สวีฉีเฟิ่งนั้นคิดตบแต่งสตรีโง่เขลาสักนางมาเป็นภรรยาให้ได้หลอกใช้ ทว่าไยที่ได้มาจึงกลายเป็นนางปีศาจจิ้งจอกเก้าหางผู้เค็มยิ่งกว่ามารดาทะเลไปเสียได้?!!
view moreบทนำ
...อูย...
ความรู้สึกแรกของตะวันฉายที่เธอได้รับก็คือเจ็บปวดบริเวณท้ายทอยอย่างมาก 'นางร้ายเงินล้าน' แห่งช่องน้อยสีของประเทศไทยพยายามนึกทบทวนว่าที่แท้ตนเองเป็นอะไรไปจึงตื่นมาแล้วปวดที่ท้ายทอยเหลือเกิน รีดเค้นอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายเธอก็ได้ความว่าตนเองนั้นถูกยายนางเอกหน้าสวยใจเน่าเช่น ‘ปานฤดี มากมี’ นั้นแสร้งเดินชนตอนที่ทั้งคู่เดินสวนทางกันในระหว่างลงจากเวทีงานอีเวนต์เปิดตัวสบู่ยี่ห้อดัง จากนั้นโลกทั้งใบของตะวันฉายก็ดับมืดลงราวกับว่าบ้านของเธอนั้นถูกการไฟฟ้าตัดหม้อแปลงเลยทีเดียว
"คุณหนูห้าท่านฟื้นแล้ว! นายท่านเจ้าคะคุณหนูห้านางฟื้นแล้วเจ้าค่ะ!"
...คุณหนูห้า?...ใครกัน?...
คนที่ยังคงมึนศีรษะนั้นค่อย ๆ ขยับเปลือกตาลืมขึ้นอย่างยากเย็น ภายในใจก็สงสัยต่อเสียงสำเนียงเหน่อดังคนสุพรรณที่เธอเคยผ่านหูมาบ้าง แต่ความเหน่อยังไม่น่าสงสัยเท่าอะไรคือคุณหนูห้า...นายท่าน...เพราะเธอเป็นเด็กกำพร้า เติบโตมาจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่เชียงใหม่ ตั้งแต่จำความได้ตะวันฉายจึงเป็นลูกคนเดียวมาโดยตลอด เพราะขนาดพ่อกับแม่ยังไม่รู้จักเลยจะไปรู้จักพี่น้องที่มีได้อย่างไร ถึงอาจจะมีจริงก็ตามเถอะ
...ดังนั้นเธอจะเป็นคุณหนูห้าได้อย่างไรกันเล่า?...
ทว่ายังไม่ทันหายสงสัยกับประโยคแตกตื่นแรกเมื่อเธอนั้นลืมตาขึ้นมาได้ก็ต้องนิ่งงันไปกับภาพเพดานห้องตรงหน้าที่ไม่ใช่เพดานสีขาวสะอาดของโรงพยาบาล หรือเพดานสีครีมของห้องพักซึ่งเป็นคอนโดหรูที่ตนเองเป็นเจ้าของ แต่เพดานห้องแห่งนี้กลับเป็นโครงสร้างที่ทำจากไม้ดูอย่างไรก็เป็นเพดานห้องยุคโบราณอย่างแน่นอนเพราะเธอเคยเล่นละครพีเรียดมาหลายเรื่อง อย่างไรก็มองไม่ผิดแน่!
“เซียงเอ๋อร์เจ้าฟื้นแล้วจริงด้วย! ลูกพ่อเจ้าฟื้นแล้ว ดีเหลือเกิน”
...!!!...
ภาพของบุรุษวัยราวปลายสามสิบปีใกล้สี่สิบปีที่โผล่มายืนชะโงกมองตนเองทำเอาตะวันฉายตกใจจนพูดไม่ออก แล้วพออีกฝ่ายนั้นเรียกตนเองว่า ‘พ่อ’ คนที่เกิดมายี่สิบเอ็ดปีแล้วทราบเพียงตนเองเป็นเด็กที่ถูกทิ้ง ไร้ทั้งพ่อขาดทั้งแม่กลับยิ่งตกใจกว่าเดิมไปอีกหลายพันเท่า!
