Mag-log inอัมพุชินี ธิดาของเมืองทวารกะแห่งอาณาจักรกัมโพชน์ ผู้มีความสามารถด้านสมุนไพรและศิลปะ ถูกจับตัวไปเมื่อบ้านเมืองถูกกองทัพอารยันรุกรานจนล่มสลาย เธอถูกขายเป็นนางทาสในวังหลวงไอยคุปต์ อันเป็นที่ประทับของ ฟาโรห์เมเรนคาเร ราชันหนุ่ม ‘หัวใจหิน’ ผู้ทรงไร้รอยยิ้มและเอื้ออาทร อัมพุชินีเริ่มต้นชีวิตอย่างต่ำต้อยในเรือนทาส แต่ด้วยความรู้ทางสมุนไพรและศิลปะการวาดภาพ เธอจึงกลับกลายเป็นบุคคลสำคัญในการช่วยบำบัดอาการบรรทมไม่หลับขององค์ฟาโรห์ โดยผ่านภาพวาดและกลิ่นของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ แม้จะมีนางสนมนับร้อยอยู่รอบพระวรกาย แต่หัวใจของฟาโรห์กลับสั่นคลอนจากหญิงสาวไร้ตัวตน ความรักที่ต้องห้ามระหว่างจอมราชันกับนางทาสกลับเริ่มผลิบาน ท่ามกลางการช่วงชิงอำนาจ แผนร้ายของเหล่าสนม และศัตรูเก่าที่หวนคืน อัมพุชินีจะเลือกเส้นทางใด ระหว่างความรักไร้ตัวตน กับ การกอบกู้อิสรภาพคืนสู่ดินแดนของนาง จอมราชันเย็นชาพระองค์นี้ จะยอมมอบ “หัวใจรัก” ให้เธออย่างศิโรราบหรือไม่
view more“พระธิดา!!! เสด็จเร็วเพคะ ประตูทิศตะวันตกพังแล้ว…!!!”
... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ...
เสียงกลองศึกดังกึกก้องไปทั่วพื้นพสุธา ราวฟ้าระเบิดกลางวันแสกๆ สายลมตะวันตกพัดแรง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งปะปนกับกลิ่นธูปหอมจากวิหารกลางนคร เสียงสวดบวงสรวงของพราหมณ์มิอาจกลบเสียงคำรามของศัตรูที่กำลังไล่บดขยี้เข้าใกล้กำแพงหลวง
พระราชวังสุบรรณนาฏราช แห่งนครทวารกะ ซึ่งตั้งอยู่เหนือเนินศิลาทอง คือ ศูนย์กลางแห่ง ราชอาณาจักรกัมโพชน์ ดินแดนแห่งอารยธรรมชมพูทวีปอันรุ่งโรจน์ สง่างดงามราวภาพวาดแห่งห้วงจินตนาการ ทว่าบัดนี้ ทั้งสายน้ำ ศิลา และวังหลวงกลับต้องสะท้านสะเทือนด้วยรอยเท้าของม้าศึกแห่งกองทัพอารยัน
“ขอประทานอภัยเพคะ พระธิดาอย่าเสด็จไปด้านนอกเลยเพคะ ภายนอกนั่นหาใช่ที่สำหรับพระองค์ไม่…!!!”
เสียงวิงวอนของนางข้าหลวงผู้ชราสั่นเครือขณะหมอบกราบอยู่แทบบาทของ พระธิดา อัมพุชินี พระธิดาองค์สุดท้องใน ราชาธิบดีสิวราช แห่งกัมโพชน์
พระธิดามิได้ตรัสตอบ ดวงเนตรอ่อนละมุนดำขลับเต็มไปน้ำพระเนตร แต่ดำเนินอย่างสง่างามประหนึ่งนางอัปสรบนชั้นฟ้า เส้นพระเกศาดำยาวดุจใยไหมสะบัดตามแรงลม ส่าหรีผืนงามขลิบทองพลิ้วไหวท่ามกลางกระแสฝุ่นละอองจากศึกที่ปลิวฟุ้งเข้ามาภายในพระตำหนัก
“พระบิดาเสด็จสู่แนวหน้า ข้าจักทอดทิ้งพระองค์อย่างไรได้” น้ำพระทัยกริ่งเกรงแต่ยังแฝงด้วยพระสติมั่นคง
“แต่ทัพอารยันฝ่าแนวกำแพงชั้นนอกเข้ามาแล้ว ขอได้โปรดเสด็จไปยังคูหาหลบภัยเถิด พระเจ้าข้า”
เสียงโห่ร้องของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมาจากกำแพงเมือง เสียงโลหะปะทะเกราะกันสนั่น เสียงม้าศึกอาชาไนยร้องคำราม กัมปนาทดังกึกก้องกระทบพสุธา เหล่าทหารองครักษ์วิ่งกรูกันเข้าสู่ชั้นในของตัวพระราชวังด้วยใบหน้าเปื้อนโลหิต
“พระธิดา!!! เสด็จเร็วเพคะ ประตูทิศตะวันตกพังแล้ว…!!!”
