ทุกคนที่อยู่ข้างนอกมีอารมณ์ที่แตกต่างกันไป ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน พวกเขาก็เห็นหลิงอวี๋นำเครื่องยาสมุนไพรอีกกองหนึ่งมาให้หลงอิงมิเพียงเย่ซื่อฝานเท่านั้น แต่ไป่หลี่ไห่และคนอื่น ๆ ก็จ้องมองการกระทำของหลิงอวี๋ด้วยเช่นกัน พวกเขาเห็นว่าหลิงอวี๋หยิบสมุนไพรขึ้นมาโดยมิได้ใช้ตาชั่งยาในการตวงเลย ทุกอย่างล้วนถูกหยิบขึ้นมาด้วยมือเปล่าทั้งสิ้นนางหยิบนั่นหยิบนี่โยนลงไป ราวกับเด็กที่กำลังเล่นซนเหมียวหยางอดมิได้ที่จะพูดจาดูแคลน “การที่นางกลั่นยาเตาแรกออกมาได้นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีนัก ให้นางทำอีกครั้งดูสิ นางไม่มีทางทำสำเร็จหรอก!”ปริมาณของโอสถแต่ละชนิดจะมีตัวเลขที่แน่นอน ซึ่งเป็นผลที่ได้มาจากบรรพบุรุษมากมายที่ประสบกับความล้มเหลวมานับมิถ้วนหลิงอวี๋หยิบเครื่องยาสมุนไพรขึ้นมาอย่างลวก ๆ นางคงมิรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเก็บมาได้เท่าไรแล้วหากปรุงอีกรอบแล้วกะปริมาณมิถูกต้อง โอสถที่กลั่นออกมาอาจจะมิเป็นไปตามต้องการเย่ซื่อฝานเองก็รู้ความจริงข้อนี้ แต่เขากลับมิได้มองหลิงอวี๋เช่นนั้นเขารู้ว่าปรมาจารย์ที่แท้จริงนั้น เมื่อสั่งสมประสบการณ์มาหลายสิบปี ก็จะสามารถกะปริมาณเครื่องยาสมุนไพรที่หยิบมาได้เพียง
“เปิดเตาเลย!”หลงอิงที่อยู่ในค่ายกลตะโกนด้วยความตื่นเต้นหลิงอวี๋เปิดเตาและเทโอสถออกมาโอสถจำนวนมากหล่นลงบนจานทีละเม็ดเสียงดังขลุก ๆ โอสถแต่ละเม็ดที่เด้งขึ้นมาทำให้ทุกคนกลั้นหายใจนับจำนวนอย่างเงียบ ๆ“ยี่สิบ… ยี่สิบห้า… ยี่สิบเจ็ด!”โอสถทั้งหมดถูกเทลงบนจาน หลังจากทุกคนนับเสร็จก็พากันมองไปที่หลิงอวี๋ด้วยความมิอยากเชื่อ“เหมียวหยาง ยี่สิบเจ็ดเม็ดรึ? ข้ามิได้นับผิดใช่หรือไม่?”ไป่หลี่ไห่ถามด้วยเสียงสั่นเครือนี่คือสิ่งที่เย่ซื่อฝานอยากจะถามเช่นกันเมื่อพิจารณาจากขนาดของเตากลั่นและจำนวนเครื่องยาสมุนไพร หากอัตราความสำเร็จของโอสถเตานี้มีถึงสิบส่วน ก็จะมีโอสถทั้งหมดสามสิบเม็ดขณะนี้หลิงอวี๋กลั่นโอสถออกมาได้ยี่สิบเจ็ดเม็ด ดังนั้นอัตราความสำเร็จจึงอยู่ที่เก้าในสิบ!นี่เป็น… เป็นอัตราความสำเร็จที่น่าตกใจยิ่งนัก!แม้แต่ปรมาจารย์ปรุงโอสถอย่างเย่ซื่อฝานและไป่หลี่ไห่ หากอยากได้อัตราความสำเร็จสูงถึงขั้นนี้ก็มีแต่ต้องกลั่นโอสถระดับต้นเท่านั้น แทบจะเป็นไปมิได้เลยที่โอสถระดับกลางจะบรรลุอัตราความสำเร็จถึงเก้าในสิบ“ช้าก่อน พวกเจ้าดูสิว่านั่นอะไร?”จู่ ๆ เย่ซื่อฝานก็พูดขึ้นทุกคนมองตามสายตา
