“อันตรายมิน้อยเลย!”เซียวชูขมวดคิ้วและตอบว่า “ครั้นท่านอ๋องรู้ว่าพระชายาออกเดินทางมาแล้ว พระองค์ก็กลัวว่าพระชายาจะตกอยู่ในอันตรายเพียงลำพัง ดังนั้นจึงพาข้ามาด้วย หวังจะไล่ตามพระชายาให้ทันขอรับ”“คนอื่น ๆ ยังอยู่ข้างหลัง”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของลั่วชิงยวนก็สั่นไหว เรื่องเป็นเช่นนี้นี่เองนางคิดว่าฟู่เฉินหวนและคนอื่น ๆ ออกเดินทางกันไปแล้ว คิดว่าพวกเขานำหน้านางอยู่กระทั่ง เมื่อไปถึงถนนอีกฟากหนึ่งแล้ว ลั่วชิงยวนก็ฉีกผ้าชิ้นหนึ่งออกแล้วมัดไว้กับโคนต้นไม้ “เอาไว้เตือนให้คนที่อยู่ข้างหลังเจ้าตามมาถูก”เซียวชูถามด้วยความสับสน “เราไปผิดทางอย่างนั้นหรือ? โรงเตี๊ยมนั่นมิชั่วร้ายเกินไปหรือ?"ลั่วชิงยวนตอบว่า “ในป่าแห่งนี้มียันต์ติดอยู่ ยันต์นั้นช่วยผนึกหมอกพิษเอาไว้ในป่ามิให้กระจายไปไหน ทางแยกนั้นและโรงเตี๊ยมที่อยู่สุดทาง ต่างก็อยู่ในหมอกพิษ”“พวกเจ้าถูกพิษจากหมอกพิษพวกนั้น ทำให้มีอาการประสาทหลอน จริง ๆ แล้วมันเป็นโรงเตี๊ยมธรรมดา ๆ แล้วศัตรูก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกัน เพียงแต่พวกเขาแสร้งทำเป็นผีและวิญญาณ และภาพหลอนจากพิษทำให้เจ้ารู้สึกว่ามันชั่วร้าย”โชคดีที่นางเอะใจได้ทันและวิ่งกลับไปหา
ฟู่เฉินหวนตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ เนื่องจากความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขาลืมตาขึ้นโดยมิรู้ตัว มองไปที่ลั่วชิงยวนและเอ่ยอย่างยากลำบาก “เจ้ากำลังทำอะไร?”ลั่วชิงยวนไม่ตอบเขา เพียงแค่ดูดเลือดพิษออกจากบาดแผลของเขาอย่างรุนแรงเท่านั้นนางดูดพิษและบ้วนทิ้งสีริมฝีปากของนางค่อย ๆ เข้มขึ้นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกมิสบาย และต้องการผลักนางออกไป “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”ในไม่ช้าลั่วชิงยวนก็รู้สึกเวียนศีรษะ นางยกมือขึ้นพยุงร่างกายและเหลือบมองฟู่เฉินหวน “หม่อมฉันมิต้องการเป็นหนี้ท่าน”ฟู่เฉินหวนรู้สึกผิดหวังอยู่พักหนึ่ง นางต้องการตัดสัมพันธ์กับเขาจริง ๆ หรือ?เมื่อลั่วชิงยวนยืนยันได้แล้วว่า บาดแผลไม่มีพิษหลงเหลืออยู่อีกต่อไป และไม่มีพิษให้ต้องดูดออกอีกแล้ว นางจึงวางแขนของฟู่เฉินหวนลงนางเช็ดเลือดพิษที่มุมปาก ลุกขึ้นและเดินออกไป แต่นางเวียนศีรษะ อีกทั้งการมองเห็นก็มืดดับลง กระทั่งนางล้มลง ฟู่เฉินหวนสะดุ้งและผลักตัวเองลุกขึ้นจากเตียง อดทนต่อความเจ็บปวดสาหัสที่เกิดจากพิษ เขาลากมือขวาที่ได้เรี่ยวแรง พยายามอุ้มลั่วชิงยวนแล้ววางนางลงบนเตียง“เซียวชู! เซียวชู!”“พ่ะย่ะค่