อัมพุชินีหันหน้าขึ้นสู่เบื้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหมอกควัน รำพึงแผ่วเบา...
“มหามณฑลทองของพระมิ่งแก้วของลูก...บัดนี้มัวหม่นคล้ายร่วงหล่น ดั่งบุญญากำลังจะดับสิ้น”
นิ้วเรียวงามของพระธิดากำลังกำผืนผ้าไหมซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายจากฝีพระหัตถ์พระมารดาผู้ล่วงลับ แผงขนตางอนงามกะพริบถี่ๆ ด้วยหทัยวิตกยิ่ง ก่อนจะดำเนินกลับเข้าภายในมหาวิหารกลางพระราชวัง เพื่อเข้าเฝ้าพระบิดา
แต่แล้ว...เสียงบานทวารหลวงถูกกระแทกเปิดออกอย่างรุนแรง พร้อมแสงเพลิงจากคบไฟของข้าศึกสาดส่องเข้ามาภายในวิหาร ทหารอารยันนับสิบบุกทะลวงพร้อมหอกและดาบ ทหารกัมโพชน์ผู้ภักดีต่อราชวงศ์พลีชีพอย่างหาญกล้า หนึ่งต่อสิบ สองต่อยี่สิบสามสิบ ศัตรูมากยิ่ง...เกินต้านไปเสียแล้ว
ท่ามกลางเสียงคำรามโห่ก้องดารดาษไปด้วยโลหิตนองทั่ว ผู้หนึ่งถูกพยุงมายังเบื้องหน้าพระธิดา
“ฮะ...พระบิดา !!!”
ราชาสิวราช พระวรกายเต็มไปด้วยบาดแผล พระโลหิตหยดลงจากพระอุระ นองท่วมเครื่องทรงงามสง่า พระองค์แลดูเศร้าโศกสุดพรรณนา พระธิดาทรุดลงหมอบแนบพื้นด้วยหทัยระทม
“พระบิดา... อย่าเสด็จออกไปอีกเลยเพคะ” น้ำเสียงสั่นเครือขณะขอร้อง
“ลูก... เจ้าต้องหนี... เอาชีวิตให้รอด... อัมพุชินีของพ่อ” พระราชาตรัสอย่างกล้ำกลืนแหบแห้ง
ดวงเนตรของพระธิดาแดงก่ำ น้ำพระเนตรไหลนองมิขาดสาย เสียงสะอื้นแสนเจ็บปวด
“ลูกจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น หากมิได้ไปพร้อมพระองค์!!!”
“ลูกขอออกไปแทน พระองค์เสด็จเถิด เพคะ!!!” พระธิดาตัดสินพระทัยอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
แต่ก่อนที่พระบิดาจะเปล่งวาจาใดใดอีก เสียงย่างเท้าลงเป็นจังหวะของชายผู้หนึ่งก็มาหยุดลงตรงหน้าทั้งสองพระองค์
“พระธิดาน้อยแห่งกัมโพชน์... ข้าเกรงว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์เลือกแล้ว...”
