นางนั่งรับลมอยู่ข้างหน้าต่าง รู้สึกปวดศีรษะและก็รู้สึกวิตกกังวลไปพร้อมกัน เหตุใดข่าวความเคลื่อนไหวยังมาไม่ถึงอีก? ชินอ๋องหวยเหลียงคงมิได้ถึงขั้นหมดสิ้นปัญญาจะรับมือกับสตรีเพียงนางเดียวได้กระมัง? ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน ขันทีหลัวก็มาถึงเสียที เมื่อเข้าประตูมาก็ส่งเสียงอุทานออกมาทันที ก่อนจะรีบหันไปตำหนินางกำนัลเอย่างร้อนรน “พวกเจ้าตายกันหมดแล้วหรือ?! ให้องค์หญิงปล่อยผมสยายตากลมเย็นเช่นนี้ใช่ได้ที่ไหน พวกเจ้าไม่รู้จักห้ามปรามบ้างหรือ?!” ทันใดนั้นบรรดานางกำนัลต่างคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกัน องค์หญิงเป่าหรงกลับโบกมืออย่างหงุดหงิด “ไสหัวออกไปให้หมด!” บรรดานางกำนัลต่างรู้สึกราวกับได้รับอภัยโทษ รีบร้อนล่าถอยออกไปทันที ให้พื้นที่พวกเขาสองคนได้สนทนา ขันทีหลัวก็หยิบผ้าแห้งมาจากด้านข้างจากนั้นก็จัดการเช็ดผมให้องค์หญิงเป่าหรง องค์หญิงเป่าหรงถามด้วยเสียงเข้ม “ยังไม่มีข่าวส่งกลับมาอีกหรือ?” รู้ว่านางถามถึงอะไร ขันทีหลัวก็อธิบายด้วยเสียงที่เบาลง “ทูลองค์หญิง ทุกพื้นที่ล้วนมีแต่พวกสตรี มิหนำซ้ำบริเวณเชิงเขาก็ถูกปิดล้อม ถึงจะอยากสังหารชีหยวน ก็ต้องให้นางเดินทางพ้นประตูอารามลงเขาไปก่อนพ่ะย
แม้จะถึงช่วงปลายปีแล้ว แต่สภาพอากาศยังคงหนาวจัดเช่นเดิม ชีหยวนวิ่งผ่านทางลัดมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ยามเฝ้าของที่แห่งนี้ได้รับคำสั่งจากไล่เฉิงหลงมาก่อนแล้ว ย่อมแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นนาง พอวิ่งมาได้ช่วงสั้น ๆ กระทั่งถึงตีนเขาแล้ว ก็ไม่สามารถควบอาชาต่อได้อีกแล้ว นางสละอาชาทิ้งไป เพราะรู้ดีว่าอาชาศึกขององครักษ์เสื้อแพรล้วนแต่ได้รับการฝึกมาอย่างดี นางปล่อยไปตอนนี้ อาชาตัวนี้ก็สามารถหาทางกลับไปหาเจ้านายของมันเองได้ และจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่นใดตามมา หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น นางก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พระจันทร์ลอยสูงอยู่กลางอากาศแล้ว มองจากที่ไกล ๆ หน้าผาแห่งนี้ชัดเจนว่าเป็นแค่เนินลาดเล็ก ๆ เท่านั้น จนกระทั่งได้มายืนอยู่เบื้องหน้าจริง ๆ เพิ่งจะสังเกตเห็นความเล็กจ้อยของตนเอง องครักษ์ที่เฝ้าบริเวณนี้มีอยู่เบาบางที่สุดและนั่นก็มีเหตุผล อากาศหนาวเหน็บเพียงนี้ ต่อให้เป็นลิงปีนขึ้นไป ก็เสี่ยงจะพลัดตกลงไปในร่องน้ำกลางหุบเหวเช่นกัน ราวกับว่าเป็นการเตือนชีหยวน เศษหินก้อนหนึ่งก็ร่วงตกลงไปในหุบเหว กระแทกกับธารน้ำแข็งจนเกิดเป็นโพรง ชีหยวนอาศัยแสงจันทร์มองลงไป ก็เห็นกระแสน้ำเชี่ยวกร
