หลี่เล่อเยียน สาวออฟฟิศทั่วไปตื่นขึ้นมาในสถานที่ไม่คุ้นเคยพบว่าตัวเองอยู่ในยุคที่ปัญญาชนจะต้องทำงานแลกแต้มค่าแรง เธอจะเอาชีวิตรอดยังไงกับค่ายปัญญาชนแห่งนี้
View More" ทำไมต้องเป็นหนู " เสียงของหญิงสาวรูปร่างค่อนไปทางผอมแต่ไม่ถึงกับว่าผอมจนเห็นแต่หนังหุ้มกระดูก เอื้อนเอ่ยออกไปถามชายวัยกลางคนตรงหน้าท่ามกลางวงล้อมของใครหลายๆ คนที่ หลี่เล่อเยียนเองก็ไม่รู้จัก
" เพราะพี่ใหญ่ใกล้จะเรียนจบแล้ว ส่วนน้องเล็กก็ยังเรียนไม่จบ มีแค่ลูกที่จบมัธยมปลาย เรียนเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้หญิง ทำเพื่อครอบครัวของเรา ลูกทำได้หรือไม่ " ชายวัยกลางคนที่พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นบิดาของหญิงสาวคนนี้
" พ่อ แต่หนูกลัว ฮือๆ พ่ออย่าส่งหนูไปเลยนะ ฮือๆ "
04.30 น.
" เฮือก..... ฝันแบบนี้อีกแล้วหรือเนี่ย เฮ้อ..." หลี่เล่อเยียน หญิงสาววัย 25 ปี เด็กกำพร้าที่เติบโตมาจากการเลี้ยงดูของยายเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้เหลือเพียงเธอคนเดียวที่ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะยายของเธอจากไปได้ 5 ปีแล้ว
" ทำไมถึงได้ฝันอะไรแบบนี้ซ้ำ ๆ นะ เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่ หรือว่าจะอ่านนิยายแนวนี้เยอะไป " หลี่เล่อเยียนได้แต่บ่นคนเดียว เพราะไม่ใช่แค่เพิ่งเกิด แต่เธอฝันถึงเด็กสาวคนนั้นเกือบเดือนหนึ่งเต็มๆ แล้ว
วันนี้เป็นอีกวันที่ชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คงจะเป็นสภาพของหลี่เล่อเยียนที่เหมือนซอมบี้เข้าไปทุกวัน เธอนอนดึกตื่นเช้านั่นคือเวลา 04.30 น.ทุกวันมาเกือบเดือนแล้ว และอีกสิ่งที่เพิ่มมาจนผิดสังเกตนั่นก็คือ...
" มาได้ยังไงกันนะ " ปานแดงตรงนิ้วโป้งขวามือของหลี่เล่อเยียน แต่หลังจากที่เธอเอามือไปสัมผัส ภาพที่เธอไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น นี่มันความฝันหรือความจริงกันล่ะเนี่ย ในใจเธอเชื่อไปเกินครึ่งว่าคือความจริง เพราะเธออ่านนิยายจำพวกมิติเยอะมาก ใครจะคิดว่าเธอจะมีมัน พื้นที่โล่งภายในห้องห้องหนึ่ง กะด้วยสายตาน่าจะประมาณ 200 ตารางเมตร เพราะมันค่อนข้างกว้างมาก ถ้าเป็นมิติจริง ๆ ก็ต้องสามารถนำของเข้าไปได้สินะ
" เริ่มจากอะไร แล้วจะเอาเข้าไปยังไง " หลี่เล่อเยียนครุ่นคิดกับตัวเอง
เธอเริ่มจากนำเอากาแฟที่เธอพึ่งจะชงตอนเช้ามาลองดูก่อน แต่ปัญหาต่อจากนี้คือจะนำมันเข้าไปยังไง
" ถ้าตามนิยายคือแค่แตะก็เอาเข้าไปได้สินะ " หลังจากคิดได้เธอจึงนำแก้วกาแฟร้อนๆ มาแตะที่ปานแดงของเธอ
