แม่นมสวียกมือกุมหน้า ใบหน้าปรากฏสีขาวสลับแดง แล้วเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ในใจทั้งอับอายและโกรธแค้นยิ่งนักในจวนโหวตลอดหลายปีมานี้ นางไม่เคยถูกใครหยามถึงเพียงนี้มาก่อน!นางดูถูกชีหยวนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!เด็กไร้มารยาทขาดการอบรมจากบ้านนอกคนนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชีจิ่นที่นางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กถูกเบียดจนแทบไร้ที่ยืน แม้แต่ชีอวิ๋นถิงก็ยังถูกกดดันจนเกือบต้องกลับบ้านเกิดไปนางมีสิทธิ์อะไร?นางเป็นคนสนิทของนางหวัง นางหวังเป็นฮูหยินผู้ดูแลจวนโหว นางก็เป็นคนดูแลใหญ่โดยชอบธรรม!แต่เพราะการปรากฏตัวของคนนอกคอกอย่างชีหยวน นางเกือบต้องตามนางหวังกลับไปอยู่บ้านเกิด ปลีกวิเวกกินเจสวดมนต์!ทุกอย่างเป็นเพราะชีหยวน!ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด!ดังนั้น หลังจากที่ถูกตบ นางก็พุ่งเข้าหานางหวังพร้อมน้ำตานองหน้า “ฮูหยิน! บ่าว บ่าวไม่มีหน้าจะอยู่ต่อไปแล้วเจ้าค่ะ!”พูดจบ นางก็ทำท่าจะพุ่งกระแทกกำแพงนางหวังตกใจแทบสิ้นสติ รีบฟาดมือลงบนโต๊ะ “ชีหยวน เจ้าคนอกตัญญู! เจ้าเริ่มเหลิงใหญ่แล้ว เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? แม้แต่หมาแมวในเรือนของญาติผู้ใหญ่ พวกลูกหลานยังต้องให้ความเคารพ แล้วนางเป็นถึงแม่นมของข้
สองข้างแก้มของแม่นมสวีปวดร้าวรุนแรง ชั่วพริบตานั้น แม่นมสวีเจ็บจนรู้สึกเหมือนหูแทบจะมีควันพวยพุ่งออกมานางมองชีหยวนด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความหวาดกลัวนางคนบ้าผู้นี้!นี่มันคนปกติที่ไหนกัน?!ชีหยวนค้อมกายลง สบตากับแม่นมสวีอย่างเชื่องช้า ก่อนจะใช้มือดันคางของนางกลับเข้าที่อีกครั้ง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางเอ่ย “แม่นมสวี คิดให้ดีแล้วค่อยพูด เพราะข้าเองก็ไม่อาจควบคุมแรงได้ทุกครั้ง ถ้ายังไม่พูดความจริง บางทีอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกต่อไป”แม่นมสวีแทบสิ้นสตินางพบเจอผู้คนมามากมายจะใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือพูดใส่ไฟแบบใด ต่างก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแต่ไม่เคยเจอใครที่ไร้เหตุผลขนาดนี้เช่นชีหยวน!นางหวังโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง “ในสายตาของเจ้ายังมีแม่คนนี้อยู่หรือไม่?! เจ้าเห็นที่นี่เป็นอะไรกันแน่?!”ชีหยวนคร้านจะหันไปมองนางหวังนางเพียงตบหน้าแม่นมสวีเบา ๆ “แม่นมสวี ความอดทนข้ามีจำกัด หนึ่ง สอง...”ยังไม่ทันนับถึงสาม แม่นมสวีก็ทนไม่ไหว “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว! ข้าสั่งให้บ่าวที่มีหน้าที่เก็บสิ่งปฏิกูลในจวน เอาสุนัขไปส่งที่ร้านขายเนื้อสุนัขแล้วเจ้าค่ะ!”ชีหยวนปล่อยแม่นมสวีล้มลงไปกองกับพื้น หันไปมองห