ชินอ๋องหวยเหลียงสะดุ้งด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่านางก็มีเกาทัณฑ์แขนเสื้อเหมือนกัน เขารีบยกดาบขึ้นมาป้องกันอย่างร้อนรน แต่ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบแล้วว่า ต่อให้สตรีผู้นี้ไม่ใช้เกาทัณฑ์แขนเสื้อ ลำพังแค่กระบี่อ่อนเล่มเดียวนี้ ก็สามารถฟาดฟันได้ดุดันดั่งพยัคฆ์ จนคนมิอาจตั้งรับ จนตามองไม่ทัน เขาถอยหลังไปสองสามเก้าสภาพแทบไม่เป็นท่า ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบที่ลำคอ ชีหยวนใช้กระบี่แทงทะลุลำคอของเขาแล้ว รวดเร็วอะไรเช่นนี้! ชินอ๋องหวยเหลียงเบิกตาโพลง จ้องมองสตรีตรงหน้า ราวกับกำลังใคร่ครวญว่าตนเองทำผิดพลาดตรงจุดใดไป ชีหยวนกระตุกมุมปากอย่างเย็นชา “วางใจเถิด ไม่ให้เจ้าตายบนแผ่นดินต้าโจวของพวกข้าหรอก ศีรษะของเจ้าจะถูกพากลับไปที่บ้านเกิดของพวกเจ้า!” ขณะที่นางกำลังเอ่ยปากกล่าววาจา ไล่เฉิงหลงพร้อมกับพวกพ้องที่ตามมาทันก็ได้เห็นภาพฉากนี้พอดี ในที่สุดชุนหลินก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพอได้ยินชื่อชีหยวนท่านใต้เท้าถึงได้มีท่าทีตอบสนองเช่นนั้น คุณหนูใหญ่สกุลชีที่แท้ก็กินคนได้จริง ๆ! ซามูไรที่เหลือพลันจมดิ่งสู่ห้วงความเจ็บปวดโศกเศร้าอันใหญ่หลวงเพราะการจากไปของเจ้านาย พวกมันต่างพากั
พวกเขาบุกรุกชายฝั่งทะเลของต้าโจวตลอดทั้งปี ทั้งซานตงกว่างตงฝูเจี้ยนหรือแม้กระทั่งเจ้อเจียง แต่เพราะชายฝั่งทะเลของต้าโจวยาวเกินไป ดังนั้นจึงมีจุดที่พวกเขาป้องกันไม่ทั่วถึงอยู่เสมอ และพวกเขาก็รบรากับกองทัพทหารต้าโจวมาหลายครั้ง ชินอ๋องหวยเหลียงมีความมั่นใจในตนเองมาตลอด เพราะซามูไรพเนจรของพวกเขา โดยพื้นฐานแล้วเมื่อต้องประจันหน้ากับทหารของต้าโจวเหล่านี้ สามารถจัดการศัตรูสิบคนด้วยซามูไรเพียงคนเดียวได้สบาย ทว่าตอนนี้ ตรงหน้าเขาในเวลานี้ ที่อยู่ข้างกายเขาล้วนเป็นซามูไรที่ผ่านการเคี่ยวกรำฝึกฝนจนเชี่ยวชาญทั้งหมด! แต่กลับถูกใครบางคนบั่นคอทิ้งโดยไม่ทันส่งเสียง ซามูไรผู้นั้นทรุดตัวล้มลงไปภายใต้แสงสุกสว่างของจันทราอย่างไม่น่าเชื่อ แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เสียงร้องคำรามคุ้นหูก็แว่วดังมาจากทางโค้งที่สาม เป็นคนที่เขาเพิ่งสั่งให้ลงไปหารถม้าในหุบเขา! กำลังตะโกนร้องขอความช่วยเหลือเป็นภาษาตงอิ๋ง! ชินอ๋องหวยเหลียงในที่สุดก็ทนต่อไม่ไหวแผดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาลออกมาทันที “เจ้าโง่!” และใช้ภาษาตงอิ๋งสั่งพวกสมุนให้ตั้งสติและเตรียมรับการโจมตี เขาเองก็กำดาบซามูไรไว้อย่างระแวดระวัง มองไปรอบด้า