ผู้เอ่ยคำเยาะหยันนั้น คือ คีระ แม่ทัพใหญ่ของกองทัพอารยัน ผู้มีดวงตาเย็นชา ใบหน้าเฉยเมย เรียวปากเรียบสนิทแฝงด้วยการหยามเหยียด
“เจ้าหญิงผู้งามสง่า...เช่นเจ้า หาได้ควรแก่ความตายไม่ หากแต่ควรแก่การเป็นของกำนัล”
อัมพุชินีจ้องสายตาประสานกลับไปอย่างเยือกเย็น แม้ดวงหน้าจะหม่นหมองยิ่ง แต่อิริยาบถยังสง่างามราวดอกบัวต้องแสงตะวันยามรุ่งอรุณ
“ของกำนัลแด่พันธมิตรบนดินแดนไกลโพ้น ไอยคุปต์!!!” แม่ทัพคีระประกาศเสียงดังก้อง
และนับจากวันนั้น…พระธิดาแห่งราชอาณาจักรกัมโพชน์ มิได้เป็นเจ้าหญิงอีกต่อไป
… … … …
ท่ามกลางแสงแดดแผดเผาบนทะเลทรายแห่งตะวันตก ผืนทรายระอุด้วยไอร้อนดั่งเปลวเพลิง ล้อเกวียนไม้ดังกุกกัก ขบวนทาสเดินเรียงรายทอดเป็นสายยาวในความเงียบ
ภายในเกวียนตอนท้าย หญิงสาวผู้มีผิวดุจงาช้าง และดวงตาดำขลับกำลังจ้องมองเส้นขอบฟ้าอย่างแน่วแน่
หลายวันแล้ว อัมพุชินีสงบนิ่งมิได้เอ่ยอันใดออกมา ดวงตาคมนั้นเคยอบอุ่นยามได้เหลียวแลประชาชน มาบัดนี้กลายเป็นดวงจันทร์อันหนาวเหน็บท่ามกลางคืนแสนเปลี่ยวเดียวดาย
นิ้วเรียวงามยังกำผืนผ้าไหมไว้แน่น เป็นของชิ้นเดียวจากวังหลวง ซึ่งเปื้อนโลหิตของพระบิดา
“ข้าจะอยู่ ข้าจะมีลมหายใจ... เพื่อความทรงจำของพระองค์” น้ำเสียงสะอื้นไห้อยู่ในหทัยอันเด็ดเดี่ยว
เมื่อขบวนทาสผ่านพ้นทะเลทรายสู่ดินแดนแห่งอียิปต์ นคร ‘วาเซต’ ต้อนรับขบวนด้วยประตูศิลาสลักเทพเจ้าแห่งแม่น้ำไนล์ ทั้งสองฟากทางเดิน คือเสาโอเบลิสก์ และวิหารหินสูงเสียดฟ้า
แต่ละก้าวที่ดำเนินผ่านพ้นไป หัวใจของพระธิดาแห่งแคว้นล่มสลายยิ่งเต้นระทึก
“ข้าจักเผชิญทุกสิ่งด้วยใจมั่น!!!” เธอรำพึงเบาๆ อยู่ภายใน
เมื่อขบวนเคลื่อนสู่ลานพระราชวังของไอยคุปต์ เสียงร้องประกาศดังกึกก้อง
“ฟาโรห์เมเรนคาเร เสด็จออกทอดพระเนตร…!!!”
ทาสหญิงทุกคนหมอบกราบแนบพื้น พวกนางล้วนหวาดกลัวนามของราชันผู้ทรงสิริโฉมและยิ่งใหญ่ ทว่าเยือกเย็นประดุจกำแพงน้ำแข็ง ราชันซึ่งหทัยมิเคยหวั่นไหว แม้นมีสนมนับร้อยก็ยังมิได้เลือกผู้ใดเป็นราชินีเคียงคู่บนบัลลังก์
“หญิงผู้นั้น... คนสุดท้ายในแถว... จงเงยหน้าขึ้น!!!”