การที่ต้องเห็นแม่นมที่ไว้วางใจที่สุดตายลงต่อหน้าต่อตา สำหรับนางหวังแล้ว ความรู้สึกนั้นไม่ต่างจากสายฟ้าฟาดกลางวันแสก ๆนางเองก็เคยสั่งเฆี่ยนตีบ่าว หรือไม่ก็ส่งไปอยู่เรือนห่างไกลให้เผชิญชะตากรรมเอาเองแต่การลงมือฆ่าคนนั้น นางไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยจริง ๆที่สำคัญ ชีหยวนยังหักคอแม่นมสวีต่อหน้านาง ภาพเหตุการณ์เช่นนี้แทบทำให้ผู้คนเสียสติ!นางหวังร้องไห้คร่ำครวญ ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งพลางชี้นิ้วไปที่ชีหยวน “พวกท่านตามใจนางเกินไป สุดท้ายก็ตามใจจนเป็นฆาตกร! นางเพิ่งอายุสิบห้าปีก็กล้าฆ่าคนแล้ว!”ชีหยวนยังคงยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้าราวกับว่าการถูกมารดาชี้หน้ากล่าวหาว่าเป็นฆาตกร สำหรับนางแล้ว เป็นเรื่องเล็กน้อยเสียจนไม่แม้แต่จะทำให้คิ้วของนางขมวดเมื่อเทียบกับท่าทีของนางหวังที่แทบจะเป็นบ้า ไม่ว่าจะท่านโหวผู้เฒ่าชีหรือฮูหยินผู้เฒ่าชีต่างก็สงบนิ่งกว่ามากโดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่า นางรีบก้าวไปยืนขวางหน้าชีหยวน แล้วขมวดคิ้วมองนางหวัง ก่อนจะกล่าวตำหนิ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? ฆาตกรที่ไหนกัน เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”......ร่างของแม่นมสวีนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ดวงตา
แม่นมสวีจัดการกับอาหวง ก็เพื่อเป็นการตบหน้าชีหยวนจริง ๆแต่ท่านโหวผู้เฒ่าชีและฮูหยินผู้เฒ่าชีกลับไร้ความรู้สึกต่อการตายของแม่นมสวี ซ้ำยังโบ้ยความผิดกลับมาอีก แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้านางที่เป็นนายหญิงของจวนหรอกหรือ?!นางลุกขึ้นยืน ไม่สนใจว่าฮูหยินผู้เฒ่าชีจะยืนบังชีหยวนไว้ ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวจนมายืนตรงหน้าชีหยวน จ้องชีหยวนเขม็งแล้วเอ่ยถามเน้นย้ำทีละคำ “นี่คือท่าทีของเจ้าหรือ? ต่อให้ข้าที่เป็นแม่แท้ ๆ ของเจ้าคิดจะจัดการเจ้า เจ้าก็กล้าฆ่าข้าด้วยอย่างนั้นหรือ?”นี่มันคำพูดอะไรกัน?ท่านโหวผู้เฒ่าชีตวาดลั่น “นางหวัง เจ้าสติเลอะเลือนไปแล้วหรือ?!”ถามเช่นนี้ออกมา จะให้ชีหยวนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร?!แต่ชีหยวนกลับไม่หวาดหวั่นมารดาของนางได้ตายไปตั้งแต่ชาติที่แล้วชาติที่แล้ว นางถูกชีอวิ๋นถิงกระทืบจนขาหักแล้วโยนทิ้งกลางถนน นางหวังที่เป็นนายหญิงของจวนจะไม่รู้หรือ?ต่อมาก็ถูกส่งตัวไปยังหอนางโลม เกือบถูกขายให้แก่ชายแก่เพื่อรับแขก นางหวังจะไม่รู้หรือ?จนกระทั่งสุดท้าย เมื่อนางถูกโยนไปยังสุสานไร้ญาติ นางหวังรับรู้ทุกอย่างนางหวังรู้เรื่องทั้งหมด แต่ยังเลือกที่จะดูอยู่เฉย ๆ อย่างเลื