ทีนี้ก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดรถม้าของเขาจึงตามหลังนางมานางจมอยู่กับความคิด ขณะมองดูสิ่งของในมือ และอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ในเมืองหลวงศาลารุ้งเมฆานับว่ามิธรรมดา ท่านซื้อมันมาได้อย่างไร?”ไม่ต้องพูดถึงผู้มีอำนาจในเมืองเมืองหลวง แม้แต่สนมในวังหลังก็ยังต้องใช้เงินกองเท่าภูเขาและเส้นสายเพื่อให้ได้โอกาสซื้ออาภรณ์สักชุดเนื่องจากศาลารุ้งเมฆาผลิตเฉพาะผลิตภัณฑ์อาภรณ์คุณภาพสูงเท่านั้น แต่ละชิ้นจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพียงหนึ่งเดียว ทั้งสง่างามและหรูหรา สวยสง่าราวกับเทพเซียน เพียงคำสี่คำ “ศาลารุ้งเมฆา” บนป้ายก็มีมูลค่าหลายพันตำลึงทองร้านนี้มิใช่แค่ทำเงินเท่านั้นเพราะเขามีทั้งศักดิ์ศรีและมีเกียรติในแบบฉบับของตัวเอง มิใช่จะยอมให้ใครมาซื้อได้ง่าย ๆเหตุใดฟู่เฉินหวนจึงซื้อมันมาได้เช่นนี้ฟู่เฉินหวนพูดอย่างใจเย็น “ถ้าข้าอยากได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่ข้าจะไม่ได้”“เจ้าก็เหมือนกัน”เพียงประโยคสั้น ๆ กลับทำให้หัวใจของลั่วชิงหยวนสั่นสะท้านอย่างรุนแรงนางมองดูฟู่เฉินหวนด้วยความตกใจที่นางหูฝาดไปหรือไม่?“ท่านว่ากระไรนะ?” ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างสงสัยทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น“ท่านอ๋อง พวกเขามา
ฟ่านซานเหอยังคงมิตอบหลังจากที่เขาตั้งสติได้ เขาก็ทักทายฟู่เฉินหวนด้วยรอยยิ้ม “คราวนี้ท่านอ๋องเสด็จมากะทันหันและมิได้แจ้งล่วงหน้า ท่านคงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาหลายวัน เรียนเชิญท่านอ๋องประทับและจิบชาสักถ้วยก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฟู่เฉินหวนมิรีบร้อนและเดินตามฟ่านซานเหอเข้าไปข้างในฟ่านซานเหอมิสนใจลั่วชิงยวนเลยแม้แต่น้อย ลั่วชิงยวนเดินตามเขาไปที่ลานบ้าน แต่เดินตรงไปที่ลานด้านในเพื่อตามหาลั่วหลางหลางแต่ในทาง นางถูกสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์สีแดงขวางไว้และมองนางอย่างตั้งแง่ “เจ้าเป็นใคร ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าบุกเข้ามาในตระกูลฟ่านของข้า?”ลั่วชิงยวนมองคนที่อยู่ตรงหน้านาง อีกฝ่ายสวมผ้าไหมและผ้าต่วนเนื้อดี ที่มือสวมกำไลหยก และปิ่นปักผมที่ทำจากทองคำ ซึ่งทั้งหมดนี้เผยให้เห็นรัศมีแห่งความมั่งคั่งของนาง“เจ้าคืออนุของฟ่านซานเหอใช่หรือไม่?” ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย และน้ำเสียงของนางเย็นชาพอกันเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเฉินซวนอี๋ก็ซีดลง และนางก็พูดด้วยความโกรธ "เจ้าเป็นใคร กล้าพูดหยาบคายในตระกูลฟ่านของข้ารึ ใครก็ได้! พานางไปเดี๋ยวนี้!"เหล่านางรับใช้รวมตัวกันและต้องการพาลั่วชิงยวนออกไปแต่พว