...นี่เราตกบันไดจนสติฟั่นเฟือนไปขนาดนี้เลยหรือนี่นางตะวัน?...
“ไหน? ... เด็กสาระเลวมันฟื้นแล้วหรือ ฟื้นแล้วย่อมดี ข้าจะตีนางให้ตายเอง!”
...ใครอีกเล่า?...
นางร้ายเงินล้านถึงกับมึนงงไปหมดไม่ทราบว่าตนเองกำลังเผชิญกับอะไรอยู่กันแน่ เธอกำลังถ่ายละครอยู่หรือไร? แต่ก็จำได้แม่นว่าตนเองถูกชนจนตกบันไดเวทีมันจะกลายเป็นมาอยู่ในกองถ่ายละครได้อย่างไร ที่สำคัญเธอจำได้ไม่มีลืมว่าตนเองไม่เคยรับเล่นละครหรือซีรีส์พีเรียดจีนมาก่อน แล้วภาพตรงหน้าทั้งหมดนี่มันอะไรกัน???
“ท่านแม่สามีได้โปรดระงับโทสะด้วยเจ้าค่ะ เซียงเอ๋อร์นั้นนางเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเท่านั้น ที่สำคัญนางถูกซินเอ๋อร์ทำร้ายจนศีรษะแตกและสลบไปถึงสามวันสามคืนยังไม่พอ ซินเอ๋อร์นั้นยังจับเซียงเอ๋อร์โยนลงบึงบัวอีกด้วย ท่านแม่สามีได้โปรดเมตตานางด้วยเจ้าค่ะ นางอาจมิได้ผิดอันใดก็เป็นไปได้ ขอท่านแม่สามีใจเย็นสักนิด”
เสียงของสตรีสาววัยคงราวยี่สิบกว่าปีดังเอ็ดอึง ทั้งยังมีเสียงยื้อยุดจนตะวันฉายต้องพยายามลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองทิศทางของต้นเสียงดังกล่าว แล้วหญิงสาวก็ตื่นเต็มตาทันที
...!!!?...
ด้วยภาพของหญิงสูงวัยคาดเดาอายุได้คงราวหกสิบปี ในมือถือไม้พลองดุ้นโตกะได้คงราวหน้าสามเห็นจะได้ พอนางร้ายสาวเห็นภาพเหล่านั้นมันก็ทำให้หญิงสาวหนาวเยือกในอก เพราะตกเวทีนั้นยังไม่ถึงตายทว่าหากถูกไม้หน้าสามฟาดเธอตายจริงแน่!
“ทะ...ท่าน...ท่านพ่อ...น่ากลัว...น่ากลัวเกินไปแล้ว...”
เอาวะจะอะไรก็ช่างตอนนี้ จะให้เธอเรียกผู้ชายด้านข้างเตียงคนนี้ว่า ‘เทียด’ ตะวันฉายล้วนไม่มีติดขัดเขินอาย เพราะหากเรียกแล้วตนเองไม่ถูก ‘ท่านป้ามหาโหด’ คนนั้นเอาไม้หน้าสามมาฟาดเธอไม่เกี่ยงอยู่แล้ว
“ท่านแม่ได้โปรดใจเย็นก่อน เซียงเอ๋อร์นั้นคงไม่รู้เรื่องที่ซินเอ๋อร์หนีไปเป็นแน่ ท่านแม่อย่าเพิ่งใจร้อน เด็กโง่ผู้นี้อย่างไรก็คงไม่รู้ไม่เห็นกับการที่ซินเอ๋อร์หนีไปเป็นแน่”
ตะวันฉายเร่งขยับไปหลบด้านหลังของผู้ชายที่เขาอ้างตนเองว่าเป็น ‘ท่านพ่อ’ ของเธอพลางกำชายเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ถึงอยากรู้อยากเห็นแทบตายว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ไม้หน้าสามก็เอาชนะความอยากรู้ได้ทุกสิ่งจริงเสียด้วย
“พวกเจ้าอย่ามาใส่ร้ายป้ายสีซินเอ๋อร์ของข้านะ!”
