ไล่เฉิงหลงและลู่อี้เฟิงทั้งสองมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี แม้ว่าฐานะตำแหน่งของไล่เฉิงหลงนั้นสูงกว่าลู่อี้เฟิงอยู่หนึ่งขั้น สถานะในสายตาฮ่องเต้หยงชาง ก็สูงส่งขึ้นตามเพราะอาศัยอำนาจบารมีของบิดามารดาแต่กระนั้น ระหว่างพวกเขากลับไม่เคยนำเรื่องพวกนี้มาใส่ใจจริงจังเลยเมื่อได้ยินลู่อี้เฟิงพูดด้วยท่าทีตื่นเต้นเช่นนี้ ไล่เฉิงหลงหันกลับไปมองเขาทีหนึ่ง “ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ไม่น้อยเลยนะ?”เข้าใจสิ เข้าใจดียิ่งนัก!ลู่อี้เฟิงพลันพูดพลางทำตาเป็นประกาย “ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?! ก็ลิ่วจินกับเหล่าจ้าวมาหาข้าด้วยตนเอง มอบหมายให้ข้าจับตัวฉีหลิน! แล้วฉีหลินนั่น ก็เป็นข้าที่ส่งไปยังตำหนักไท่จี๋เองนะ!”โอ้ย พอคิดดูแล้ว เขาก็รู้สึกเป็นเกียรติไม่น้อยเลย นี่ก็ถือว่าได้ช่วยคุณหนูใหญ่ตระกูลชีอย่างมากเลยขณะที่พูดอยู่ เฉาซิงวั่งที่อยู่ด้านในก็กรีดร้องโหยหวนออกมาเสียงหนึ่ง เป็นเพราะลูกบุญธรรมของเขาถูกลอกหนังต่อหน้าต่อตาเขาเองเหล่าขันทีใหญ่พวกนี้ ปกติมักหยิ่งผยองอวดอำนาจ เหล่าพระสนมที่มิได้รับความโปรดปราน หรือแม้แต่ขุนนางที่กลับเข้าเมืองหลวงเพื่อกราบทูลรายงานภารกิจ ก็ยังกล้าแสดงสีหน้าไม่ไว้หน้าใ
เขายื่นมือออกไปรับมา จ้องมองไปยังลายภาพบนชุดคลุมพญางู ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที “นี่มันคือเมืองของโจรสลัดนี่นา!”ไล่เฉิงหลงตอบรับคำเบา ๆเขาค่อย ๆ ชี้ทีละจุดให้ฮ่องเต้หย่งชางดู พลางเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ชินอ๋องหวยเหลียงที่มาตายอยู่แถวนี้ของเรา ดินแดนของเขาอยู่ที่นครเซียงเกิง ส่วนตระกูลยามานะนั้นอยู่ที่เมืองฉงเฉิง พวกเขาล้วนสร้างเมือง มีอำนาจกำลังทหารของตนเองทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”การเดินทางออกทูตของไล่เฉิงหลงครานี้ ถือได้ว่าได้ผลเป็นรูปธรรมยิ่งนัก!ฮ่องเต้หย่งชางทรงพระโสมนัส พลางตบไหล่ของไล่เฉิงหลงทีหนึ่ง “เด็กน้อยเอ๋ย ไม่เสียแรงที่เป็นลูกชายของบิดาเจ้า ช่างเป็นคนเก่งแท้! แล้วนอกจากสองตระกูลนี้เล่า?”“และยังมีก็คือพระจักรพรรดิแห่งนครจิงตู และตระกูลจู๋ลี่แห่งนครต้าปั่นพ่ะย่ะค่ะ”ครั้งนี้ไล่เฉิงหลงเก็บเกี่ยวผลลัพธ์กลับมามากมาย เขาชี้ไปยังเขตดินแดนเมืองฉงเฉิงของตระกูลยามานะ เอ่ยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท ที่นี่เป็นดั่งที่ตระกูลยามานะกล่าวไว้จริง ๆ มีเหมืองเงินอยู่สามแห่ง! และกระหม่อมไปในครานี้ ได้พาบุตรชายของตระกูลยามานะกลับมาด้วย เขาได้ตกลงทำสัญญากับแคว้นเรา ให้แคว้นเราเป็นผู้ท