" โอ๊ย ร้อน....ฮือ ๆ " ทำยังไงดีล่ะ ทำไมในนิยายมันถึงเข้าไปได้ง่ายดายนัก หลังจากที่ลองทำอยู่หลายครั้ง เธอก็ได้คำตอบว่า เธอจะต้องนำปานแดงไปแตะยังสิ่งของ แล้วอนุญาตให้มันเข้าไป ถึงจะทำได้ กว่าจะทำได้มือเธอก็แดงเพราะความร้อนของกาแฟไปเสียแล้ว
ในคืนวันหนึ่ง ที่หลี่เล่อเยียนเข้านอน เธอได้ฝันถึงยายผู้ที่ล่วงลับซึ่งตั้งแต่ยายของหลี่เล่อเยียนจากไป เธอไม่เคยฝันถึงยายอีกเลย
" จงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ให้เหมือนกับที่หลานรอคอยมาตลอด จงมีความสุข " หม่าซันช่าย บอกหลานรัก ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจด้วยรอยยิ้ม
" ยายจ๋า มารับหลานแล้วหรือ หนูคิดถึงยายเหลือเกินค่ะ " หลี่เล่อเยียนตอบกลับผู้เป็นยายเสียงสั่น
" เล่อเยียนของยายเป็นเด็กดี จงใช้ชีวิตให้อยู่ดีมีสุข ยายมาอวยพรเด็กดีของยาย " หม่าซันช่าย มองดูหลานสาวด้วยความรักและเอ็นดูเป็นที่สุด
" ยายจ๋า ยายสบายดีไหม หนูสัญญาจะใช้ชีวิตให้อยู่ดี มีแต่ความสุข ขอยายอย่าได้มีห่วง" หลี่เล่อเยียนรับปากผู้เป็นยายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
" เวลาของหลานในโลกนี้ ใกล้จะหมดลงแล้ว จงเตรียมตัวให้พร้อม อย่าได้เป็นห่วงสิ่งใดในโลกนี้อีก ขอหลานจงอย่าได้อาวรณ์สิ่งใด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตั้งอยู่และดับไป จงจำคำของยายเอาไว้ " พูดจบร่างของหม่าซันช่าย ก็ได้สลายหายไปเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า
หลังจากความฝันในยามเช้าก่อนรุ่งสางของวันนี้ หลี่เล่อเยียนก็ได้สำรวจทรัพย์สินของตัวเองในทันที เธอทำงานหาเลี้ยงตัวเองและยายตั้งแต่อายุ 15 เธอหาเงินได้จำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่หมดไปกับการใช้รักษายายอันเป็นที่รักและสำหรับการเรียน
เมื่อยายของเธอเสีย หลี่เล่อเยียนจึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ในการใช้เงินมากมายนัก เธอไม่รอช้า รีบเข้าไปในแอพริเคชั่นการเงินเพื่อเช็คยอดเงินคงเหลือและบัญชีเงินฝากที่เธอแยกเอาไว้ต่างหาก
หลี่เล่อเยียนเชื่อเต็มสิบส่วนว่าคือเรื่องจริง หากเกิดอะไรขึ้น เธอควรจะต้องเตรียมตัว เพราะสถานที่ที่เธอฝันถึงนั้น ช่างกันดารเหลือเกินน่าจะย้อนไปเกือบ 60 ปีเห็นจะได้ หลังจากดูยอดเงินในบัญชีที่มีอยู่หนึ่งแสนสองหมื่นหยวน เธอเริ่มทำการจดรายการอาหาร รวมไปถึงของใช้ปัจจัยต่าง ๆ ในการดำรงชีวิต โชคดีของเธอที่ตัวเองชอบอ่านนิยายทำนองนี้เธอจึงไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเราจะต้องใช้ชีวิตให้อยู่ดีมีสุขตามที่ยายบอกไว้