หลิงอวี๋มิรู้เลยว่าโอสถสองเม็ดที่นางกลั่นได้มีอัตราความสำเร็จสูงกว่าของคนอื่น ๆ มาก ดังนั้นนางและหลงอิงจึงกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสำนักศึกษาชิงหลงตั้งแต่ยังมิออกมาจากค่ายกลด้วยซ้ำ“ครั้งนี้มีอัจฉริยะปรากฏตัวในหอปรุงโอสถ อัตราความสำเร็จของโอสถทั้งสองเตาแซงหน้าปรมาจารย์เย่และปรมาจารย์ไป่หลี่ไปแล้ว ไป ไปดูกันว่าอัจฉริยะผู้นั้นคือใคร!”ทางด้านของเซียวหลินเทียนที่ผ่านการประเมินได้มารวมกลุ่มกับเผยอวี้อีกครั้งและกำลังจะออกไปรอกลุ่มของเถาจื่อ เขาก็ได้ยินเสียงของบรรดาบัณฑิตโห่ร้องกันอย่างตื่นเต้น“นางลงทะเบียนชั้นเรียนของปรมาจารย์ท่านไหนรึ?”“ชั้นเรียนของปรมาจารย์เย่!”“โอ้โห เช่นนี้มิใช่ว่าหอโอสถซ่างกู่แย่งสมบัติล้ำค่าไปแล้วหรอกรึ! แล้วคนผู้นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรเล่า?”“มิรู้สิ มิเคยได้ยินชื่อนางมาก่อนเลย!”เซียวหลินเทียนคิดว่ามันคงไร้ประโยชน์ที่จะรออยู่ข้างนอก สู้ไปดูกับพวกเขาดีกว่า จะได้ตามหาหลิงอวี๋ไปด้วย“ไป ไปดูกันเถอะ!”เซียวหลินเทียนพาคนสองคนเดินตามฝูงชนไปที่หอปรุงโอสถบรรดาบัณฑิตที่อยู่ข้างหน้ายังคงสนทนากันอย่างกระตือรือร้นในขณะที่เซียวหลินเทียนและอีกสองคนฟังอยู่เงียบ ๆ
หลิงอวี๋เดินตามจางอิ๋งมาถึงห้องโถง ซึ่งบัณฑิตใหม่ทั้งหมดได้มารวมตัวกันที่นี่ทั้งสองชั้นเรียนได้คัดเลือกบัณฑิตที่คุณสมบัติผ่านเกณฑ์เรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้เข้าสอบที่ถูกคัดออกคนอื่น ๆ จะมิสามารถเข้ามาได้หลิงอวี๋เดินตามจางอิ๋งไปยืนในชั้นเรียนของเย่ซื่อฝาน เหลยเหวินและจงเจิ้งเฟยต่างก็มองหลิงอวี๋ด้วยสายตาแปลก ๆทั้งสองคาดมิถึงว่าหลิงอวี๋จะมีความสามารถโดดเด่นและทำคะแนนออกมาได้ดี ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงจนบัณฑิตในรอบเกือบสิบปีนี้เทียบมิติด และสุดท้ายนางก็ได้กลายมาเป็นศิษย์ของเย่ซื่อฝานส่วนพวกนางนั้นเป็นเพียงบัณฑิตธรรมดา แม้จะได้รับการสั่งสอนจากเย่ซื่อฝาน แต่ก็เรียกเย่ซื่อฝานว่าท่านครูได้เท่านั้น ในขณะที่หลิงอวี๋กลับสามารถเรียกเย่ซื่อฝานว่า ท่านอาจารย์การเป็นศิษย์กับการเป็นบัณฑิตมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด“เสี่ยวอวี๋ ยินดีด้วยนะ!”เหลยเหวินยังมีทัศนคติที่ดี รู้จักตนเอง และพอใจที่ได้เป็นบัณฑิตของเย่ซื่อฝานแล้ว มิได้ฝันถึงสิ่งที่เกินตัวไปมากนักคำแสดงความยินดีนี้จึงเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจงเจิ้งเฟยกลับรู้สึกจิตใจมิมั่นคง แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น นางรู้ดีว่าวิชาปรุงโอสถมิได้ขึ้