ตอนที่ไล่เฉิงหลงเข้าวังไปรายงานภารกิจ เจอเข้ากับลู่อี้เฟิงที่กำลังนำองครักษ์เสื้อแพรคุมตัวบรรดาขันทีนางกำนัลจำนวนมากออกมา จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองลู่อี้เฟิงไปคราหนึ่งทั้งสองนั้นเป็นทั้งสหายและทำงานร่วมกัน เดิมทีเวลาทำงานก็ต้องคอยแลกเปลี่ยนข่าวกันเสมอพอเห็นท่าทางของไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิงก็กระแอมไอพลางโบกมือไล่ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ถอยออกไป ก่อนกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “เป็นคนของเฉาซิงวั่ง ตลอดหลายปีมานี้เขาช่างเก่งกาจนัก ภายนอกทำทีซื่อสัตย์สุจริตแต่แท้จริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่”ที่นี่ไม่สะดวกแก่การพูดมาก ลู่อี้เฟิงจึงตบไหล่เขาเบา ๆ พลางเตือนอย่างอ้อมค้อมว่า “ระวังคำพูดหน่อย ฝ่าบาทกำลังกริ้ว”ไล่เฉิงหลงเข้าใจทันที จึงพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณ แล้วไปรอเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักไท่จี๋วันนี้ฮ่องเต้หย่งชางทรงมีพระราชภารกิจแน่นขนัดก่อนอื่นเป็นฉู่ป๋อ ราชเลขาธิการนำคณะสำนักขุนนางหลวงเข้าเฝ้าอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นคนของจวนว่าการเมืองเจ้อเจียงก็มา ไม่รู้ว่าในท้องพระโรงหารือเรื่องใด เมื่อออกมาก็สีหน้าหม่นหมองย่ำแย่ดูจากท่าทางเช่นนี้ ฮ่องเต้หย่งชางย่อมไม่เบิกบานพระทัยเป็นแน่อย่างที่ลู่อี้เฟิงได
เฝิงอวี้จางไม่คาดคิดเลยว่า มาถึงขนาดนี้แล้ว สมองของฮูหยินเฝิงยังคงไม่เข้ารูปเข้ารอยเขารู้สึกเหลือเชื่อ ก่อนจะผุดลุกขึ้น ตบหน้าฮูหยินเฝิงไปฉาดใหญ่แล้วชี้นิ้วด่าฮูหยินเฝิงว่า “คานบนไม่ตรง คานล่างก็บิดเบี้ยว ทั้งหมดก็เพราะเจ้ามัวแต่พร่ำบอกนาง ว่านางดีเช่นนั้น ว่านางเลิศเช่นนี้ ถึงขั้นกล่าวว่านางคือชายาพระนัดดาที่สวรรค์ลิขิตมา สุดท้ายเป็นเช่นไรเล่า บัดนี้นางถูกเจ้าปล่อยปละจนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ สุดท้ายก็ตายจนได้!”ฮูหยินเฝิงกุมใบหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาอ้าปากตาค้างมองผู้เป็นสามีไม่คาดคิดเลยว่าเฝิงอวี้จางจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้นางก็แค่พร่ำบ่นอยู่ในเรือนของตนเองเท่านั้น!เพราะชีหยวน นางก็เสียทั้งหลานชาย เสียทั้งหลานสาว สุดท้ายนางพร่ำบ่นระบายในเรือนก็มิได้เลยหรือ?เหตุใดเฝิงอวี้จางต้องทำเช่นนี้ด้วย?!เฝิงอวี้จางคร้านจะอธิบายให้นางฟัง เพียงชี้หน้านางพลางตวาดเสียงเข้มว่า “เจ้าจงไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มากเถิด หวังว่าคุณหนูใหญ่ชีจะมีเมตตาไม่ติดใจเอาความพวกเรา หาไม่แล้ว เจ้าก็รอความตายได้เลย!”เขาได้เห็นฝีมือของชีหยวนมากับตาแล้วผู้ใดยังกล้าไปก่อกวนชีหยวน ก็มีแต่คน