" มีอะไรที่จะต้องเตรียมบ้างนะ อย่างแรกเลยก็น่าจะเป็นข้าวขาว ข้าวหักท่อน แป้งอเนกประสงค์ แป้งข้าวโพด แป้งสาลี เครื่องปรุงต่าง ๆ เกลือ น้ำตาลคงต้องเอาไปมากหน่อย .....อะไรอีกนะ ใช่แล้วของใช้ล่ะ สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ยาสระผม ครีมบำรุงผิวต่าง ๆ รวมไปถึงยาทั่วไปที่พอจะซื้อได้บ้าง อา..เกือบลืมไปเลยผ้าอนามัย ไม่สิยาคุมต้องพกไปด้วยหากไปจริง ๆ ต้องเตรียมพร้อมทุกอย่าง " หลังจากนั้นรายการที่หลี่เล่อเยียนก็ยาวไปประมาณ 2 หน้ากระดาษ ช่วยไม่ได้ มันคือสิ่งจำเป็น
วันนี้เป็นวันที่แม่สามีลงมือเก็บว่านหางจระเข้ให้กับลูกสะใภ้ เธอลงมือเก็บตั้งแต่เช้ามืด เพื่อให้ทันกับการทำสบู่ เพราะกลัวว่าจะช้าเกินไป หลี่หานที่มาถึงก็รับหน้าที่ในการทำอาหาร อย่าดูถูกว่าเขาเป็นผู้ชายแล้วทำมันไม่ได้ดี เพราะเป็นหน้าที่ของผู้หญิงหรืออย่างใด เพราะเขาทำมันออกมาได้ดีมากเลยทีเดียว แม้แต่แม่เฒ่าหยางยังอดชมฝีมือการทำอาหารของเขาไม่ได้ ซ้ำยังเป็นตัวเชื่อมระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้อีกด้วย เพราะเขาคุยเก่งเลยทำให้วงสนทนาดูไม่เงียบเหงาเมื่อมีเขาอยู่ส่วนหลี่เยียนหลังจากที่จัดการลูกชายเสร็จแล้ว ก็เตรียมของสำหรับทำสบู่ ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่ก็มาช่วยงานแต่เช้าเหมือนกัน เป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่วันนี้เป็นวันหยุดของสามีเธอพอดี เธอจึงฝากลูกไว้กับสามีให้เขาดูแลต่อจากเธอ จะเอามาส่งแค่ตอนที่เขาหิวนมเท่านั้น ส่วนหลี่หานนั้นลงไปช่วยแม่เฒ่าหยางขนว่านหางจระเข้มาให้กับพี่สาวที่ลานหน้าบ้านหลี่เล่อเยียนทำตรงลานหน้าบ้าน ไม่ต้องกลัวใครจะเดินผ่านมาเห็น เพราะกำแพงและประตูรั้วบ้านเธอนั้นกั้นได้มิดชิดอยู่แล้วจึงไม่ได้กลัวว่าความลับจะรั่วไหล อีกอย่างตั้งแต่ที่แม่สามีเธอมาอยู่ด้วย น้าสะใภ้ก็ไม่
“สวัสดีครับพี่ จริง ๆ แล้วพี่ไม่ต้องมารับผมก็ได้นะครับผมไปเองได้” เล่อเยียนได้ยินดังนั้นก็หมุนจักรยานแล้วเตรียมตัวจะกลับบ้าน“พี่จะไปไหนครับ ผมปั่นให้ดีกว่า” หลี่หานรีบคว้าท้ายจักรยานไว้เพราะพี่สาวเขาทำท่าจะปั่นจักรยานไปซะแล้ว“ก็นายบอกเองไม่ใช่หรือว่าเดินกลับเองได้ ถ้าอย่างนั้นนายก็เดินกลับเองก็แล้วกัน” หลี่เล่อเยียนหมั่นไส้น้องชายที่ทำเป็นเล่นตัว จริง ๆ แล้วเขาก็ดีใจที่เธอจะมารับนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่มารอเธอที่หน้าโรงเรียนแบบนี้หรอก“เดี๋ยวๆ ครับพี่ ไหน ๆ พี่ก็มาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็กลับด้วยกันนี่แหละครับ ผมเป็นคนปั่นให้พี่ซ้อนท้ายเองจะดีกว่า