ทะลุมิติมาพบรักกับเมน

ทะลุมิติมาพบรักกับเมน

last updateLast Updated : 2025-09-29
By:  หนึ่งบุปผาUpdated just now
Language: Thai
goodnovel12goodnovel
Not enough ratings
14Chapters
23views
Read
Add to library

Share:  

Report
Overview
Catalog
SCAN CODE TO READ ON APP

แฟนคลับตายตามพระเอกแค่นี้ก็ว่าเว่อร์แล้ว ยังจะทะลุมิติมาเจอกันใหม่อีก พระเอกกลายเป็นเจ้าเมืองสุดหล่อ เธอกลายเป็นลูกสาวร้านซาลาเปาสุดเปิ่น ชาตินี้สวรรค์จะเปิดทางให้แฟนคลับอย่างเธอหรือไม่ ต้องรอลุ้นกันแล้ว

View More

Chapter 1

บทที่ 1 เชฟสาวมือหนึ่งของร้าน

         เสียงเคาะกระทะ เสียงฟู่จากเตาแก๊สและเสียงจัดเรียงจานชามต่าง ๆ ดังอึงอลไปทั้งครัว ร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองปักกิ่งยามนี้กำลังวุ่นวายอยู่กับการทำอาหารให้ทันกับจำนวนออร์เดอร์ที่ลูกค้าสั่งเข้ามา เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้คนออกมารับประทานอาหารเย็นกันพอดีร้านแห่งนี้จึงต้องเร่งมือทำอาหารออกมาเยอะเป็นพิเศษ

ร้านนี้ขายดีแบบนี้เสมอแต่เจ้าของร้านกลับขี้เหนียวจ้างเชฟมาเพียงแค่สองคนเท่านั้นแล้วก็มีลูกมืออีกสองสามคน ซูเฟยเป็นหัวหน้าเชฟที่นี่และเธอมักจะทำงานอยู่ที่ร้านจนเลยเวลาเพราะไม่อยากให้เพื่อนที่รับงานต่อจากเธอทำงานหนักเกินไป วันนี้ก็เช่นกัน แต่เมื่อออร์เดอร์เริ่มเบาบางแล้วเพื่อนของเธอก็บอกให้เธอกลับบ้าน

"พี่ซูเฟย เหลือออร์เดอร์ไม่เยอะแล้ว เดี๋ยวฉันทำเอง พี่กลับไปพักผ่อนเถอะ" เสียงของเสี่ยวปิงเชฟอีกคนตะโกนบอกซูเฟยในขณะที่เธอกำลังจะเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร

ซูเฟยรีบหยิบวัตถุดิบเตรียบใส่ใว้ในชามเพื่อที่จะให้เสี่ยวปิงที่มารับช่วงต่อทำงานได้อย่างสะดวกก่อนจะตะโกนกลับไป "ได้ ถ้างั้นฝากเธอด้วยนะ พี่จะกลับก่อนจะรีบไปกดบัตรละครเวทีของหยางจื้อเจ๋อ"

        "อะไรๆ ก็หยางจื้อเจ๋อ เป็นเพราะคลั่งหยางจื้อเจ๋อมากเกินไปหรือเปล่าพี่สาวของฉันเลยไม่ยอมมีแฟนกับเขาสักที" เสี่ยวปิงพูดแซว

        "ไม่รู้สิ ฉันก็อยากมีแฟนแบบหยางจื้อเจ๋อนะแต่ก็รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่อย่างน้อยขอให้มีบางอย่างใกล้เคียงกันสักหน่อยก็ดี" ซูเฟยตอบ

        "ไปเถอะ เดี๋ยวกดบัตรไม่ทันนะ" เสี่ยวปิงพูดแล้วก้มมองกระทะผัดอาหารต่อ

        "ฉันไปก่อนนะ เธอเองก็อย่ากลับดึกมากล่ะ" ซูเฟยบอกจากนั้นจึงมองดูความเรียบร้อยภายในครัวอีกครั้งแล้วค่อยเดินออกมา