หลิงอวี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงปฏิเสธ นางกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง ฝากท่านขอบคุณความปรารถนาดีของท่านอาจารย์แทนข้าด้วย!”“บ้านข้ามีกฎของครอบครัวอยู่ว่าห้ามหยิบยืมเงินจากคนนอกโดยมิจำเป็น ตอนที่ท่านปู่ของข้ายังมีชีวิตอยู่เคยเตือนข้ากับท่านพี่ไว้ว่ามีเงินเท่าไรก็ใช้เท่าที่มี!”“สิงอวี๋มิกล้าขัดคำสอนของท่านปู่ ความปรารถนาดีของท่านอาจารย์นั้นข้าขอขอบคุณจากใจจริง! ข้าจะพึ่งพาความพยายามของตัวเอง ข้าจะหาเงินและคิดหาวิธีร่วมกับพี่ชายเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของพวกเรา”หลิงอวี๋มิรับตั๋วเงินสามแสน พลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อนี่คือเงินที่ท่านอาจารย์และศิษย์พี่หญิงเดิมพันชนะมา มันก็ควรจะเป็นของพวกท่าน! หากท่านอาจารย์คิดว่านี่คือเงินที่ได้มาอย่างมิชอบ จะสามารถบริจาคให้กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือก็ได้!”จางอิ๋งคาดมิถึงว่าหลิงอวี๋ผู้ยากจนจะมิถูกเงินสามแสนที่ตกจากท้องฟ้าลงมาอยู่ตรงหน้าล่อใจ ทำเอานางรู้สึกนับถือขึ้นมานางปฏิบัติตามคำกำชับของเย่ซื่อฝานและมิบังคับให้หลิงอวี๋รับเงิน นางจึงเก็บตั๋วเงินกลับไปและกล่าวลาหลิงอวี๋เมื่อหลิงอวี๋เดินออกมา คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่ลานก็ออกไปแล้ว เม
หลิงอวี๋มิได้รู้ตัวเลยว่าเพราะการป้องกันที่เข้มงวดเกือบสุดขีดของนาง จะทำให้นางพลาดการพบกันครั้งแรกกับเซียวหลินเทียนไป!เซียวหลินเทียนสำรวจสตรีส่วนใหญ่ที่มารวมกันที่นี่แล้วแต่ก็มิพบใครที่ดูเหมือนหลิงอวี๋ หรือแม้แต่ใครก็ตามที่กำลังตั้งครรภ์เลยเขาเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับสำนักศึกษาชิงหลง และคิดว่าตนกำลังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะหลิงอวี๋มิได้อยู่ที่นี่!แม้จะเสียใจ แต่ขอเพียงมีความหวังบ้างสักนิดเซียวหลินเทียนก็จะมิยอมแพ้ เขากำชับให้เถาจื่อและหานอวี้เฝ้าระวังต่อไป จากนั้นก็เดินทางจากไปพร้อมกับทุกคนวันต่อมา จางอิ๋งกับศิษย์อีกหลายคนมารับหลิงอวี๋ไปที่ตระกูลเย่ และจางอิ๋งก็แนะนำศิษย์พี่หลายคนให้หลิงอวี๋รู้จักทีละคนปัจจุบันเย่ซื่อฝานมีศิษย์เพียงแค่เจ็ดคนรวมหลิงอวี๋ด้วย และหลิงอวี๋ก็อยู่ในลำดับที่เจ็ดจางอิ๋งเป็นศิษย์ลำดับที่ห้า ศิษย์พี่ใหญ่นั้นเข้าสำนักมานานที่สุด ปีนี้เขาอายุยี่สิบหกปีแล้ว ดูเป็นคนจริงใจและซื่อสัตย์ด้านศิษย์พี่หญิงใหญ่แต่งงานแล้วและเพิ่งคลอดลูก ดังนั้นนางจึงมิได้มารับหลิงอวี๋ศิษย์พี่สามและศิษย์พี่สี่มีอายุใกล้เคียงกัน พวกเขาอายุยี่สิบกว่า ๆ ทั้งสองก็ดูซื่อสัต