“ข้ามิเป็นไร” เฉินซวนอี๋ส่ายหน้าเขาจ้องมองที่ลั่วชิงยวนด้วยสีหน้าโกรธเคือง “นางสตรีสารเลวนี่เป็นใครมาจากที่ใด? จัดการนางเสีย!”ฟ่านซานเหอจ้องมองลั่วชิงยวนด้วยสีหน้าน่าเกลียด "บ่าวรับใช้ของตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการรังแกคนได้เช่นนี้เชียวหรือ?"“ฮูหยินของข้ากำลังตั้งท้อง หากเจ้าทำให้นางแท้งขึ้นมา ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป!”เมื่อเห็นฟ่านซานเหอปกป้องเฉินซวนอี๋เช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็พลันนึกถึงความรักที่เขาเคยมีต่อลั่วหลางหลางและคำสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์จากปากเขา“เหอะ สามี”“สิ่งสุดท้ายที่ข้าควรจะเชื่อคือคำสัญญาของเจ้า”เมื่อเฉินซวนอี๋ได้ยินสิ่งนี้ นางก็โกรธมากยิ่งขึ้นและตบฟ่านซานเหออย่างแรง "มัวอ้ำอึ้งอะไรอยู่! กำจัดนางออกไปสิ! ข้าถูกตบ ท่านยังมัวทำตัวมิสมกับเป็นสามีอยู่อีก!"ฟ่านซานเหอตื่นตระหนกขึ้นทันทีและต้องออกคำสั่ง “ใครก็ได้ จับนางไว้!"จากนั้นเขาก็มองไปที่ลั่วชิงยวนอย่างเย็นชา "วันนี้ข้าจะจัดการกับเจ้าก่อน แล้วค่อยไปขอประทานอภัยจากท่านอ๋อง!"คนรับใช้ในจวนเดินเข้ามาจับตัวลั่วชิงยวนทันทีลั่วชิงยวนมิได้ลงมือแม้แต่น้อยเสียงเย็นชาดังมาจากด้านหลัง“เจ้าคิดจะทำอะไรกับพระชายาของข้า
ลั่วหลางหลางตะโกนอย่างกังวลเมื่อได้เห็นลั่วหลางหลาง รูปร่างหน้าตาซีดเซียวของนางดูไม่เหลือเค้าสตรีจากครอบครัวชั้นสูงเลย รูปร่างหน้าตาของนางดูทรุดโทรมและเหนื่อยล้าเท่านั้นหากท่านมหาราชครูและท่านอาลั่วหรงเห็นลั่วหลางหลางในสภาพเช่นนี้ พวกเขาคงตรอมใจเป็นแน่“หลางหลาง!” ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยประคองลั่วหลางหลางเมื่อลั่วหลางหลางเห็นนาง ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นางจำเสียงของอีกฝ่ายได้ และดวงตาของนางก็แดงก่ำด้วยความตื่นเต้นแต่ประโยคแรกของนางนั้นกล่าวว่า “เจ้าบอกให้พวกเขาหยุดตีเถอะ มิเช่นนั้นเขาต้องถูกตีจนตายแน่!”ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย ชี้ไปที่ฟ่านซานเหอที่ถูกทุบตีแล้วพูดว่า “เขาทรยศเจ้า! ดูสิว่าตอนนี้เจ้าเป็นเช่นไร ทั้งหมดเป็นความผิดของเขา แต่เจ้ายังออกหน้าพูดแทนเขาอีกหรือ?”ใบหน้าของลั่วหลางหลางซีดเซียว และนางคว้าแขนของลั่วชิงยวนอย่างขอร้อง “ได้โปรดเถอะ ชิงยวน”ลั่วชิงยวนกัดฟันและขอให้เซียวชูและคนอื่น ๆ หยุดเฉินซวนอี๋กลับมาอีกครั้งโดยมีนางรับใช้คอยประคอง และพาฟ่านซานเหอออกไปอย่างรวดเร็ว“พระชายา ลั่วหลางหลางสบายดี ไม่มีใครรังแกนางทั้งนั้น” เฉินซวนอี๋ยิ้มอย