        ซูเฟยเป็นหญิงสาววัยทำงานอายุสามสิบหกปี เป็นหัวหน้าเชฟของร้านอาหารแห่งนี้ เธอชื่นชอบการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ เข้าแข่งขันการทำอาหารคว้ารางวัลมาแล้วมากมาย หากจะพูดกันในวงการอาหารไม่มีใครไม่รู้จักเธอ เธอเป็นต้นตำรับของเมนูกุ้งมังกรดองบ๊วยและน้ำจิ้มสุดแซ่บที่รายการทำอาหารรายการหนึ่งถึงกับเอาเมนูนี้ไปเป็นโจทย์ให้ผู้เข้าแข่งขันทำตามเลยทีเดียว แต่ที่เธอเลือกที่จะมาทำงานในร้านอาหารที่ไม่ใหญ่นักก็เพราะว่าเธอไม่ชอบระบบเส้นสายที่วุ่นวายของภัตาคารใหญ่หรือว่าโรงแรมหรู การอยู่ร้านเล็ก ๆ ถึงแม้จะเงินเดือนน้อยแต่ก็สบายใจกว่า และที่สำคัญตอนนี้เธอทำให้ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นที่นิยมในเมืองปักกิ่งไปแล้ว

        เดิมทีเธอเป็นเด็กกำพร้า ตั้งแต่เด็กเธอก็มีชีวิตอยู่ในสถานสงเคราะห์แล้ว ตอนนั้นจำได้คร่าว ๆ ว่าตัวเองน่าจะอายุประมาณหกขวบอาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านบนชั้นห้าของตึกแห่งหนึ่ง แต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดไฟไหม้ตึกนั้น พ่อกับแม่ของเธออยู่ข้างในไม่สามารถหนีออกมาได้ ไฟลุกลามอย่างรวดเร็วซูเฟยได้แต่ยืนดูเหตุการณ์และร้องไห้อย่างโศกเศร้า โชคดีที่วันนั้นเธอลงมาเล่นกับเพื่อนที่ข้างล่างตึกก็เลยรอดตายมาได้

        หลังจากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่สถานสงเคราะห์ สถานสงเคราะห์ติดต่อญาติของเธอหลายครั้งแต่ว่าไม่มีใครสนใจที่จะมารับเธอไปดูแลเลย ทุกคนให้เหตุผลว่ายากจนไม่กำลังทรัพย์พอที่จะเลี้ยงหลานอีกคนได้ ดังนั้นซูเฟยจึงได้มีชีวิตอยู่ในสถานสงเคราะห์จนเรียนจบชั้นมัธยมปลาย

เมื่อจบชั้นมัธยมปลายแล้วก็สอบเกาเข่าได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในปักกิ่งสาขาที่เกี่ยวข้องกับด้านอาหาร ตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็เริ่มทำงานหาเงินและดูแลตัวเองมาตลอด ถึงแม้ว่าจะออกจากสถานสงเคราะห์มาแล้วแต่เธอก็ยังกลับไปเยี่ยมที่นั่นอยู่เป็นประจำ เอาเงินบางส่วนไปบริจาคให้เพราะคิดอยู่เสมอว่าหากไม่มีสถานสงเคราะห์ชีวิตของเธอก็คงไม่มีวันนี้

        ซูเฟยมีศิลปินที่ชื่นชอบอยู่คนหนึ่ง เขาชื่อหยางจื้อเจ๋อ อายุสามสิบสองปี เข้าวงการด้วยการเดบิ๊วต์เป็นนักร้องของวง wishing star แต่ตอนนี้ได้ผันตัวมาเป็นนักแสดงเต็มตัวแล้ว เธอชื่นชอบเขามากถึงขั้นเอาเขาเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตเลยทีเดียว ดังนั้นไม่ว่าเขาจะมีผลงานอะไรซูเฟยก็จะติดตามตลอด

        วันนี้เป็นวันเงินเดือนออก ซูเฟยตั้งใจจะเก็บส่วนหนึ่งไว้เพื่อซื้อบัตรละครเวทีเรื่องที่หยางจื้อเจ๋อแสดง ถึงแม้ว่าบัตรจะไม่ได้ราคาสูงมากแต่ว่าระดับความแข่งขันที่จะได้บัตรมานั้นยากเหลือเกิน เพราะยังมีแฟนคลับของหยางจื้อเจ๋ออีกมากมายที่ต้องการบัตรละครเวทีเรื่องนี้ สิ่งสำคัญก็คือต้องกดบัตรให้ได้

