เซียวอวิ๋นถิงมองนางด้วยสายตาลุ่มลึก: “คิดถึงสกุลเซี่ยให้มากเข้าไว้เถิด ในเมื่อเจ้ารู้สึกลึกซึ้งผูกพันกับสกุลเซี่ยมากถึงเพียงนี้แล้ว เช่นนั้นจงรักษาชีวิตของเจ้าให้ดี เพื่อยามนั้นจะได้พานพบกับคนสกุลเซี่ยอีกครา” หนนี้ชีหยวนเองก็ช้อนสายตาขึ้นสบตากับเขา ก่อนจะกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ: “ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง ท่านอ๋องโปรดวางใจ พวกเราจะต้องสมปรารถนาทุกสิ่งอย่างแน่นอน” รถม้ามิได้หยุดที่ภูเขาป๋ายอวิ๋นซาน แต่กลับเคลื่อนตรงต่อไปบนทางหลวง มุ่งตรงไปยังเหอหนาน กลุ่มคนสองฝ่ายที่ติดตามรถม้ามาตลอดแยกจากกันทันที ภายในจวนอ๋องฉี อ๋องฉีกำลังพินิจมองเกาทัณฑ์แขนเสื้อคันนั้น แววตามืดครึ้มไร้ประกายสว่าง ขันทีสวีเดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยความระมัดระวังเป็นที่สุด ก่อนจะก้มศีรษะลงและกล่าวรายงานว่า: “ท่านอ๋อง พวกเขากลับมาแล้วขอรับ” อ๋องฉีรับคำเสียงหนึ่ง ก่อนจะโบกมืออย่างเย็นชา: “ให้พวกเขาเข้ามา” ขันทีสวีเดินนำองครักษ์คนหนึ่งเข้ามาด้านใน จากนั้นตนเองก็ออกไปจัดการปิดประตูห้องให้เรียบร้อย ภายในห้องพลันมืดลงทันใด “ท่านอ๋อง!” องครักษ์คุกเข่าลงโขกศีรษะกับพื้นก่อน จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว: “คุณหนูใหญ่ช
ความจริงอ๋องฉีเองก็บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะเหตุใด ถึงได้ยึดติดกับชีหยวนถึงเพียงนี้ ทั้งที่ชาติก่อนตอนเขาสิ้นลมหายใจตายในมือของชีหยวน สิ่งที่คิดไว้ในใจคือต่อให้ลงนรกก็จะไม่มีวันปล่อยนางชั้นต่ำผู้นี้ไปเด็ดขาด แต่เมื่อถึงคราวได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง จิตใต้สำนึกของเขาก็ยังคงเป็นการรีบตามหาตัวชีหยวนให้เจอโดยเร็ว เขาเองก็ส่งคนไปที่ชนบทเช่นกัน ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ช้าไปก้าวเดียว กว่าคนของเขาจะหาตัวเจอ ชีหยวนก็กลับมาถึงจวนโหวแล้ว มิหนำซ้ำยังสร้างความวุ่นวายให้จวนโหวไปไม่น้อยด้วย เพียงแต่ เขาก็ยังคงมิได้รู้สึกว่าเรื่องนี้จะมีอะไรเลวร้าย กลับมาจวนโหวได้แล้วก็ดี เขาจะได้ให้หานเยว่เอ๋อร์จับตาดูนางเอาไว้ เพียงแต่น่าเสียดาย ที่ชีหยวนยังคงดื้อรั้นหัวแข็งเหมือนชาติก่อนไม่มีผิดเพี้ยน หลังกลับมามีชีวิตอีกครั้ง นางก็ยังเลือกที่จะผูกพันธมิตรกับเซียวอวิ๋นถิงเพื่อมาจัดการเขา ก่อนหน้านี้เขาโกรธมาก และอยากจะสังหารชีหยวนให้ตายเช่นกัน อันที่จริง ตอนอยู่ที่จวนอ๋องโจว เขาเกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้วจริง ๆ สังหารชีหยวนแล้ว ท่าทีของชีหยวนที่มีต่อสกุลหลิ่ว ก็คือท่าทีแบบเดียวกันที่มีต่อเขา! นางยังเคีย