นี่พี่ซื้ออะไรมาเยอะแยะเนี่ย แตงโมอะไรกันทำไมมันถึงลูกใหญ่ขนาดนี้ละครับ” หลี่หานเคยกินแตงโมแต่เพียงไม่เคยเห็นแตงโมลูกใหญ่เท่านี้มาก่อน“กลับบ้านเถอะ” เล่อเยียนขี้เกียจต่อปากต่อคำกับน้องชาย เขาคิดถึงลูกชายจะแย่อยู่แล้ว ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะร้องไห้งอแงหิวนมแล้วหรือยังสองพี่น้องเมื่อปั่นจักรยานมาถึงบ้านก็เจอเข้ากับแม่เฒ่าหยางและลูกชายกำลังออกมาเดินเล่น
ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม เข้าช่วงฤดูร้อนอากาศในช่วงนี้ประมาณ 25-27 องศา เพราะยุคนี้ยังไม่ถือว่ามีมลพิษมากนัก ไม่มีปัญหาภาวะเรือนกระจกหรือแม้กระทั่งปัญหาของฝุ่น ทำให้อากาศที่บอกว่าร้อนก็ไม่ได้ร้อนมากมายเท่าไหร่นัก“แม่คะ ฉันขอฝากหนิงหลงด้วยนะคะ พอดีฉันจะออกไปซื้อของข้างนอกน่ะค่ะ” หลี่เล่อเยียนฝากลูกชายไว้กับแม่สามี จริง ๆ แล้วเธอจะออกไปถามเรื่องสบู่ต่างหากว่าตอนนี้เสี่ยวฮวาขายมันไปหมดแล้วหรือยัง เธอต้องการหารายได้เพิ่มหลังจากที่ขาดรายได้ไปในช่วงที่คลอดลูกใหม่ๆ“ได้สิ แล้วแม่หนิงหลงจะไปไหนหรือ” แม่เฒ่าหยางรู้สึกปวดใจทุกครั้งที่ลูกสะใภ้ออกไปนอกบ้าน เพราะเธอมักจะขนข้าวของมาเต็มไม้เต็มมือ เธอรู้สึกสงสารลูกชายจับใจ ที่มีเมียใช้เงินมือเติบเพียงนี้ แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่เธอซื้อมากลับพูดไม่ออก เพราะสิ่งที่เธอซื้อมานั้นล้วนมีแต่ของมีประโยชน์ไว้ใช้สำหรับบำรุงลูกชายของเธอทั้งนั้น แต่เดือนนี้ลูกชายของเธอเขาออกไปปฏิบัติภารกิจนอกพื้นที่ได้ 2 วันแล้ว“ฉันจะไปซื้อผ้าหน่อยนะค่ะ ชุดที่หนิงหลงใส่ฉันรู้สึกว่ามันจะคับเกินไป แล้วก็จะแวะรับน้องชายที่โรงเรียนด้
“ตกลงครับผมจะจัดการทุกอย่างตามที่คุณบอก” หยางหมิงเฉิงเดินไปปิดไฟแล้วมานอนข้างๆ ภรรยา“คุณจะมาเบียดฉันทำไมคะ” หลังจากที่หยางหมิงเฉิงปิดไฟเขากลับมานอนข้างๆ เธอ แทนที่จะไปนอนอีกฝั่งหนึ่งเพราะตอนนี้หนิงหลงนอนตรงกลาง“ภรรยาครับ นานมากแล้วนะครับที่เรา…แผลคุณหายดีหรือยังครับยังเจ็บอยู่หรือเปล่า" หลี่เล่อเยียนขนลุกทันทีที่สามีเอาหน้ามาซุกซอกคอพร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมจากเธอไปมา“ฉะ ฉันยังไม่หายเจ็บเลยค่ะ อีกอย่างคุณแม่ก็บอกแล้วนี่คะ ว่าให้งดไปอีก 3 เดือน” แม่สามีเธอบอกตั้งแต่ที่กลับบ้านวันแรกว่ากิจกรรมบนเตียงให้ลูกชายงดไปอีก 3 เดือนให้แผลเธอสมานดีก่อน“ผมใกล้จะขาดใจตายแล้วล่ะครับ” หยางหมิงเฉิงหอมแก้มภรรยาแรงๆ พร้อมกับลุกไปเข้าห้องน้ำหยางหมิงเฉิงพาน้องชายสามไปซื้อของฝาก เขาซื้อมาเยอะทีเดียวตามคำสั่งภรรยา พร้อมทั้งกำกับชัดเจนว่าส่วนไหนเป็นของส่วนกลางและส่วนไหนเป็นของพ่อหยาง“สงสัยพี่ชายคุณจะกลัวพวกเราฮุบเอาของฝากไปหมดเลยมั้งคะถึงได้เขียนกำกับขนาดนี้” สะใภ้สามที่เห็นของบำรุงแต่ละอย่า