         เวลาที่เปิดให้กดบัตรคือเที่ยงคืนของวันนี้ดังนั้นจึงมีเวลาเหลืออยู่เพราะตอนนี้ก็เพิ่งจะสามทุ่มกว่า ซูเฟยจึงแวะร้านสะดวกซื้อนิดหน่อยเพื่อซื้อของเข้าบ้าน ปกติแล้วก็จะซื้อเดือนละครั้ง ด้วยความที่เป็นผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียวเลยไม่มีของมากเท่าไร ส่วนมากก็จะซื้อพวกอาหารแห้งกับของใช้ส่วนตัวไปเก็บไว้เท่านั้น ซื้อของเสร็จแล้วก็ไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านตามปกติ

เมื่อถึงห้องสิ่งแรกที่ทำก็คือเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้ตขึ้นมาจากนั้นก็เข้าเว็บไซต์สำหรับซื้อตั๋วละครเวทีไว้ แล้วค่อยไปจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะมานั่งรอกดบัตร

แต่ยังไม่ทันไปอาบน้ำเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน เป็นสายเข้าจากเสี่ยวปิงนั่นเอง

("ฮัลโหลเสี่ยวปิง มีอะไรเหรอ")

("พี่ซูเฟย วันนี้ฉันไปนอนห้องพี่ได้ไหมคะ ที่ห้องน้ำไม่ไหลเลยฉันสอบถามนิติบุคคลแล้วเขาบอกว่าระบบส่งน้ำมีปัญหา")

        ("ได้สิ ถ้ามาถึงแล้วโทรบอกนะพี่กำลังจะอาบน้ำเหมือนกัน")

        ("โอเคค่ะ ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้)

        วางสายแล้วซูเฟยก็เดินเข้าห้องน้ำไป เป็นเรื่องปกติที่เสี่ยวปิงมานอนห้องของเธอบ่อย ๆ เพราะว่าทั้งสองคนสนิทกันมาก เรียกได้ว่าสนิทเป็นพี่สาวกับน้องสาวกันเลย พวกเธอทำงานที่ร้านอาหารแห่งนี้ด้วยกันมาห้าปีแล้วโดยที่ซูเฟยเป็นคนคัดเลือกเสี่ยวปิงเข้ามาเอง เสี่ยงปิงเป็นเด็กดี ขยัน ตั้งใจทำงานแล้วก็เป็นคนที่ใจดีห่วงใยผู้อื่นด้วย จึงทำให้ซูเฟยเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ

        เวลาเกือบเที่ยงคืนเสี่ยวปิงก็มา เธอไม่ได้มามือเปล่าแต่ว่ายังมีเครื่องดื่มกับขนมติดไม้ติดมือมาด้วย

        "พี่ซูเฟย กินเบียร์กัน" เสี่ยวปิงบอกพลางยกถุงของที่ถืออยู่ขึ้นมาให้ซูเฟยดู

        "กินเบียร์เหรอ พี่ลืมไปเลยว่าวันนี้เงินเดือนออก ปกติแล้วพวกเราต้องฉลองกันนี่น่า" ซูเฟยพูด เธอลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริง ๆ เพราะใจของเธอมัวแต่จดจ่ออยู่กับการจะต้องกดบัตรละครเวทีให้ได้

        "ว่าแต่ถึงเวลากดบัตรแล้วไม่ใช่เหรอ รอพี่กดบัตรก่อนแล้วค่อยเปิดเบียร์ก็แล้วกัน" เสี่ยวปิงบอก เธอมานั่งกินขนมรอที่โซฟาแล้วปล่อยให้ซูเฟยนั่งใจจดใจจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้คต่อไป

"เย้! ได้แล้ว ได้โซนวีไอพีที่ด้านหน้าด้วย คราวนี้เขาจะต้องมองเห็นพี่แน่ ๆ" ซูเฟยพูดออกมาอย่างดีใจพลางทำหน้าตาตื่นเต้นไปทางเสี่ยวปิง

"ฉันดีใจกับพี่ด้วยนะ คราวนี้คงได้เห็นเขาใกล้ ๆ สักที พี่ก็อย่าลืมส่งยิ้มให้เขาด้วยล่ะ" เสี่ยวปิงบอก น้ำเสียงหยอกแซวเล็กน้อย