หลิงอวี๋กำลังคิดว่าจะหาโอกาสจากไป มิคารวะเป็นศิษย์แล้วดีหรือไม่ ทางด้านคนที่พูดอยู่ก็เดินเข้ามาเมื่อหลิงอวี๋หันไปมองผ่านพุ่มไม้ไป ก็เห็นว่าคนที่มานั้นเป็นบุรุษสามคนคนหนึ่งอายุหกสิบกว่า รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเหลี่ยม ดูหน้าตาคล้ายกับเย่ซื่อฝาน นั่นก็คือท่านผู้เฒ่าตระกูลเย่และบุรุษที่อยู่ข้าง ๆ เขาอายุราว ๆ สี่สิบ รูปร่างเตี้ยกว่าเล็กน้อย และใบหน้าเหลี่ยมเช่นกัน ดูแล้วเขากับชายชราผู้นั้นน่าจะเป็นพ่อลูกกันส่วนบุรุษหนุ่มวัยประมาณเกือบยี่สิบที่เดินตามหลังทั้งสองคนมานั้น เมื่อหลิงอวี๋เห็นเขา ก็รู้สึกว่าคุ้นหน้ามากหรือว่าคนนี้จะเป็นเย่หรง?ตนรู้สึกคุ้นหน้า เพราะว่าก่อนหน้านี้เคยพบเขาหรือ?“ท่านผู้อาวุโส!”เมื่อจางอิ๋งและบรรดาศิษย์พี่เห็นชายชรา พวกเขาต่างก็โค้งคำนับพร้อมกัน หลิงอวี๋เองก็รีบโค้งคำนับตามอย่างรวดเร็วเช่นกัน“พวกเจ้าพาศิษย์คนใหม่ของเย่ซื่อฝานมาคารวะเป็นศิษย์หรือ? นางชื่อสิงอวี๋ใช่หรือไม่?”ท่านผู้เฒ่าเย่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม และใบหน้าที่มีความเมตตา“ท่านผู้อาวุโส นางคือสิงอวี๋เจ้าค่ะ!”จางอิ๋งดึงหลิงอวี๋ออกมา แล้วแนะนำให้ท่านผู้เฒ่ารู้จักดวงตาที่ดูมีชีวิตชีวาของท่านผ
“ท่านอาจารย์ ไป๋จื่อมิใช่กุญแจสำคัญของการทำยาหรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นน้ำต่างหาก!”หลิงอวี๋ตอบออกไปอย่างอดทน “ในตอนที่ข้าระบุส่วนผสมยา ข้าพบว่าในโอสถชะลอวัยนั้นมีน้ำตะกั่วอยู่เจ้าค่ะ!”“ที่จริงแล้วสารตะกั่วนี้มิสามารถนำไปใช้ในเครื่องสำอางได้ แม้ว่ามันจะมีผลในการส่งเสริมการดูดซึมของเครื่องยาสมุนไพรตัวอื่น ๆ เข้าสู่ผิวหนังได้ แต่ตัวมันเองก็เป็นพิษเช่นกันเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋บอกสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับสารตะกั่วให้เย่ซื่อฝานฟัง เมื่อเย่ซื่อฝานฟังแล้วก็พยักหน้าซ้ำ ๆแวดวงปรุงโอสถรู้เพียงแค่ผลการส่งเสริมการดูดซึมของสารตะกั่วมาโดยตลอด แต่กลับรู้อันตรายของสารตะกั่วเพียงผิวเผินเท่านั้นเมื่อเครื่องยาสมุนไพรที่เลือกใช้กับสารตะกั่วขัดขวางกันและกัน อัตราความสำเร็จในการทำยานั้นก็ย่อมต่ำลงเป็นธรรมดาหลิงอวี๋เลือกใช้เพียงแค่น้ำเปล่า และทิ้งสารตะกั่วไป เมื่อเป็นเช่นนี้น้ำเปล่าก็จะมิสามารถขัดขวางสรรพคุณของเครื่องยาสมุนไพรได้ และอัตราความสำเร็จในการทำยาก็จะสูงขึ้น“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงเติมน้ำปูนใสลงไปในโอสถสมานแผลเล่า?”เย่ซื่อฝานลืมตัวไปเสียสิ้นว่าตัวตนของเขากับหลิงอวี๋ในตอนนี้สลับกันอยู่ น้ำเสียงของเขาคล