ความวุ่นวายตรงหน้ายังคงอยู่ ทว่าตะวันฉายกลับรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเริ่มมืดลงช้า ๆ ความรู้สึกนั้นเลือนรางลงไปเรื่อย ๆ สุดท้ายสติของนางร้ายเงินล้านก็ดับมืดลงไปอีกครั้งหนีเสียงด่าทอ เสียงกรีดร้องของหญิงชรา และเสียงห้ามปรามของหนึ่งบุรุษ และหนึ่งสตรีสาวหลุดเข้าสู่ความมืดมิดดำสนิทไปในท้ายที่สุดจนร่างบอบบางทรุดฮวบลงไปสร้างความแตกตื่นให้แก่ผู้เป็นพ่ออีกครั้ง
“เซียงเอ๋อร์! ฮูหยินเร็วเข้า เซียงเอ๋อร์หมดสติไปอีกแล้ว เร่งตามหมอเร็วเข้า! ตามท่านหมอฟางมาเดี๋ยวนี้”
เสียงสุดท้ายที่คล้ายจะดังมาจากที่ไกลแสนไกลนั้นค่อย ๆ จางหายไปทีละน้อย...ทีละน้อย...จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ตะวันฉายเธอก็รู้สึกตัวตื่นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ที่ลืมตาหญิงสาวกลับพบว่าทุกสิ่งรอบกายของตนเองนั้นมืดมนลงไปหมดแล้ว ไม่สิไม่ได้มืดสนิทไปเสียหมด เพราะยังมีเชิงเทียนตั้งอยู่ตรงโต๊ะกลางห้องให้ความสว่างพอรางเลือนวับแวมให้เห็นบรรยากาศโดยรอบห้องได้ไม่ยาก
พอสติกลับมาครบในกายหญิงสาวก็รู้สึกหิวน้ำจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่งจึงได้เห็นว่าที่หน้าเตียงของเธอนั้นมีร่างของดรุณีน้อยวัยคงราวสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนพื้นหนึ่งคน พอมองต่อไปตรงตำแหน่งหัวเตียงก็พบเข้ากับกาน้ำชาหนึ่งชุดวางอยู่ เธอจึงขยับกายอย่างระวังไปเทน้ำชาในกานั้นดื่มดับกระหายด้วยตนเอง ไม่ยอมเรียกคนด้านล่างให้วุ่นวาย ตามนิสัยคนชอบช่วยเหลือและยืนด้วยตนเองมาตั้งแต่จำความได้ในสถานสงเคราะห์
พอดื่มน้ำจนอิ่มหญิงสาวจึงมองสำรวจไปรอบกายตนเองอย่างจะหาจุดเด่นที่จะทำให้เธอจดจำได้บ้างว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่ ส่วนในสมองก็กำลังเรียงลำดับความคิดเสียใหม่ เธอจะต้องนึกให้ออกสิว่าตนเองมาโผล่ในบ้านรูปทรงคล้ายดินแดนจีนโบราณแห่งนี้ได้อย่างไร
เพียงครู่ภาพต่าง ๆ ที่เธอไม่คุ้นก็พลันไหลเข้ามาในความทรงจำแทรกภาพความทรงจำของตะวันฉายที่เป็นดาราดังแถวหน้าในวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปีจนตีกันยุ่งเหยิงสับสนไปหมด ต้องใช้เวลานานราวครึ่งชั่วโมงตะวันฉายจึงรวบรวมสมาธิจนนิ่งแล้วค่อย ๆ เรียงลำดับภาพเหล่านั้นจนมันเป็นฉาก เป็นรูป เป็นร่าง
...จางเยว่เซียง...