"เอาเถอะมากินเบียร์กัน ภารกิจสำเร็จแล้ว" ซูเฟยเดินไปในนั่งที่โซฟากับเสี่ยวปิงก่อนจะหยิบเบียร์ขวดหนึ่งมาเปิดฝาแล้วดื่มอึก ๆ กันอย่างสบายใจ

"ว่าแต่พี่ไม่คิดที่จะมีแฟนจริง ๆ เหรอ นี่ก็สามสิบหกแล้วนะ แก่แล้ว เดี๋ยวมดลูกใช้การไม่ได้ก่อน" เสี่ยงปิงพูด ถ้อยคำเหมือนจะหยอกล้อก็จริงแต่ว่าเธอกลับจริงจังมาก เพราะว่าในสังคนจีนแล้วผู้หญิงมักจะแต่งงานเร็วแค่ยี่สิบกว่าก็แต่งงานมีลูกมีครอบครัวกันแล้ว แต่พี่สาวคนนี้กลับเลยวัยมาตั้งนานถือว่าแก่แล้วเสียด้วยซ้ำ

"พูดอะไรของเธอ ผู้หญิงเราสมัยนี้ดูแลตัวเองได้กันหมดแล้ว ถ้าพี่ไม่เจอคนที่ชอบจริง ๆ พี่ก็ไม่มีแผนจะแต่งง่าย ๆ หรอก" ซูเฟยตอบ นี่คือทัศนคติของเธออย่างแท้จริง อาจจะเป็นเพราะเธอเองยืนหยัดด้วยตนเองมาตั้งแต่เด็ก สามารถต่อสู้กับความเหงาและความทุกข์มาได้โดยที่ไม่เคยพึ่งพาใคร ดังนั้นการจะมีแฟนหรือว่าไม่มีจึงไม่ใช่ปัญหา

"พี่ยึดติดกับสเป็คของตัวเองมากไปหรือเปล่า " เสี่ยงปิงพูดพร้อมถอนหายใจออกมาหนึ่งที

ซูเฟยส่งสายตาให้เสี่ยวปิงอย่างจริงจังก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่า "สำหรับพี่นะ พี่ไม่ได้คาดหวังอะไรจากการคนที่เป็นคนรักของพี่มากนักหรอก ขอเพียงแค่เข้ากันได้แล้วอยู่ด้วยกันอย่างสบายใจก็พอ แต่ว่าพี่ยังไม่เจอคนคนนั้นน่ะสิ"

"ฉันว่าพี่ไม่หามากกว่าน่ะสิ อย่างเถ้าแก่เจียงเจ้าของร้านก็มองพี่มาตั้งนานแล้ว ฉันดูออกนะ" เสี่ยวปิงพูด

ซูเฟยนิ่วหน้าพลางเปลี่ยนเรื่องคุย“พี่ว่าพวกเราเลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้วน่า กินเบียร์กันเถอะ"

สองสาวนั่งดื่มเบียร์ไปคุยกันไปเรื่อยจนเวลาล่วงเลยมาก็ดึกแล้ว จากนั้นจึงได้แยกย้ายกันนอน บ้านของซูเฟยมีสองห้องนอนพอดีก็เลยไม่ค่อยเบียดเสียดกันเท่าไร เธอเคยบอกให้เสี่ยวปิงย้ายมาอยู่กับเธอหลายครั้งแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเงินเช่าห้องแต่ว่าเสี่ยงปิงเองก็เกรงใจ ถึงแม้ว่าจะสนิทกันมากก็จริงแต่ก็คิดว่าสักวันหนึ่งไม่ใครคนดีคนหนึ่งก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง จะอยู่ตัวติดกันแบบนี้ตลอดไปคงไม่ได้หรอก