“หึหึ!”ชายาเจ้าแห่งทะเลหัวเราะออกมา “หลิงอวี๋ เจ้าคิดว่าข้าโง่รึ? หยกหล้าสุขาวดีหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าแล้ว ค้นตัวเจ้าจะหาเจอได้อย่างไร?”“หลิงอวี๋ หยกหล้าสุขาวดีมิใช่ของของเจ้าตั้งแต่แรก มารดาเจ้าเป็นนางโจร ขโมยมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของจวนเจ้าแห่งทะเลไป การให้เจ้าคืนมาก็แค่เป็นการคืนของสู่เจ้าของเดิม!”“ข้าสืบรู้มาหมดแล้ว เจ้าและเซียวหลินเทียนสามีของเจ้าต่างก็อยู่ในเมืองหลวงแดนเทพ เจ้ายังมีบุตรชายอีกคนที่ฉินตะวันตก!”“หลิงอวี๋ ที่เจ้าปฏิเสธมิยอมรับฐานะของตนเองมาตลอด คงเป็นเพราะล่วงรู้ถึงวิธีที่จะนำหยกหล้าสุขาวดีออกมาแล้วสินะ”“เจ้าคิดว่าอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่า ขอเพียงมิยอมรับก็เป็นไปมิได้ที่พวกเราจะมัดตัวเจ้าไปสลายเลือดละลายกระดูกที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำหยกหล้าสุขาวดีออกมา!”ชายาเจ้าแห่งทะเลพูดถึงตรงนี้ก็แค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าเชื่อหรือไม่ ข้ามิจำเป็นต้องพิสูจน์ยืนยัน ก็สามารถมัดตัวเจ้าไปภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว!”“ที่ข้าให้คนนำตัวเจ้ามาที่จวนเจ้าแห่งทะเล ก็เพื่อจะให้โอกาสเจ้า!”หลิงอวี๋หรือจะยอมรับฐานะของตนเพียงเพราะชายาเจ้าแห่งทะเลพูดเช่นนี้ได้อย่าง
“เข้าไป อย่าให้พ่อบ้านผู้นี้ต้องพูดเป็นครั้งที่สอง!”รอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อบ้านเว่ยหายไปสิ้น กล่าวอย่างมิอดทน “เมื่อให้โอกาสดี ๆ มิชอบ ก็ต้องเจอดีเสียบ้าง!”เถาจื่อกำแขนหลิงอวี๋ไว้แน่น และถามผ่านสายตา“ตอนนี้ควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”หลิงอวี๋ก็คาดมิถึงว่าจวนเจ้าแห่งทะเลจะเปลี่ยนท่าทีเร็วถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่า เมื่อเข้ามาในจวนเจ้าแห่งทะเลแล้วจะสามารถยื้อเวลาสักพักได้ชายาเจ้าแห่งทะเลมิปรากฏตัว แต่กลับให้พ่อบ้านเว่ยพาตนมาที่นี่เช่นนี้เลย?นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?คิดจะขังนางไว้ หรือว่ามีแผนอื่นกระไร?หลิงอวี๋มองไปยังท่าทีมีเจตนาร้ายของพวกพลธนูและชายร่างใหญ่หลายคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เหล่านั้น นางและเถาจื่อไม่มีทางหนีรอดจากเงื้อมมือของพวกเขาไปได้เลย“เข้าไปก่อนเถอะ!”หลิงอวี๋นำหน้าเดินเข้าไป เถาจื่อตามติดอยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เพิ่งจะก้าวเท้าเข้าประตูเรือน เมื่อเห็นสภาพข้างในก็รู้สึกว่ามิดีแน่ เพิ่งจะคิดถอยหลังเถาจื่อกลับถูกคนผลักจากด้านหลังอย่างแรง ชนเข้ากับร่างหลิงอวี๋จนดันหลิงอวี๋เข้าไปข้างในทั้งสองคนล้มลงไปกองรวมกัน ยังมิทันได้ลุกขึ้นยืนก็ได้ยินเสียงดังโครมสนั่นกล