ว่าตามเหตุผลแล้ว อ๋องฉีควรอยู่แต่ในเรือนอย่างสงบเรียบร้อยถึงจะเป็นการดีที่สุด แต่ชัดเจนว่าอ๋องฉีไม่มีความคิดนี้อยู่เลย คิดได้ถึงตรงนี้ สายตาของหลิ่วจิงหงก็ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างทนไม่ไหว: “ท่านอ๋อง เมื่อวานท่านไปที่จวนอ๋องโจวมาใช่หรือไม่ขอรับ?” สีหน้าของอ๋องฉีพลันเปลี่ยนไปทันใด ก็หันขวับกลับมาขึงตาจ้องหลิ่วจิงหง หลิ่วจิงหงสืบเท้าถอยไปก้าวหนึ่งโดยสัญชาตญาณ แต่ไหนแต่ไรมาเขาใกล้ชิดสนิทสนมกับหลานชายคนนี้มาโดยตลอด อยู่ใต้อิทธิพลของหลิ่วกุ้ยเฟย เฉกเช่นเดียวกับอ๋องฉี ส่งผลให้พวกเขาซึ่งเป็นญาติกันทางฝ่ายมารดาสนิทสนมใกล้ชิดกันมากเป็นที่สุด ทว่าระยะนี้ เขามีความรู้สึกอยู่เสมอว่าอ๋องฉีดูคล้ายเปลี่ยนไปแล้ว ในทุกการกระทำรวมถึงทัศนคติที่มีต่อสกุลหลิ่ว ล้วนเผยให้เห็นถึงความห่างเหินชัดเจน การเปลี่ยนแปลงนี้ หลิ่วจิงหงเองก็ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด และเพราะว่าไม่รู้ จึงรู้สึกกังวลและเป็นห่วงมากเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก หลิ่วจิงหงเริ่มเฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวขององครักษ์ลับมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น เมื่อวานครั้นได้ยินฮูหยินใหญ่หลิ่วบอกว่าชีหยวนประจันหน้ากับนักฆ่าที่จวนอ๋อง
ฉู่กั๋วกงตำหนิด้วยเสียงเย็นชา: “เจ้าสวะไม่เอาไหน!” ในบรรดาบุตรหลานของขุนนางชั้นสูงหลิ่วจิงหงนับว่ามีความสามารถโดดเด่นเก่งกาจมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน้าที่หรือการปฏิบัติตัวล้วนแต่น่าชื่นชม เพิ่งเคยถูกขึ้นเสียงตำหนิใส่หน้าโครม ๆ เช่นนี้เป็นครั้งแรก จู่ ๆ ก็ถูกฉู่กั๋วกงด่าทออย่างรุนแรงเช่นนี้ เขาพลันอึ้งงันไปทันที: “ท่านพ่อ หรือท่านไม่ทราบว่าหมิงจูนาง…หมอหลวงบอกว่า นางร่วงลงมากระแทกพื้นรุนแรงเพียงนี้ กระทบถึงเลือดลม หลังจากนี้อาจตั้งครรภ์ไม่ได้แล้ว! ท่านจะให้ข้าอดทนกล้ำกลืนโทสะนี้ไว้อย่างไร?” เขามุ่งมาดปรารถนามาตลอดว่าจะให้บุตรีของตนเองสมรสกับอ๋องฉี และเดิมหลิ่วกุ้ยเฟยเองก็ยินดีที่จะเห็นเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงเช่นกัน ในท้ายที่สุดสัมพันธ์เครือญาติจะได้ใกล้ชิดแน่นแฟ้นขึ้น ทว่าบัดนี้หลิ่วหมิงจูกลับล้มบาดเจ็บ มิหนำซ้ำร่างกายหลังจากนี้ก็ไม่น่าจะดีมากนัก ทำให้เรื่องนี้ถูกปกคลุมด้วยเงามืดไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย พูดได้เลยว่าอนาคตของหลิ่วหมิงจูได้พังทลายลงแล้ว “นั่นเป็นเพราะนางไร้ฝีมือสู้อีกฝ่ายเอง จะโทษใครได้?” ฉู่กั๋วกงสีหน้าเย็นชา ตำหนิอย่างไร้ความปรานี: “ในเรือนเลี้ยงดูทะนุ