Expand
Next Chapter
Download

Latest chapter

More Chapters

Comments

No Comments
14 Chapters
บทที่ 1 เชฟสาวมือหนึ่งของร้าน
         เสียงเคาะกระทะ เสียงฟู่จากเตาแก๊สและเสียงจัดเรียงจานชามต่าง ๆ ดังอึงอลไปทั้งครัว ร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองปักกิ่งยามนี้กำลังวุ่นวายอยู่กับการทำอาหารให้ทันกับจำนวนออร์เดอร์ที่ลูกค้าสั่งเข้ามา เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้คนออกมารับประทานอาหารเย็นกันพอดีร้านแห่งนี้จึงต้องเร่งมือทำอาหารออกมาเยอะเป็นพิเศษร้านนี้ขายดีแบบนี้เสมอแต่เจ้าของร้านกลับขี้เหนียวจ้างเชฟมาเพียงแค่สองคนเท่านั้นแล้วก็มีลูกมืออีกสองสามคน ซูเฟยเป็นหัวหน้าเชฟที่นี่และเธอมักจะทำงานอยู่ที่ร้านจนเลยเวลาเพราะไม่อยากให้เพื่อนที่รับงานต่อจากเธอทำงานหนักเกินไป วันนี้ก็เช่นกัน แต่เมื่อออร์เดอร์เริ่มเบาบางแล้วเพื่อนของเธอก็บอกให้เธอกลับบ้าน"พี่ซูเฟย เหลือออร์เดอร์ไม่เยอะแล้ว เดี๋ยวฉันทำเอง พี่กลับไปพักผ่อนเถอะ" เสียงของเสี่ยวปิงเชฟอีกคนตะโกนบอกซูเฟยในขณะที่เธอกำลังจะเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารซูเฟยรีบหยิบวัตถุดิบเตรียบใส่ใว้ในชามเพื่อที่จะให้เสี่ยวปิงที่มารับช่วงต่อทำงานได้อย่างสะดวกก่อนจะตะโกนกลับไป "ได้ ถ้างั้นฝากเธอด้วยนะ พี่จะกลับก่อนจะรีบไป
last updateLast Updated : 2025-09-03
Read more
บทที่ 2 ละครเวที
หนึ่งเดือนต่อมาในวันนี้มีการแสดงละครเวทีของหยางจื้อเจ๋อ ซูเฟยตื่นแต่เช้าด้วยความตื่นเต้น ละครเวทีจะเริ่มแสดงตอนเก้าโมงเช้าและแสดงยาวแปดชั่วโมงจบอีกทีก็ห้าโมงเย็น วันนี้ซูเฟยจึงตั้งใจแต่งตัวและแต่งหน้าทำผมเป็นพิเศษเพื่อให้ตัวเองดูสวยที่สุดเผื่อว่าหยางจื้อเจ๋อจะมองลงมาจากเวทีแล้วเห็นเธอบ้าง        อากาศเช้านี้สดใสยิ่งจึงทำให้หญิงสาวดูสดชื่น ซูเฟยคิดว่าคงเป็นเพราะวันที่เป็นวันดีของเธอท้องฟ้าก็เลยปลอดโปร่งทั้ง ๆ ที่เป็นฤดูฝนเพื่อให้เธอเดินทางไปดูละครเวทีได้อย่างสะดวกชุดที่เลือกใส่วันนี้เป็นเสื้อเชิ๊ตสีชมพูกับกางเกงยีนส์ตัวเท่ห์และเลือกที่จะปล่อยผมยาวสลวยแต่งหน้าอ่อน ๆ ตามแบบฉบับของสาวมั่นแต่ก็ซ่อนความหวานไว้เล็กน้อย เป็นเพราะสาวในสเป็คที่หยางจื้อเจ๋อเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการนั้นมีลักษณะประมาณนี้ ปากก็บอกว่าไม่ได้คาดหวังอะไรจากการเป็นแฟนคลับของเขาแต่สุดท้ายแล้วก็พยายามทำทุกอย่างเผื่อว่าเขาจะมองมาอยู่ดี              "
last updateLast Updated : 2025-09-04
Read more
บทที่ 3 การจากไปของไอดอล
หลังจากจบการแสดงเหล่านักแสดงก็ลงจากเวที พวกเขาจำเป็นต้องออกจากพื้นที่โรงละครก่อนที่ผู้คนที่มาชมการแสดงจะหลั่งไหลกันออกมา ดังนั้นนักแสดงทุกคนจึงต้องออกทางประตูหลัง        เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อจบการแสดงแล้วทั้งเหล่านักแสดงและทีมงานก็จะมีงานเลี้ยงเล็ก ๆ เพื่อเป็นการขอบคุณของผู้จัดและฉลองในความสำเร็จ เป็นที่แน่นอนว่าหยางจื้อเจ๋อเองก็ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย จะขาดเขาไปได้ยังไงในเมื่อเขาเป็นนักแสดงนำที่มีบทบาทสำคัญ        งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากโรงละครมากนัก บรรยากาศของงานเลี้ยงเป็นไปอย่างสนุกสนาน งานนี้ทุกคนต่างก็กินดื่มกันอย่างเต็มที่ยกเว้นก็แต่หยางจื้อเจ๋อที่จิบไวน์พอเป็นพิธีเพราะพรุ่งนี้ต้องบินแต่เช้าเพื่อไปถ่ายทำซีรี่ย์ที่เหิงเตี้ยนต่อ        หยางจื้อเจ๋อเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของจีน ตอนนี้อายุสามสิบสองปีแล้ว หากจะเทียบดาราคนอื่นที่อายุน้อยกว่
last updateLast Updated : 2025-09-05
Read more
บทที่ 4 ข่าวร้าย
ที่โรงละครผู้คนก็ยังเนืองแน่นกันอยู่เพราะการทยอยออกจากโรงละครนั้นต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง ระหว่างที่รอเดินออกไปนั้นพวกเขาต่างก็พากันกล่าวถึงละครเวทีเรื่องนี้กันอย่างออกรส บ้างก็กล่าวชื่นชมว่าทีมผู้จัดสามารถรังสรรค์ละครเวทีในครั้งนี้ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม บ้างก็ว่านักแสดงที่มาแสดงละครเวทีในครั้งนี้มีแต่นักแสดงที่มีคุณภาพทำให้ละครเวทีเรื่องนี้ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ ซูเฟยเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน        ซูเฟยนั่งอยู่โซนที่ติดกับเวทีมากที่สุดซึ่งค่อนข้างไกลจากทางออกจึงไม่ได้รีบร้อนเท่าไร เธอยังคงนั่งรอให้คนอื่นออกไปให้หมดก่อนจากนั้นจึงค่อยออกไปเป็นคนสุดท้าย ระหว่างที่นั่งรอก็นั่งมองรูปของหยางจื้อในโทรศัพท์มือถือไปด้วย ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกชื่นชม ยิ่งรักเขามากขึ้นเรื่อย ๆ        ออกมาโรงละครมาซูเฟยก็มานั่งทานอาหารที่ร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่ง จนถึงเวลาดึกแล้วจึงได้เรียกแท็กซี่กลับบ้าน ไกลจากร้านอาหารพอสมควรก็พบเห็นว่าข้างทางมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น มีซากรถตู้สีดำคั
last updateLast Updated : 2025-09-06
Read more
บทที่ 5 ร้านขายซาลาเปา
         แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านช่องว่างระหว่างหน้าต่าง แสงที่แยงเข้ามานั้นกระทบเปลือกตาของซูเฟยจนถึงกับทำให้เธอต้องลืมตาตื่นขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่ตอนไหน รู้แต่ว่าภาพในตาที่มืดมัวมาบัดนี้สว่างขึ้น หรือว่าจะเป็นเช้าวันใหม่ที่ต้องตื่นไปทำงานแล้ว เถ้าแก่ที่ร้านคงต้องรอก่นด่าเธออยู่เป็นแน่ที่ไปทำงานสายถึงขนาดนี้        เสียงเอะอะโวยวายดังมาอยู่ไม่ไกล ฟังแล้วก็เหมือนกับว่าเป็นเสียงคนหลายคนกำลังซื้ออะไรบางอย่าง เพราะว่าซูเฟยได้ยินคำว่า "เท่าไร" ดังขึ้นมาด้วย ซึ่งถ้าเป็นที่บ้านของเธอต้องไม่มีทางที่จะมีเสียงคนมากมายอย่างนี้เป็นแน่        "เถ้าแก่ข้าเอาซาลาเปาสิบลูก" เสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนสั่งซาลาเปาดังมาแว่ว ๆ        "ได้ ๆ รอสักครู่ ชุดนี้กำลังนึ่งใหม่ ๆ ร้อน ๆ เดี๋ย
last updateLast Updated : 2025-09-07
Read more