ตอนที่11หลังจากได้ทำความรู้จักกับ ‘ญาติ’ ของสวีฉีเฟิง และส่งเขาไปทำกิจธุระแล้ว คราวนี้ก็ถึงคราวที่นางจะต้องไปทำความรู้จักกับเหล่าข้าทาสบริวารของสามีที่แน่นอนว่าต่อไปนี้คนเหล่านั้นจะต้องเป็นข้าทาสบริวารของนางด้วยเช่นกัน “นายหญิงเชิญที่เรือนกลางขอรับ” ท่านพ่อบ้านซูโค้งกายชี้นำทางให้แก่นางอย่างนอบน้อม และให้เกียรติ แต่เพราะเด็กสาววัยสิบเจ็ดหนาวตรงหน้านั้นครอบครองตำแหน่ง ‘นายหญิงสวี’ เขาที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ย่อมต้องแสดงให้บริวารทั้งหลายได้เห็นเป็นตัวอย่างเอาไว้ มิให้คนใต้ปกครองได้กำเริบเสิบสานไม่เคารพผู้เป็นนายได้ในภายภาคหน้านั่นเอง “รบกวนท่านพ่อบ้านซูแล้ว” จางเยว่เซียงเองนั้นก็ต้องรู้จักวางตัวเช่นกัน มาถึงวันนี้ความทรงจำร่างนี้แทบไม่มี แต่ความทรงจำของ ‘ตะวันฉาย’ นั้นก็พอจะเอาตัวรอดได้อยู่บ้าง เพราะในยุคนี้นอกบ้านสามียิ่งใหญ่ ทว่าในบ้านภรรยาต้องควบคุมให้สงบ สามีจะแต่งอนุภรรยาอีกกี่นาง จะมีบุตรต่างภรรยาอีกกี่คน ผู้ที่เป็นภรรยาเอกเฉกเช่นนางจะต้อง ‘จัดการ’ ให้ได้ และมิใช่เพียงต้อง ‘ได้’ แต่จะต้องดีที่สุดอีกด้วย “พวกนางเหล่านี้คือสาวใช้ทั้งหมดที่จวนรอง ส่วนทางฝั่งนี้คือบ่าวชายกับคนงานทั้งห
ตอนที่10ช่วงต้นยามอิ๋นสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาราวกับท้องฟ้าพิโรธ อากาศเย็นสาดเข้ามากระทบคนไม่ชอบอากาศหนาวจนนางต้องตื่นขึ้นมา ก็พอดีกับที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา “ข้าทำเจ้าตื่นหรือ?” คนตัวโตที่เพิ่งปิดประตูลงด้วยกิริยาระวัง แต่คนบนเตียงนางก็ยังขยับกายตื่นลุกขึ้นมานั่งได้อยู่ดีเอ่ยถามขึ้น“มิได้เจ้าค่ะ ข้าตื่นเพราะเสียงฟ้าฝนด้านนอกที่แรงยิ่งนักนั่น ซ้ำละอองเย็นจากน้ำฝนก็สาดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้เมื่อช่วงหัวค่ำเจ้าค่ะ” สวีฉีเฟิ่งหันไปก็เห็นจริงจึงเดินไปปิดมันลงเสียแล้วกลับมาปลดอาภรณ์ตัวนอกออกจนหมดเปลี่ยนมาเป็นเสื้อคลุมสวมใส่ในยามนอนเพียงตัวเดียว จากนั้นเขาก็เก็บนั่นเก็บนี่จนเรียบร้อยจึงเดินตรงไปที่เตียงสอดกายสูงใหญ่นั้นเบียดเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกับนาง ทว่าเพียงเท่านั้นก็ทำให้จางเยว่เซียงจับสังเกตได้แล้ว ว่าสวีฉีเฟิ่งผู้นี้เป็นบุรุษที่มีระเบียบจัดอย่างที่สตรีบางคนยังต้องอับอายผู้หนึ่งเลยทีเดียว “พรุ่งนี้มีเวลาให้เจ้าพักผ่อนหนึ่งวัน มะรืนหลังจากกลับไปยกน้ำชาให้แก่ท่านพ่อของเจ้าแล้ววันต่อไปพวกเราคงต้องเดินทางไปยังชายแดนแคว้นอี้ด้วยกัน เพราะการค้าที่นั่นมีปัญหาให้ข้าต้องไปดูแลแก้