ฉู่กั๋วกงตัดสินใจทันใด: “จะใช่หรือไม่ เพียงถามดูก็รู้แล้ว” เขาเอ่ยพลาง ก็เรียกให้คนสนิทของตนเองเข้ามา และออกคำสั่งด้วยเสียงเบา ราวครึ่งชั่วยามให้หลัง คนก็กลับมา พร้อมกล่าวรายงานว่า: “หลังออกจากเมืองคุณหนูใหญ่ชีท่านนั้นมิได้เดินทางขึ้นเขาป๋ายอวิ๋นซานขอรับ ทว่ามุ่งหน้าตรงไปยังทิศของเมืองเหอหนานขอรับ คนของพวกข้าเพิ่งสืบทราบมาได้ว่า ท่านอ๋องเองก็มุ่งหน้าไปที่แห่งนั้นเช่นกัน” เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะพอดี! หลิ่วจิงหงเหลือบสายตามองไปยังฉู่กั๋วกงอย่างอดไม่ได้: “ท่านพ่อ!” “ข้ามิได้หูหนวก!” ฉู่กั๋วกงแค่นเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อยเอ่ยขึ้นว่า: “ข้าให้ท่านแม่ของเจ้าแวะเข้าไปในวัง ไปถามกุ้ยเฟยก่อน แล้วค่อยตัดสินใจเถิด” หลิ่วจิงหงได้แต่ฝืนใจข่มอารมณ์ไว้และตอบรับคำ ทางฟากตระกูลชีในขณะเดียวกัน ชีเจิ้นเองก็เข้าวังแล้วเช่นกัน ฟังว่าชีเจิ้นมาขอเข้าเฝ้า ฮ่องเต้หย่งชางก็ปล่อยองค์หญิงหมิงเฉิงลง ก่อนจะหันไปยิ้มกับเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยและตรัสว่า: “หลังพ้นปีใหม่เป่าหรงของพวกเราก็วัยครบสิบห้าแล้ว จะต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ข้าตั้งใจจะให้เจ้าหน้าที่กรมวังและกรมบวงสรวงดำเนินการจัด
หลิ่วกุ้ยเฟยรักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้เป็นที่สุด รับนางเข้ามาในวังหลวง คอยอบรมเลี้ยงดูอยู่ข้างกายมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ยิ่งทำให้มีความคิดจะกระชับความสัมพันธ์เครือญาติให้แน่นแฟ้นขึ้น โดยให้หลานสาวคนนี้แต่งแก่บุตรชายของตนเอง ยิ่งนางรักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้มากเพียงใด ก็ยิ่งมีความเกลียดชังชีหยวนที่ทำให้หลานสาวต้องประสบเหตุไม่คาดฝัน “เป็นแค่บุตรีจากจวนโหวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ไม่รู้จักเจียมตัวเสียบ้าง!” หลิ่วกุ้ยเฟยกระตุกมุมปากอมยิ้มอย่างเยือกเย็น: “นางคิดว่านางเป็นใครกัน?” ก่อนหน้านี้ทำให้อ๋องฉีต้องเดือดร้อน หลิ่วกุ้ยเฟยมีความทรงจำกับชีหยวนมาตั้งแต่เมื่อครานั้น เพียงแต่เมื่อตอนนั้น นางกลับรู้สึกว่านั่นเป็นเพียงแค่มดแมลงตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่คู่ควรให้นางต้องขยับแม้กระทั่งปลายนิ้วเสียด้วยซ้ำ ทว่าบัดนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว ต้องรู้ว่า แม้จะเล็กเท่ามดเท่าปลวกตัวหนึ่ง แต่หากกัดคนขึ้นมาแล้วก็เจ็บมากเช่นกัน นางกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์: “ท่านแม่มีเมตตาเกินไปแล้ว” สวะไร้ค่าเช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องเปลืองแรง แค่ขยับปากก็บดขยี้ให้ตายได้แล้ว จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้เพื่ออะไร? ฮูหยินผู้เฒ