บทที่ 6 ฟางหนิงฮวาคนใหม่
         นับแต่นี้ต่อไปซูเฟยคงต้องปรับตัวเสียใหม่ การมาอยู่ในร่างของฟางหนิงฮวานี้ทำให้นางต้องเปลี่ยนจากหญิงสาววัยทำงานมาเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่นก็ออกจะรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงแปลกทั้งหมดเสียทีเดียวเพราะในชีวิตที่ผ่านมานั้นก็เคยผ่านช่วงของความเป็นวัยรุ่นมาแล้ว เพียงแต่ว่าวัยรุ่นของยุคนี้กับยุคนั้นก็คงจะไม่เหมือนกันฟางหนิงฮวาคนใหม่ก้าวเดินลงบันไดไปอย่างไม่รีบร้อนนักเพราะห้องชั้นบนกับร้านขายซาลาเปาที่ชั้นล่างก็ไม่ได้ไกลกัน แต่เมื่อมาถึงชั้นล่างแล้วสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ถึงกับทำให้ฟางหนิงฮวาต้องอ้าปากค้าง ผู้คนที่มาต่อคิวซื้อซาลาเปาที่ร้านของนางนั้นยาวเหยียดราวกับผู้คนที่ไปต่อคิวซื้อสมาร์ทโฟนยี่ห้อดังในห้างสรรพสินค้าเลยก็ว่าได้ ไม่เพียงแต่ร้านซาลาเปาของนาง ร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งไม่รู้ว่าขายอะไรก็ขายดีเช่นกัน จะว่าไปแล้วก็ไม่คิดว่าในเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองถู่หยางจะมีการค้าขายที่รุ่งเรืองเช่นนี้        "หนิงฮวา…มัวยืนทำอะไรอยู่ มา
last updateLast Updated : 2025-09-08
Read more
บทที่ 7 เด็กส่งซาลาเปา
คว้าเอากล่องซาลาเปาได้แล้วฟางหนิงฮวาก็ออกจากบ้าน ที่แรกที่ต้องไปก็คือสถานศึกษาเพราะว่าใกล้กลับร้านซาลาเปามากที่สุด จากร้านของนางเดินไปยังสถานศึกษาใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ ไปถึงแล้วก็ส่งซาลาเปาให้กับลูกมือในครัว ส่วนค่าซาลาเปานั้นนางต้องไปเก็บเอากับอาจารย์ผู้ทำหน้าที่ดูแลบัญชีของสถานศึกษา        "เข้ามาสิ เจ้ามาเก็บค่าอะไรกัน" อาจารย์ผู้ดูแลบัญชีเอ่ยถาม เนื่องจากไม่เคยเห็นหน้าฟางหนิงฮวามาก่อน ปกติแล้วจะเป็นอารองของนางที่ทำหน้าที่นี้        "ข้ามาเก็บค่าซาลาเปาเจ้าค่ะ" ฟางหนิงฮวาตอบอย่าร่าเริง        "ที่ร้านซาลาเปาเปลี่ยนคนส่งของอย่างนั้นหรือ" อาจารย์ผู้นั้นถามอย่างแปลกใจหญิงสาวตอบกลับด้วยเสียงสดใส "ไม่ได้เปลี่ยนหรอกเจ้าค่ะ พอดีว่าท่านอาของข้ากลับบ้านกะทันหันข้าก็เลยต้องมาส่งแทนชั่วคราว" 
last updateLast Updated : 2025-09-09
Read more
บทที่ 8 แฟนคลับยุคโบราณ
ที่ด้านนอกของจวนเจ้าเมืองมีหญิงสาวราวสิบกว่าคนยืนออกันอยู่ บางคนก็ถือกล่องใส่อาหาร บางคนถือห่อยา บางคนถือของขวัญอย่างอื่นมามากมาย ตรงนั้นค่อนข้างวุ่นวายจนองครักษ์สองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูแทบจะกันเอาไว้ไม่อยู่ ในที่สุดบ่าวรับใช้ในจวนคนหนึ่งที่เฝ้าหน้าประตูเรือนนอนของท่านเจ้าเมืองต้องออกไปช่วยยุติความวุ่นวายด้วย ฟางหนิงฮวามองออกไปก็พอจะดูออกว่าหญิงสาวเหล่านี้น่าจะมาถามข่าวเรื่องการบาดเจ็บของท่านเจ้าเมือง เสียงหญิงสาวเหล่านั้นแย่งกันพูดดังมาแต่ไกลข่าวเรื่องที่เจ้าเมืองได้รับบาดเจ็บนั้นโด่งดังไปทั่วเมืองถู่หยางได้สามวันแล้วนับตั้งแต่วันที่เขากลับมาจากการไปปราบโจรภูเขา