น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยขึ้นจากบัลลังก์ทองคำสูงชัน เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยอำนาจและความว่างเปล่า อัมพุชินีคลุมหน้าไว้ ครั้นได้ยินถ้อยคำนั้นแล้ว หัวใจสั่นไหวกระตุกเต้นเสียงดังตูมตามในบัดดล
เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาดำขลับของเธอสบประสานกับดวงเนตรสีอำพันของฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ และแล้วในชั่วพริบตานั้นเอง... กลิ่นบัวหลวงแห่งลุ่มน้ำไนล์พลันอบอวล
เมื่อเจ้าหญิงผู้แพ้พ่าย... ได้สบดวงเนตรกับราชันผู้ไม่เคยพ่าย
บริบทใหม่ของสองแผ่นดินจึงเริ่มต้น ณ ที่แห่งนี้
ยามราตรีในนครวาเซตเงียบสงัดกว่าทุกคืนที่ผ่านมา แสงจันทร์เต็มดวงทอดเงาแสงสีเงินงามลงบนกลีบบัวหลวงที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำแห่งสระบัวข้างพระตำหนักทรงบรรทม สายลมบางเบาหอบไออบอุ่นจากแม่น้ำไนล์ พัดโชยเอากลิ่นดอกบัวนิลุบลสีฟ้าครามลอดผ่านม่านประตูด้านหน้าของของตำหนักชั้นในเคล้ากลิ่นสมุนไพรให้ลอยตลบอยู่ภายในห้องนอนของอัมพุชินีภายในห้องเล็กของตำหนักเคยเป็นที่ประทับรับรององค์ฟาโรห์ยามดึกสงัดคราพระองค์ทรงกลัดกลุ้มในพระทัย และเป็นที่ซึ่งเพลงรักของพระองค์กับอัมพุชินีได้บรรเลงขึ้นอย่างไพเราะผสมผสานเสียงพิณซึ่งขับขานอยู่ทุกชั่วยามในทุกราตรีอันแสนหวานแต่มาบัดนี้เต็มไปด้วยความหม่นหมองตรอมตรมของการจากลา แม้ไม่มีถ้อยคำใดเปล่งออกมา แต่กลับดังอยู่ในทุกจังหวะเต้นกลางหัวใจของหญิงสาวบนโต๊ะไม้หอมมีจดหมายผืนเล็กพับวางอยู่ข้างแท่นประทีป ด้านบนเขียนด้วยลายมือที่สั่นเทา“ขอทรงประทานอภัย ที่ข้ากระหม่อมจากไปโดยมิได้ทูลลา”หยาดน้ำตาหลายหยดร่วงลงประทับบนลายหมึกนั้น คือเครื่องหมายแทนหัวใจที่แสนทุกข์ทรมานยากต่อการจากลาเสียเหลือเกินณ ราตรีนั้น การตัดสินใจของอัมพุชินีเด็ดเดี่ยว ยากจะฉุดรั้ง...ก่อนหน้าเพียงไม่กี่ชั่วยาม
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่งดงามด้วยแสงสีทองซึ่งปกคลุมขอบฟ้าเหนือบริเวณพระราชวังหลวง เสียงสวดสรรเสริญพระนามเทพเจ้าดังกังวานจากลานหินกว้างหน้าวิหาร ‘เมเนเฟอร์' วิหารศักดิ์สิทธิ์ภายในเขตชั้นในของพระราชวังของนครวาเซตแห่งนี้ อันเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพของ 'เทพเฮกา' เทพแห่งเวทมนตร์และพลังชีวิตกลิ่นหอมจากยางไม้เมอร์และอบเชยลอยตลบอบอวล แสงประทีปพันดวงสะท้อนบนกำแพงหินแกะสลักลวดลายเทพผู้ถือคทาเวท ด้านในสุดของวิหารเป็นบัลลังก์ศิลาสำหรับประกอบพิธี เรียก ‘กะ’ พลังแห่งชีวิตคืนสู่ร่างของผู้ที่ผ่านพ้นความเจ็บป่วยหรือภัยร้ายพระมารดาเงา ‘ติเยนา’ ซึ่งป่วยด้วยพิษสะสมมานานหลายเดือน วันนี้ลุกขึ้นได้ด้วยกำลังใจ และความช่วยเหลือจากอัมพุชินี นางผู้ถูกกล่าวหาแต่กลับมอบทั้งแรงกายและความรักอันซื่อบริสุทธิ์เพื่อเยียวยาเสียงฆ้องดังขึ้นเป็นจังหวะ ข้าราชบริพารสวมผ้าลินินสีขาวเดินเรียงแถวเข้าไปภายในวิหาร กลีบดอกบัวหลวงสีฟ้าเข้มแกมชมพูอ่อนถูกวางเรียงรายตามทางลาดพระบาท ประดุจลานเคลือบเงาสีฟ้าเจือชมพูสลับไปตลอดเส้นทางอัมพุชินี กำลังจัดเตรียมโถน้ำปรุงจากผงบดละเอียดของไพรเวชศักดิ์สิทธิ์ของ ดอกมะลิ ดอกบัว และใบมะตูมจากดินแดนต