“หลางหลาง ก่อนหน้านี้เจ้ากับฟ่านซานเหอก็เข้ากันได้ดีมิใช่หรือ? เหตุใดจู่ ๆ เขาจึงปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้”ฟ่านซานเหอตบแต่งกับภรรยาหลวงอีกคนจริง ๆ ซึ่งลั่วชิงยวนจินตนาการมิออกเลยลั่วหลางหลางถอนหายใจอย่างเสียใจ "อันที่จริง มันเป็นความผิดของข้าเอง"“ข้ามิอยากมีลูกกับเขา”“แต่เขาอยากมี”“พอเวลาผ่านไป เขาก็ทนคำวิจารณ์ของคนนอกและเครือญาติของตระกูลเสวี่ยมิได้ ดังนั้นเขาจึงตบแต่งภรรยาหลวงอีกคนเข้ามาในที่สุด และตอนนี้เฉินซวนอี๋มีลูกอยู่ในท้องของนาง”ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย “มิอยากมีลูกหรือ? เป็นเพราะ… ท่านตาของเจ้าหรือ?"ลั่วหลางหลางพยักหน้าและพูดด้วยสีหน้าเศร้า "ท่านตาของข้าตายเพราะเขา นี่เป็นปมในใจที่ข้ามิอาจปล่อยวางได้"“ยิ่งข้าใกล้ชิดเขามากเท่าใด ข้าก็ยิ่งรู้สึกผิดและโทษตัวเองมากขึ้นเท่านั้น”หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็เข้าใจเหตุผลแต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังมิสามารถให้อภัยฟ่านซานเหอได้“แต่เขาก็ผิดคำสัญญากับเจ้า”“ครั้งนั้นเขาสัญญาเอาไว้อย่างไร? เพื่อที่จะช่วยชีวิตเขา ท่านมหาราชครูรับผิดแทนเขา ปลิดชีพตนไป ด้วยเหตุผลนี้เขาควรปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีสิ! เขาควรจะรักเจ้าอย่างสุดหัวใ
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของลั่วชิงยวนก็เปลี่ยนไป“ว่ากระไรนะ?!”จือเฉาพูดต่อว่า “ตอนที่พระชายากำลังพูดคุยกับคุณหนูหลางหลาง บ่าวสอดส่ายสายตาไปเรื่อย”“แต่บ่าวมิแน่ใจว่ามันเป็นของคุณหนูหลางหลางหรือไม่”“อย่างไรเสีย หากมิได้รับบาดเจ็บแล้วจะมีผ้าพันแผลเปื้อนเลือดได้อย่างไร?”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว และเข้าใจความกังวลของจือเฉาในทันใดเกรงว่าผ้าพันแผลเปื้อนเลือดอาจจะเป็นของคนอื่นมีผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่… แต่ความคิดนี้ลดโผนไปอยู่คู่หนึ่ง ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วและพูดว่า “เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วย! หลางหลางมิใช่คนแบบนั้น แม้ว่าผ้าพันแผลเปื้อนเลือดนั่นจะเป็นของคนอื่น ก็แปลว่านางมีเหตุผลที่ต้องทำแบบนั้น”อาจจะเป็นความลับเรื่องอื่น ที่ลั่วหลางหลางมิได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นกับตนเมื่อมาถึงโรงเตี๊ยม นางก็ได้พบว่าฟู่เฉินหวนใจกว้างถึงขนาดเช่าโรงเตี๊ยมไว้ทั้งสองชั้นยกเว้นห้องที่มียามอยู่ด้วย ห้องอื่น ๆ ว่างเปล่า น่าจะเพื่อความปลอดภัยเมื่อขึ้นไปชั้นบนลั่วชิงยวนเข้ามาในห้องเห็นฟู่เฉินหวนอ่านรายงานลับอีกครั้งลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าและนั่งลง รินชาให้ตัวเองแล้วถามว่า “คนของท่านส่งรายงานลับม
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