เมื่อวานนางยังดี ๆ อยู่เลย ยังให้เงินเขาไป พร้อมกำชับให้เขาพยายามให้มากขึ้น และอย่าไปหาเรื่องชีหยวนให้มากความยิ่งไปกว่านั้น อาจิ่นยังอยากกินขนมที่แม่นมสวีทำอยู่เลยแล้วทำไมนางถึงตายไปกะทันหันแบบนี้?นางหวังราวกับจิตวิญญาณหลุดลอยไป นางมองลูกชายอย่างตั้งใจหนึ่งครั้ง พลันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วร้องไห้อีกครั้งนางสะอื้นพลางพูด “เป็นชีหยวน!”ชีหยวนอีกแล้วหรือ!?ชีอวิ๋นถิงเบิกตากว้าง ทันใดนั้นสีหน้าก็มืดครึ้มลง “นางคนนอกคอกนั้นอีกแล้ว! ข้ารู้แล้วว่าแค่มีนางอยู่ ในจวนจะต้องเกิดเรื่องแน่!”ตั้งแต่นางกลับมา จวนนี้ก็ไม่เคยมีวันสงบสุข มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวันเขาลุกพรวดขึ้น “เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่? แม่นมสวีไม่ได้ทำอะไรให้นางขุ่นเคือง แล้วนางจะฆ่าแม่นมสวีทำไม?”นางหวังเล่าเรื่องที่แม่นมสวีคิดจะฆ่าสุนัขของชีหยวนชีอวิ๋นถิงแค่นหัวเราะ “ไร้สาระ! ช่างไร้สาระจริง ๆ เพียงเพื่อสุนัขตัวเดียว นางก็ฆ่าคนงั้นหรือ?!”เขาอดไม่ไหว คิดจะพุ่งตัวออกไปทันทีแต่ขยับตัวไปแล้วกลับชะงักหยุดลงเองเพราะภาพที่ชีหยวนยัดถ้วยชาเข้าปากเขา จนทำให้เขาฟันหักไปหลายซี่ยังคงติดตาตอนนี้แค่คิดถึงเรื่องนั
หลิวจงตกใจจนรีบโบกมือปฏิเสธเงินก้อนนี้ร้อนมือเกินไป!ชีหยวนยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองเขาหลิวจง “ทำไม หรือว่าพ่อบ้านหลิวคิดว่าให้น้อยไป?”......หลิวจงคว้าซองแดงไปถือไว้อย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าฟ้าแลบ ก่อนจะรีบกล่าวขอบคุณชีหยวนอย่างคล่องแคล่วชีหยวนเพียงยิ้มบาง ๆ “นี่เป็นสิ่งที่พ่อบ้านหลิวสมควรได้รับ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ”หลิวจงรีบถือซองเงินแล้วขอตัวออกไปทันที พอพ้นประตู ก็เผลอชั่งน้ำหนักซองแดงในมือโดยไม่รู้ตัวมันเบาหวิวเขาเปิดดูข้างใน ก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างตั๋วเงินห้าสิบตำลึง!คุณหนูใหญ่ของเขาแม้จะโหดไปบ้าง แต่ก็ใจกว้างยิ่งนัก!แต่ว่าเขาเข้าใจผิดไปเองแล้วชีหยวนเพียงแค่แบ่งเงินรางวัลสองร้อยตำลึงที่ตั้งไว้สำหรับตามหาสุนัขออกมาให้หลิวจงหนึ่งในสี่ส่วนและอีกหนึ่งในสี่ก็แบ่งให้ซุ่นจื่อชีหยวนยิ้มให้ซุ่นจื่อก่อนพยักหน้าเบา ๆ “เจ้าทำงานได้ดีมาก”ซุ่นจื่อหัวเราะแหะ ๆ พร้อมกับเกาหัว “บ่าวคนนั้นอยู่ห้องติดกับข้า พวกเราโตมาด้วยกัน ข้ารู้จักนิสัยของเขาดี! คุณหนูใหญ่ โชคดีที่พวกเราไปทันเวลา ไม่อย่างนั้นอาหวงคงถูกเชือดไปแล้วขอรับ”ตอนที่ไปถึงอาหวงถูกมัดไว้กับขาโต๊ะข้างเขียงแล้วห