ชีหยวนสูดลมหายใจเข้าลึก หลับตาลงช้า ๆ แล้วส่ายศีรษะ “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าจำต้องไปเจียงซีสักครั้ง”อะไรนะ?!ท่านโหวผู้เฒ่าชีพลันตกตะลึง ไม่ได้คาดคิดเลยว่าชีหยวนจะเอ่ยเช่นนี้ขึ้นมาอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงคิดจะไปเจียงซีเล่า?!หรือว่าจะไปหาพระราชนัดดา?เขา เขาเองก็ไม่กล้าขัดขวางโดยตรงแต่ก็อดมิได้ที่จะเอ่ยเตือนเสียงต่ำ “แม่หนูหยวน เกรงว่ามิใช่เรื่องดีนัก ฝ่าบาทเพิ่งโปรดให้เปิดสำนักศึกษาขึ้นมา ก็กำชับให้เจ้าเป็นผู้สอนในบทเรียนแรก หากเจ้าไปเช่นนี้ จะอธิบายอย่างไรเล่า”จะอย่างไรก็เป็นเพียงสตรีนางหนึ่งแม้ว่าที่จวนจะคอยช่วยกันปกปิด ทุกครั้งที่นางออกเดินทางไกล ก็มักอ้างว่าไปเยี่ยมบ้านเดิม หรือไม่ก็กล่าวว่าเจ็บป่วยแต่ครั้งนี้หากชีหยวนจะไปเจียงซี ก็ย่อมต่างออกไป เพราะที่เจียงซีมีพระราชนัดดาอยู่ คนมากมายยากจะหลบเลี่ยงสายตายิ่งไปกว่านั้น อ๋องฉีก็ยังจับตาดูความเคลื่อนไหวของชีหยวนอยู่ทุกชั่วขณะชีหยวนขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยวาจา แต่ทว่าชีเจิ้นกลับวิ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง หลังขึ้นมาเขาก็ผลักประตูเปิด แล้วกระดกน้ำชาด้วยความตื่นเต้น พลางมองชีหยวนกับท่านโหวผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ แม่หนูหยวน พวกท่านรู้หรือไม่? สุ
ตอนนี้เขารุ่งเรืองขึ้นแล้ว ย่อมต้องหาสถานที่งดงามยิ่งกว่า เพื่อเป็นที่พักสุดท้ายของบรรพบุรุษของตนดังนั้นจึงซื้อทั้งยอดเขาลูกใหญ่ สร้างเป็นสุสานตระกูลโดยเฉพาะกล่าวว่าเป็นสุสานบรรพชน แต่แท้จริงแล้วกลับดูเหมือนสุสานของจวิ้นอ๋องเสียด้วยซ้ำด้วยเหตุนี้เอง ขุนนางตรวจการก็ซัดข้อหารายงานเข้ามาไม่น้อยทว่าเฉาซิงวั่งกลับกดเรื่องเอาไว้หมด สุดท้ายจึงไม่บานปลายนี่ก็เป็นความภาคภูมิใจของเฉาซิงวั่งมาโดยตลอด ยามกล่าวถึงก็มักจะยืดอกลำพองใจทว่าในยามนี้ เขาไม่อาจลำพองใจได้อีก ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งร่างยังสั่นระริกเวลาผ่านไปช้าลงเป็นพิเศษหัวใจแทบหยุดเต้นอยู่รอมร่อแต่ในขณะที่เฉาซิงวั่งรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ชีหยวนกลับหาได้รู้สึกเช่นนั้นไม่ นางนั่งอยู่ในภัตตาคาร ทอดมองลู่อี้เฟิงนำกำลังคนห้อตะบึงอาชาออกนอกเมือง ก็เพียงกระตุกมุมปากยกยิ้มท่านโหวผู้เฒ่าชีเห็นนางยิ้ม ก็อดเอ่ยถามมิได้ “แม่หนูหยวน เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาจะซ่อนเสบียงบรรเทาทุกข์ไว้ในสุสานบรรพชนของเขา”ชีหยวนเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เพราะพวกเขากลัวความยากจน แต่ก่อนเฉาซิงวั่งยากจนถึงขั้นยอมสมัครใจตอนตนเองเป็นขันที แต่ถึงก