ตอนที่9ผ่านไปครู่หนึ่งสภาพของ ‘นายท่าน’ ที่ปรากฏต่อหน้าติงฮ่าว และฟางปี้เหลียนนั้นกลับช่างน่าอนาถอย่างยิ่ง ทว่าจะน่าอนาถเพียงใดพวกเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้ากลืนความขบขันลงท้องเท่านั้น “มิต้องตามหมอแน่นะเจ้าคะ?” จางเยว่เซียงนั้นที่ยังแตกตื่นเอ่ยถามคนที่นอนหงายหนุนตักของนางอยู่ด้วยความกังวลที่เจ้าบ่าวของตนเองนั้นเลือดกำเดาพุ่งออกมาราวกับน้ำพุเมื่อครู่ไม่หาย อากาศที่แคว้นฉู่นี้ต่อให้ช่วงนี้เป็นฤดูฝนแต่ก็หนาวจนคนที่มาจากยุคที่อยู่ได้ด้วยเครื่องปรับอากาศยังรู้สึกเย็นสบายไม่ต้องเปิดหน้าต่างนอนเลยสักคืน แต่บางทีหนานเฉิงกั๋วกงผู้นี้เขาคงเป็นโรคร้อนในเป็นแน่จึงเลือดกำเดาออกง่ายเช่นนี้ “ไม่ต้องหรอกพวกเจ้าก็ไปนอนกันได้แล้วข้านอนพักสักครู่ก็หายดีแล้ว” ขืนต้องไปตามหมอกันกลางดึกด้วยสาเหตุผู้เป็นเจ้าบ่าวนั้นเลือดกำเดาไหล เห็นทีชื่อเสียงเลวร้ายที่สะสมมาถึงสิบปีคงได้มลายหายไปจนสิ้นเป็นแน่ สวีฉีเฟิ่งคิดในใจด้วยความทดท้อไม่หายเพราะเพียงต้องขายหน้าท่านพ่อบ้านใหญ่กับอีกหนึ่งสาวใช้กับหนึ่งคนสนิทนี้เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ใดกันแล้ว “ขอรับนายท่าน อาเหลียน อาฮ่าวตามข้ามา” ซูจิ้งเหยาเรียกคนรับใช้ชาย
ตอนที่8ดังนั้นเมื่อสวีฉีเฟิ่งเห็นว่าได้เวลาสมควรแล้วเขาจึงขอตัวจากแขกที่คุ้นเคย เตรียมตัวไปหาเจ้าสาวในห้องหอจึงพบว่าเจ้าสาวคนงามของตนเองนอนหลับสนิทหมดสภาพไปเสียแล้ว “นายท่าน/นายท่าน” ติงฮ่าว และฟางปี้เหลียนเห็นผู้เป็น ‘เจ้าบ่าว’ ถูกเพื่อนฝูงโดยแกนนำคือคุณชายตู้พากันมาส่งจนถึงหน้าประตูเรือนหอ ทว่าเจ้าสาวกลับยังนอนหลับได้ไม่ไหวติงเสียแล้วพวกเขาจึงทำได้เพียงโค้งกายให้แก่ ‘นายท่าน’ จนศีรษะแทบโขกพื้นเท่านั้น ไม่มีใครกล้าไปปลุก ‘เจ้าสาว’ ที่หลับประหนึ่ง ‘ซ้อมตาย’ เลยสักคน “ติงฮ่าวไปเตรียมน้ำ เจ้าปี้เหลียนสินะไปจัดเตรียมอาภรณ์ให้ข้า” ทว่าสวีฉีเฟิ่งนั้นมิได้เดือดร้อนในเมื่อนางอยากจะหลับก็ให้หลับไปเขาไม่รีบร้อนอยู่แล้ว กายกำยำปลดอาภรณ์ชุดเจ้าบ่าวเนิบนาบโดยมีติงฮ่าวคอยช่วยเหลือผ่านไปครู่ได้ เขาจึงเดินออกมาด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่เพียงเท่านั้นไม่มีอาภรณ์ใดอยู่ภายในอีกเลย “พวกเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ติงฮ่าวเจ้าพาปี้เหลียนไปส่งที่ห้องพักของนางด้วย พรุ่งนี้หากข้าไม่เรียกก็ไม่ต้องเร่งเข้ามาที่เรือนนี้อีก” “ขอรับ/เจ้าค่ะ” สองคนสนิทจัดการงานหน้าที่เสร็จแล้วรับคำสั่ง จากนั้นก็เร่งจากไปไม่อยู่ข