ชีจิ่นร่ำไห่ดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน ร้องไห้จนใครเห็นก็ต้องสงสารจับใจสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ มีท่าทีลังเล ไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ทว่าชีจิ่นไม่เคยสงสัยในเสน่ห์ของตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่นางจะพลาดเรื่องรับมือกับชีอวิ๋นถิง สิ่งใดที่นางต้องการให้ชีอวิ๋นถิงทำ ชีอวิ๋นถิงก็จะทำเสมอเช่นเดียวกับตอนนี้ นางสั่งให้สาวใช้รีบไปเก็บของ ต้องการจะออกจากเมืองหลวง ชีอวิ๋นถิงก็ลนลานขึ้นมาทันที จับข้อมือของชีจิ่นไว้แน่น: “อาจิ่น เจ้าออกไปจากที่นี่แล้วจะไปที่ไหนได้?! เจ้าเห็นหรือไม่ว่าหลังจากที่เจ้าออกจากบ้านไปแล้วเจ้าต้องใช้ชีวิตเช่นไร?"เขาเจ็บปวดใจนัก “นางก็เป็นแค่หนูสกปรกในท่อระบายน้ำ จะมาเทียบกับเจ้าได้อย่างไร?”น้ำตาของชีจิ่นไหลลงมาหนักยิ่งขึ้น: “ท่านพี่! จนป่านนี้แล้ว ท่านยังจะใช้คำพูดเช่นนี้มาหลอกข้าอีกหรือ? นางฆ่าแม่นมสวี แต่ท่านปู่ท่านย่ากลับบิดเบือนความจริง แถมยังตำหนิท่านแม่เพราะนาง! ท่านลองคิดดูเถิด นางเป็นเพียงหนูสกปรกในท่อจริงหรือ?”ใบหน้าของชีอวิ๋นถิงมืดมนเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่เขาจำความได้ ท่านปู่ท่านย่าไม่เคยตามใจลูกหลานคนไหนเช่นนี้มาก่อนยกเว้นชีหยวนคนเ
ชีอวิ๋นถิงหัวเราะเยาะอย่างไม่แยแส: “ข้าเป็นบุตรชายคนโตและหลานชายสายตรง! อีกอย่าง เมื่อนางตายไป ทุกคนในจวนย่อมรู้ว่าควรเลือกใคร”ต่อให้รักมากเพียงใด คนตายก็คือคนตาย หรือจะต้องฆ่าหลานชายอีกคนเพียงเพราะหลานสาวคนเดียว?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีนี้เป็นไปได้หัวใจของชีอวิ๋นถิงร้อนระอุ: “อาจิ่น เราฆ่านางเถอะ! ขอเพียงฆ่านาง ทุกปัญหาก็จะคลี่คลาย เมื่อนางตาย ข้าก็ยังเป็นคุณชายใหญ่เหมือนเดิม ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมท่านแม่อีกครั้ง ตอนนี้ท่านแม่เกลียดชังนางยิ่งขึ้นเพราะการตายของแม่นมสวี่…...”ชีจิ่นละล่ำละลักไม่อาจตัดสินใจได้: “ท่านพี่ จะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ?”ชีอวิ๋นถิงถึงกับเงียบไปหลายวันอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับการตายของแม่นมสวี่เป็นเพียงก้อนหินที่โยนลงทะเลสาบกว้างใหญ่ กระทั่งระลอกคลื่นก็ยังไม่เกิดไป๋จื่อยืนอยู่ใต้เฉลียง มองชีหยวนเล่นกับอาหวง แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกไม่สบายใจเลยสิ่งที่กลัวก็ดันเกิดขึ้นจริง สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนวิ่งเข้ามารายงานอย่างตื่นตระหนก: “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณชายใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ!”คุณชายใหญ่สามคำนี้เปรียบเสมือนยันต์อาญาแห่งความตาย คนในหอหมิงเยว่เมื่อได้ยินชื่อชีอ
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