หลิวอันมิบังอาจปกปิด “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องมั่นใจว่าแม่นางใหญ่สกุลชีไปหาพระชายาอ๋องหลิ่ว ด้วยเหตุนี้จึงไล่ตามออกจากเมืองพ่ะย่ะค่ะ” หลิ่วกุ้ยเฟยสูดลมหายใจเยือกเย็นเฮือกหนึ่ง: “เสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว!” นางข่มโทสะไว้ไม่ไหว ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ควรจะสั่งองครักษ์ลับ ให้ไล่ตามชีหยวนไป รอกระทั่งชีหยวนพบพระชายาหลิ่วแล้ว ค่อยสังหารทั้งชีหยวนและพระชายาหลิ่วไปพร้อมกัน ทำแบบนี้แล้วไยจะต้องให้อ๋องฉีไปด้วยตนเองด้วย! หลิ่วกุ้ยเฟยโกรธกรุ่นจนทนไม่ไหว: “บุตรผู้สูงศักดิ์ ย่อมไม่เสี่ยงภัยโดยไม่จำเป็น! นับวันเขายิ่งถอยหลังลงทุกวันแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วกลับสังเกตถึงความผิดปกติได้อย่างเฉียบคม: “กุ้ยเฟย เดิมทีท่านอ๋องจะแจ้งเรื่องนี้กับจิงหงเลยก็ย่อมได้ หรือจะกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการก็ย่อมได้ ทว่าท่านอ๋องกลับไม่ทำเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังปิดบังจิงหง…” น้ำเสียงของนางเคร่งขรึมยิ่งนัก: “เกรงว่าเหตุผลที่ท่านอ๋องต้องเดินทางไปด้วยตนเอง จะเป็นเพราะต้องการทิ้งหนทางรอดชีวิตสักทางหนึ่งไว้ให้ชีหยวน” กล่าวอีกนัย อ๋องฉีปฏิบัติต่อชีหยวนค่อนข้างแตกต่างจริง ๆ มิเช่นนั้น เรื่องนี้จะไม่ซับซ้อนแม้แต่เสี้ยวเด
เพราะสับเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าพำนักในศาลาพักม้าได้ตามแผนการที่กำหนดไว้ก่อนหน้า เมื่อไม่มีศาลาพักม้าให้อ้างแรมแล้ว ทุกคนจึงได้แต่กินลมห่มน้ำค้าง หากระท่อมที่พอกันฝนได้พักเท้าชั่วคราว และทันทีที่ปาเป่าพร้อมลิ่วจินเข้ามาในกระท่อม สีหน้าก็ย่ำแย่ลงเล็กน้อย กระท่อมหลังนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นโดยนายพรานล่าสัตว์ สามารถใช้แวะพักผ่อนชั่วคราวได้ระหว่างเดินทางขึ้นภูเขา และเป็นเพราะเหตุผลนี้เอง ทำให้กระท่อมหลังนี้นอกจากส่วนหลังคาแล้ว ส่วนอื่นแทบไม่มีอะไรป้องกัน ลมฝนสามารถพัดเข้ามาได้ทั้งสี่ด้าน ไม่เพียงเท่านี้ กระท่อมหลังนี้มีเพียงกองฟางแห้งกองหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรเลย ชีหยวนออกเดินทางอย่างกะทันหัน ซ้ำร้ายยังไม่มีคำสั่งให้พวกเขาเตรียมสิ่งใดไว้ ดังนั้นบนรถม้าจึงไม่มีข้าวของอื่นใดเลย นอกจากผ้าห่มหนึ่งผืนที่วางอยู่ในช่องเก็บของติดผนังมาตั้งแต่แรก และไม่มีสิ่งของอื่นใดอีกแล้ว องครักษ์คนหนึ่งจุดคบเพลิงขึ้น ก่อนจะบ่นอย่างไม่สบอารมณ์: “คุณหนูใหญ่ท่านนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? ทั้งที่มีเส้นทางที่กำหนดไว้แล้วกลับไม่เดินตาม เปลี่ยนเส้นเส้นทางเองตามใจชอบ ยอดเยี่ยม
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