ตอนที่7และแล้ววันวิวาห์ยิ่งใหญ่ระหว่างคุณหนูห้าของท่านนายอำเภอจางและหนานเฉิงกั๋วกงสวีฉีเฟิ่งก็บังเกิดขึ้นในวันที่ท้องฟ้าของต้นเดือนหกนั้นแสนจะแจ่มใจเป็นใจต่อฤกษ์มงคลนี้เสียเป็นยิ่งนัก ชาวบ้านเองต่างร่ำลือกันไปทั่วถึงการที่เจ้าสาวถูกเปลี่ยนไป แต่เพราะอำนาจและเงินทองของฝ่ายเจ้าบ่าวผู้ใดเล่าจะกล้าสงสัยความต้องการของเขา ดังนั้นพิธีต่าง ๆ จึงเริ่มดำเนินไปตามธรรมเนียมของชาวต้าเหลียงอย่างเคร่งครัดนั่นก็คือ ฝ่ายเจ้าสาวที่จะต้องไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวนั้น จะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ติดตัวไปด้วย รวมทั้งสิ่งของที่ต้องใช้ในงานพิธี ร่วมไปกับสินเดิมซึ่งมีดังต่อไปนี้ หนึ่งนั่นก็คือเอี๊ยมแต่งงาน เป็นเอี๊ยมผ้าแพรสีแดง มีกระเป๋าเล็ก ๆ ตรงหน้าอกเสื้อ ปักคำว่า ‘แป๊ะนี้ไห่เล่า’ ซึ่งมีความหมายสื่อว่า อยู่กินกันจนแก่เฒ่าซึ่งจางเยว่เซียงนางก็เพิ่งได้ทดลองสวมดูว่าต้องแก้ไขหรือไม่ไปเมื่อวันก่อนนี้นี่เอง ชิ้นที่สองคือเชือกแดงผูกเอี๊ยม ติดตัวหนังสือ และมีแผ่นหัวใจสีแดงสำหรับติดเครื่องประดับเช่นไข่มุกหรือทองคำแท้ แล้วแต่ว่าฐานะของเจ้าบ่าว และเจ้าสาวจะร่ำรวยเพียงใด ซึ่งในกรณีของจางเยว่เซียงนับว่าเจ้าบ่าว แ
ตอนที่6...จวนรองสกุลสวียังแคว้นฉู่... “นายท่าน” ซั่วเจามาพร้อมถุงผ้าเปื้อนเลือดวางลงตรงหน้าคนที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตวัดพู่กันอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ทั้งที่ก็เข้าสู่ต้นยามจื่อแล้วโดยแท้ สวีฉีเฟิ่งตวัดพู่กันลงไปบนตัวอักษรสุดท้ายแล้วจัดการพับเรียบร้อยเป็นจดหมายลับส่งออกไปกับพิราบสื่อสารสีขาวตัวอ้วนพี “เรียบร้อยดีทุกสิ่งใช่หรือไม่อาเจา” “เป็นไปตามบัญชาของนายท่านขอรับ” “ดี!” เรียวปากสวยเกินบุรุษแย้มยิ้มงดงามแล้วหยิบถุงผ้ามาเปิดออกเห็นสิ่งที่อยู่ภายในก็ไม่พูดสิ่งใด เดินออกจากห้องหนังสือในคฤหาสน์ของสกุลสวีแล้วมุ่งตรงไปยังสวนด้านหลังเรือนดอกท้อก็พบกับกรงขนาดใหญ่ที่มีเสือดำตัวใหญ่นอนอย่างเกียจคร้านอยู่ภายในถึงสองตัว “อาลี่” เจ้าตัวที่ใหญ่กว่าขยับหัวขึ้นดูแต่ไม่ได้ลุกขึ้นมา กลับเป็นตัวที่เล็กกว่าที่ลุกขึ้นมาแล้วบิดตัวราวปวดเมื่อยอย่างยิ่ง แล้วเดินยักย้ายส่ายสะโพกมารับเอามือของมนุษย์คาบไปนอนแทะเล่นยังอีกมุมหนึ่งของกรงราวกับกินของว่างมื้อดึก ซึ่งพอส่ง อาหาร ‘ขบเคี้ยว’ ยามดึกให้เสือดำกำลังตั้งครรภ์เรียบร้อยสวีฉีเฟิ่งก็เดินไปล้างมือในอ่างด้านข้างที่บ่าวชายถือรอเอาไว้ “นายท่านจะกลับเรือนนอน
Mga Comments