หลังจากที่เข้ามาในห้องนอนสะใภ้สามก็เขวี้ยงปาข้าวของ เธอทำผิดอะไรทำไมถึงไล่กันยังกับหมูกับหมาขนาดนี้ ยัยสะใภ้รองอายุเท่าไหร่กันทำไมถึงไม่มีสัมมาคารวะบ้างเลย หล่อนอายุน้อยกว่าเธอตั้งหลายปี แต่พูดไม่ให้เกียรติกันเลยสักนิด เห็นว่าตัวเองมีชีวิตที่ดีจะถีบหัวใครไปไหนก็ได้อย่างนั้นหรือ อีกอย่างที่ดินในปักกิ่งสามีเธอก็ควรจะมีสิทธิได้เหมือนกันสิถึงจะถูก คิดแล้วมันน่าเจ็บใจนักมีสามีหัวอ่อนแบบนี้เธอหลับหูหลับตาแต่งงานด้วยได้ยังไงกัน“แม่คะเราต้องกลับบ้านจริง ๆ หรือคะ หนูชอบที่นี่เราไปขอคุณลุงดีหรือเปล่าคะ คุณป้าสะใภ้น่ากลัวมากเลยหนูกลัวมากเลยค่ะแม่” หยางจินเยว่ที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ไม่กล้าที่จะเอ่ยแม้แต่ครึ่งคำ เพราะในตอนนั้นป้าสะใภ้เธอดูน่ากลัวมาก“แกไม่ได้ยินที่เขาด่าหรืออย่างไร จะให้ฉันหน้าหนาทนอยู่ได้อย่างไรกัน ถ้าแกอยากจะอยู่แกก็ไปขอคุณย่าสิ” เมื่อพูดถึงตรงนี้สะใภ้สามก็มีความคิดดี ๆออกแล้วล่ะ“เยว่เอ๋อร์ ถ้าลูกอยากจะอยู่ปักกิ่งต่อ ลูกลองไปขอคุณย่าดูซิจ๊ะ ไปเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คุณย่าฟังว่าป้าสะใภ้พูดอะไรกับพวกเราบ้าง แม่
วันสุดท้ายแห่งการเข้าเดือนของหลี่เล่อเยียน สิ่งแรกที่เธอทำคือสระผมเพราะเธอคันหัวมาก ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะทนสกปรกได้นานเป็นเดือนๆ เพื่อชีวิตน้อยๆ ที่ตอนนี้กำลังตัวขาวอวบอ้วนน่าฟัดไปหมด เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของลูกหรือแม้กระทั่งเวลาที่เอาลูกเข้าเต้า แรกๆ ต้องบอกว่าเกร็งมาก เพราะเขานั้นเหมือนเด็กชายผู้หิวโหยยามที่ได้เข้าเต้าของแม่ เวลาที่หาเต้าไม่เจอก็จะโมโหโวยวายทั้งๆ ที่จุกก็อยู่ตรงหน้านั้นแท้ๆ วันนี้ก็เช่นกันหลังจากที่เธออาบน้ำสระผมแล้วก็เตรียมตัวออกไปให้นมกับลูกชาย พ่อเขานั้นตั้งชื่อให้ลูกว่า “หยางหนิงหลง” เจ้ามังกรน้อยที่อยากจะให้เขาสงบเสงี่ยมแต่ดูท่าแล้วน่าจะแสบน่าดูอุแว้ อุแว้ อุแว้“มาแล้วๆ” หลี่เล่อเยียนรีบเข้าห้องเพราะได้ยินเสียงลูกชายโวยวายเนื่องจากโมโหหิว เธอใช้เวลาในห้องน้ำนานไปหน่อยเพราะต้องสระผมหลายๆ รอบ ไล่คราบมันต่าง ๆ ออกจากหนังศีรษะ“มาเร็วเถอะครับ ผมรับมือไม่ไหวแล้ว” หยางหมิงเฉิง ที่อุ้มลูกชายอยู่ก็เกือบจะเสียนมให้ลูกชายเขาไปแล้ว เพราะเจ้าถั่วเขียวน้อยนั้นมุดหน้า หาเต้าแต่พอไม่เ
Comments