แล้วม่อยหลับไปในที่สุดแสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องกระทบใบหน้างาม
ตระกูลมู่หรงมั่งคั่งเฟื่องฟูมาทุกยุคสมัย พวกเขาไม่เคยขาดเงินทอง ทว่าทายาทสืบสกุลกลับมีน้อยยิ่งกว่าน้อย แม้ในอดีตเหล่าผู้นำตระกูลพยายามแต่งอนุภรรยาเข้าตระกูลมากมาย แต่อย่างไรก็ไม่เคยมีทายาทเกินหนึ่งคน ประหนึ่งถูกคำสาปอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งเซียนท่านหนึ่งมาแถลงไขในโลกนี้ไม่มีผู้ได้จะได้ทุกอย่างสมปรารถนา ต้นตระกูลได้บวงสรวงต่อฟ้าขอความรุ่งโรจน์ทุกชั่วอายุคน ดังนั้นฟ้าดินจึงให้พรข้อนี้แลกกับการมั่งมีบุตรหลาน ทำให้คนรุ่นต่อมามีความสุขกับเงินทอง แต่ต้องกลุ้มใจกับเรื่องผู้สืบทอดตลอดไป ก่อนจากท่านเซียนได้แนะนำวิธีแก้เคล็ดไว้ให้ คือห้ามชายตระกูลมู่หรงมักมากมีหลายภรรยา หากเลือกที่จะรวบรวมพลังหยางไว้ที่สตรีเพียงผู้เดียว พวกเขาก็จะมีโอกาสมีทายาทมากกว่าหนึ่งคนหลังจากนั้นผู้นำตระกูลมู่หรงที่เชื่อคำแนะนำต่างก็แต่งภรรยาเอกเพียงคนเดียวมาโดยตลอด จนกระทั่งสวรรค์เห็นใจ จึงบันดาลให้บางรุ่นที่สามารถทำตามท่านเซียนชี้แนะ ได้ทายาทชายหญิงอย่างละคนแต่ผู้นำบางรุ่นก็มิได้เคร่งครัด เช่นเดียวกับบิดาของเขา ที่หลังจากได้ทายาทสืบสกุลแล้วก็ใช่ชีวิตเยี่ยงชายสามัญ เพียงแต่ไม่ได้รับอนุภรรยาเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้นเ
“เทียนหลาง เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ไม่ได้มีใครบังคับให้เจ้ากระทำ ทุกอย่างล้วนเกิดจากการไตร่ตรองของเจ้าทั้งสิ้น ข้าเข้าใจว่าเจ้าคับแค้น แต่ข้าเองก็สิ้นใจด้วยน้ำมือของเจ้าไปแล้วที่คูเมือง อีกทั้งยังถูกโจรกระจอกที่เจ้าจ้างวารเหล่านั้นรุมทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ในขณะที่เจ้าสวมบทเป็นยอดบุรุษช่วยหญิงงาม เพียงสองเรื่องนี้ข้าก็สามารถส่งเจ้าไปนอนเล่นในคุกของท่านเจ้าเมืองได้แล้ว แต่เป็นเพราะข้าเห็นแก่ท่านลุง จึงทำเป็นนิ่งเฉยตลอดมา”“ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้ความจำเสื่อม” เย่เทียนหลางพูดเสียงเบามู่หรงอี้หวายหยักยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่มิได้กระทำเพื่อเย้ยหยันคู่สนทนา หากแต่เพื่อความใจอ่อนของตนเองที่มีแต่สหายมากกว่า“เชื่อเถิดเทียนหลาง ข้าอยากป่วยจนจำอะไรไม่ได้จริงๆ ไปเสียเลยมากกว่า”“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร” เย่เทียนหลางหน้าซีดเผือด แต่ยังคงรักษาอาการเอาไว้“ตอนแรกข้าก็คิดจะจัดการเจ้าขั้นเด็ดขาด ตัดความสัมพันธ์ของตระกูล แล้วส่งเจ้าไปคุกให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าทุกอย่างเป็นข้าที่บีบคั้นเจ้าจนเหลืออด เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเราทั้งสองอีกหน ต่อไปนี้ ข้า...มู่หรงอี้หวายจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับก
Komen