แม้ลมราตรี ณ ยามค่ำคืนนี้ จะพัดหอบไอเย็นเอื่อยๆ ลอดตามบานประตูหน้าต่างของราชวังทองคำแห่งนี้ แต่ภายในหทัยร้อนรุ่มของ ฟาโรห์เมเรนคาเร นั้น...ยังหาความสงบลงมิได้เลยแม้แต่น้อยภัยในเงามืดยังคงแทรกซึมอยู่ อันตรายคืบคลานมาจากคนใกล้ตัว ไม่ว่าจากสนม เสนาบดี ขุนนาง และแม้กระทั่งนางกำนัลในตำหนัก ขณะที่พระมารดาเงายังคงอ่อนแรงด้วยพิษสะสม ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของนางใด พระองค์ทรงรับรู้แน่ชัดแล้วว่า ศึกครั้งนี้มิใช่ศึกประจัญหน้ากับคมดาบของศัตรู แต่คือศึกพิษร้ายที่แฝงเงาลับไว้ในทุกย่างก้าวภายในห้องทรงอักษร แสงประทีปพลิ้วไหวลู่ไปตามแรงลมโชยมาอ่อนๆ เงาที่ปรากฎบนผนังโยกคล้ายอำนาจลึกลับกำลังเริงระบำอย่างปรีดา อัมพุชินีนิ่งเงียบหมอบอยู่เบื้องพระบาทหน้าแท่นประทับขององค์ฟาโรห์ มือเรียวประคองพู่กันไม้ ดวงตาเธอเหลือบไปยังผืนผ้าเปลือกไม้ที่ยังมิได้แต้มสีใดใด ด้วยในใจของเธอยังเต็มไปด้วยความว้าวุ่นหาความสงบลงไม่ได้เฉกเช่นกัน“ฝ่าพระบาท... ข้ากระหม่อมเกรงว่าข่าวลือทั้งหลายจักก่อภัยใหญ่หลวง” เสียงสั่นแผ่วเบาเอ่ยขึ้นเมเรนคาเรทอดพระเนตรมายังสาวน้อยที่บัดนี้ได้กำหทัยของพระองค์ไปหมดแล้ว แววพระเนตรแสนเหนื่อยล้าแต
แสงตะวันสีทองอมส้มคล้อยต่ำบนเหนือแม่น้ำไนล์ ต้องผิวน้ำเปล่งประกายระยิบระยับ แต่ในความสงบแห่งยามเย็นนั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวลสุมอยู่กลางพระทัยของฟาโรห์เมเรนคาเร มานานหลายคืนแล้วข่าวลือภายในตำหนักพระมารดาเงา...แม่นมผู้เก็บงำความลับของราชวงศ์ฟาโรห์แห่งธีบส์ มีอาการอ่อนแรงลงอย่างผิดปกติวิสัย อาการนั้นมิอาจอธิบายได้ว่ามาจากโรคหรือเหตุอันใดภายในห้องโอสถแห่งวังหลวง สมุนไพรและเครื่องยาปรุงโชยกรุ่นกลิ่นจากความหอมอ่อนๆ ของบัวหลวงที่เคยเป็นเครื่องหมายแห่งความสงบ แต่มาบัดนี้กลับกลายเป็นกลิ่นที่นำพาความหวาดระแวงมาเกาะกุมในหทัย ฟาโรห์ทอดพระเนตรไปยังอัมพุชินี เธอหมอบหน้าลงกับพื้นเบื้องพระบาท มิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดนอกจากนิ่งเงียบ ปล่อยให้หัวใจเต้นระส่ำไปตามแรงกดดันค่ำคืนนี้พระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรการปรุงโอสถด้วยพระองค์เอง และทรงรับน้ำปรุงโอสถจากบัวหลวงต้ม และยังทรงสำรวจการต้มโอสถสมุนไพรที่นำมาจากดินแดนตะวันออก ซึ่งชาวกัมโพชน์ใช้รักษาโลหิตเป็นพิษ เปลือกจากต้นไม้นามว่า ‘จามูน’ นำมาบดผสมกับโกฐน้ำเต้าเจือความหอมละมุนของไม้กฤษณา เพื่อรักษาโรคพิษคั่งค้างสะสมของพระมารดาเงาอัมพุชินีได้เดินตามฟาโรห์ออกมา