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น รถม้าก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย เป็นการเคลื่อนตัวออกจากประตูอาราม และกำลังจะเริ่มตีวงเลี้ยวโค้ง ชีหยวนกำลังคำนวณระยะทางอยู่ในใจอย่างเงียบเชียบ รู้ดีว่าจะอย่างไรสองข้างทางของถนนบนภูเขาที่มีสามทางโค้งเส้นนี้ล้วนเป็นจังหวะที่ดีที่สุดสำหรับการลงมือ ในอดีตชาติเซียวอวิ๋นถิงถูกส่งตัวไปกำกับกองทัพเรือ นางเองก็เคยปะทะกับพวกโจรสลัดมาก่อน จึงรู้วิธีการของคนพวกนี้เป็นอย่างดี ขอเพียงได้บรรลุเป้าหมาย พวกมันไม่เหลือความเป็นคนอยู่แล้ว ขณะที่กำลังครุ่นคิด โค้งแรกผ่านไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค รถม้าสั่นสะเทือนอีกครั้ง เริ่มตีวงเข้าสู่โค้งที่สอง แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เซียวอวิ๋นถิงและชีหยวนต่างหันมาสบตากันทันที หลังจากดับตะเกียงในรถม้าแล้ว แม้มิได้ให้สัญญาณ ทว่าทั้งสองต่างก็ทยอยกันปีนออกไปข้างนอกจากทางหน้าต่างรถม้า ทว่าเพียงแค่เสี้ยวพริบตาเดียวต่อจากนั้น อาชาแผดเสียงร้องอย่างรุนแรงและดิ้นพล่าน ทันใดนั้นก็หลุดจากเชือกบังเหียนและวิ่งเตลิดออกไปอย่างไร้การควบคุม วิ่งไปเพียงไม่กี่ก้าว มันก็พุ่งออกมาจากทางเล็ก ๆ และร่วงตกไปในหุบเขา หายลับไปในทันที หุบเขาแห่งนี้มีหินโสโครกจำนวน
ฮูหยินผู้เฒ่ามองชีหยวนขึ้นรถม้า แม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่หนนี้ นางกลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่น อดไม่ได้ที่จะยกสองมือประนมสิบนิ้วอธิษฐานขอพรต่อพระพุทธเจ้าในใจ วิงวอนต่อพระพุทธเจ้าโปรดปกป้องคุ้มครองชีหยวนให้ปลอดภัยและราบรื่น ชีหยวนดรุณีผู้นี้ ยิ่งอยู่ไกล กลับยิ่งมองเห็นหัวใจอันอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกนอกอันแหลมคมของนางชัดเจนขึ้น นางไม่เคยออมมือให้คนที่คิดทำร้ายนาง ทว่าสำหรับคนที่ใส่ใจนางกลับห่วงใยอย่างลึกซึ้งไม่มีขาดตกบกพร่อง ต่อให้ไม่ใช่เพราะความสามารถอันเหลือล้นของชีหยวน แต่ฮูหยินผู้เฒ่าชีก็เริ่มโปรดปรานหลานสาวคนนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัวแล้ว ฮูหยินรองชีแม้ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นเรื่องอะไร แต่กระนั้นก็ยังสังเกตได้อย่างรางเลือนว่าอีกไม่นานต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่ นางประคองฮูหยินผู้เฒ่าชีกลับเข้าไปด้านในพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่วางใจเถิดเจ้าค่ะ แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยเห็นเด็กที่มีฝีมือเก่งกาจมากไปกว่าหยวนหยวนเลยเจ้าค่ะ ไม่ว่านางจะทำอะไร ก็ประสบความสำเร็จเสมอเจ้าค่ะ” ฮูหยินรองมิได้พูดเกินจริง นางไม่เคยเห็นผู้ใดที่จะดื้อรั้นหัวแข็งหนักแน่นแน่วแน่ไ