จะมีก็แต่ฟางหนิงฮวานี่แหละที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพราะใช้ชีวิตอยู่แต่ในร้านตลอด อีกทั้งบิดามารดาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ให้ได้ยินด้วย        การพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงท่านเจ้าเมืองกับเหล่าทหารเท่านั้นที่บาดเจ็บ แต่กลับทำให้หัวใจของคนทั่วทั้งเมืองถู่หยางเจ็บปวดไปด้วย เพราะเจ้าเมืองเป็นเหมือนเสาหลักของเมืองนี้ทั้งยังเป็นขุนนางที่มีคุณธรรม
last updateLast Updated : 2025-09-10
Read more
บทที่ 9 ว่าที่คู่หมั้น อะไรกันเนี่ย
         เมื่อทำหน้าที่ของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วฟางหนิงฮวาก็กลับมาที่ร้านอย่างสบายใจ หลังจากนั้นจึงทำหน้าที่ปั้นแป้งซาลาเปาต่อ ร้านนี้ไม่ได้ขายดีเพียงแค่ช่วงเช้าหรือว่าช่วงที่ผู้คนพักกินข้าวกันเท่านั้นแต่ทว่าขายดีทั้งวัน เพราะเมืองถู่หยางนั้นมีผู้คนมากมาย แต่ละคนทำงานไม่เหมือนกันเวลาพักกินข้าวบางครั้งก็ไม่ตรงกัน ดังนั้นซาลาของร้านสกุลฟางจึงขายได้ทั้งวัน        ที่ร้านไม่ได้มีเพียงแค่ซาลาเปาอย่างเดียวยังมีหมั่นโถวขายด้วย        ฟางหนิงฮวาไม่คิดว่าสวรรค์จะเข้าข้างตนเองถึงเพียงนี้ ชาติที่แล้วได้ทำงานที่ตัวเองรักนั่นก็คือการเป็นเชฟ พอตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ยังได้เกิดเป็นบุตรสาวร้านขายซาลาเปาอีก ช่างมีความสุขจริง ๆ นางคิดเล่น ๆ ว่าในภายภาคหน้าหากคุ้นเคยกับเมืองนี้และรู้เรื่องลู่ทางการทำมาหากินแล้วก็อยากจะขยายร้านซาลาเปาให้เป็นร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดในเมืองถู่หยางพูดถึงร้านอาหารแล้วที่เมือ
last updateLast Updated : 2025-09-11
Read more
บทที่ 10 คำสั่งเสียจากวีรบุรุษ
ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หยางจื้อเจ๋อที่ประสบอุบัติเหตุรถเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทาง เขาเสียชีวิตบนรถฉุกเฉินระหว่างที่นำตัวส่งโรงพยาบาล วิญญาณของเขาออกจากร่างแล้วนั่งมองตนเองนอนอยู่ในรถอย่างสิ้นหวัง        เขาเพิ่งอายุเพียงแค่สามสิบต้น ๆ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นและใกล้ถึงจุดที่เรียกว่าประสบความสำเร็จในชีวิต อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะถอนตัวจากเบื้องหน้าแล้วมาทำเบื้องหลังเป็นผู้กำกับอย่างเต็มตัว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดสวรรค์ถึงไม่ให้เขามีโอกาสนั้น        พยาบาลที่อยู่ในรถฉุกเฉินต่างก็พยายามช่วยชีวิตเขาอย่างเต็มที่ แต่ในที่สุดก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเสียงของเครื่องวัดสัญญาณชีพในรถพยาบาลดังยาวเป็นสัญญาณบอกว่าผู้ป่วยได้หมดลมหายใจ        เมื่อร่างของเขาถึงที่โรงพยาบาลได้ไม่นาน พ่อกับแม่ของเขาก็บินตรงมาจากต่างเมืองเพื่อมาดูอาการของลูกชาย พวกเขามีลูกชายเพียงคนเดียวและคาดหวังว่าเขาผู้นี้จะเป็นผู้สืบท
last updateLast Updated : 2025-09-12
Read more
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status