หลงเพ่ยเพ่ยห้อยอยู่บนชะง่อนผานั้น นางเองก็ทนต่อไปมิไหวแล้ว ภายใต้การเกลี้ยกล่อมของทุกคน นางจึงปีนป่ายเชือกขึ้นไปนางนึกถึงจุดประสงค์ที่ตนมาที่นี่ หากเย่หรงตายไปแล้วจริง ๆ เขาย่อมหวังให้นางช่วยหลิงอวี๋ออกมาได้อย่างแน่นอนนางมิอาจทำให้เย่หรงตายตามิหลับได้!เมื่อหลงเพ่ยเพ่ยปีนขึ้นมาได้ก็มิสนใจตรวจสอบบาดแผลของตน นางคุกเข่าลงต่อหน้าฮองเฮาทันทีนางกล่าวเสียงเครือ “เสด็จย่า เรื่องที่ทรงรับปากหม่อมฉันเมื่อครู่ สามารถประทานพระราชโองการให้หม่อมฉันตอนนี้ได้หรือไม่เพคะ?”“เมื่อครู่เย่หรงช่วยชีวิตหม่อมฉันและหยวนซานไว้ เพียงเห็นแก่บุญคุณทั้งสองครั้งนี้ เสด็จย่าทรงควรจะช่วยให้เขาสมหวังนะเพคะ!”ฮองเฮานึกถึงเรื่องที่เย่หรงและหลงเพ่ยเพ่ยอ้อนวอนตนเมื่อครู่ เย่หรงเป็นถึงเพียงนี้แล้ว นางจะยังทำให้คนที่เขาชอบพอลำบากใจได้อีกหรือ?ฮองเฮาถอดปิ่นปักผมอันหนึ่งของตนออกมาโดยมิทันคิด แล้วยื่นให้กับหลงเพ่ยเพ่ย“ถือปิ่นปักผมนี้ไปพาตัวสิงอวี๋ออกมาเถอะ!”หลงเพ่ยเพ่ยรับปิ่นปักผมหงส์คู่ปักทองคำของฮองเฮามาทั้งน้ำตา นี่คือปิ่นปักผมที่ฮองเฮาเท่านั้นจึงจะสวมใส่ได้ เห็นปิ่นดังเห็นองค์ เทียบเท่ากับพระราชโองการของฮองเฮ
“ท่านหญิง...”“เพ่ยเพ่ย...”ฮองเฮาเห็นหลงเพ่ยเพ่ยตกลงไปก็ตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ ผานกกระเรียนแห่งนี้เป็นปรปักษ์กับราชวงศ์หรืออย่างไร?เหตุใดถึงได้ตกลงไปทีละคนเช่นนี้?“เร็วเข้า ช่วยคน!”ฮองเฮาตะโกนลั่น นางกำนัลที่มีไหวพริบรีบไปตามองครักษ์มาช่วยทางด้านเย่หรงทรงตัวได้มั่นคงบนชะง่อนผาแล้ว เขาเพิ่งจะถอนหายใจโล่งอกก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านบนเมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นหลงเพ่ยเพ่ยกำลังร่วงหล่นลงมาหัวใจของเย่หรงหดเกร็งวูบ มิทันได้คิด คว้าเถาวัลย์ข้าง ๆ แล้วโหนตัวไปหาหลงเพ่ยเพ่ยหลงเพ่ยเพ่ยตกใจจนหลับตาลงแล้ว เตรียมพร้อมยอมรับความตายแต่ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนตนชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง จากนั้นร่างก็ถูกกอดไว้“ไปทางนั้น เร็วเข้า คว้าชะง่อนผานั่นไว้!”เย่หรงพลิกตัวกลางอากาศ เหวี่ยงหลงเพ่ยเพ่ยไปทางนั้น หลงเพ่ยเพ่ยพุ่งเข้าใส่ผนังผา แต่ใช้แรงมากเกินไปจนใบหน้าชนกับผนังผาจนถลอก นางเจ็บเสียจนหน้ามืดตาลายแต่นางมิสนใจความเจ็บปวดแทบขาดใจ เช่นเดียวกันกับเย่หรง เขาพยายามสุดชีวิตที่จะคว้าเถาวัลย์เหล่านั้นไว้โชคดีที่เถาวัลย์ฝั่งนี้ยังพันเกี่ยวกับกิ่งไม้มากมาย เถาวัลย์ที่พันกิ่งไม้ไว้นั้
“ซานเอ๋อร์!”หลงอวิ๋นก็เห็นภาพนี้เช่นกัน ทันใดนั้นในสมองก็ว่างเปล่า…ในฐานะมารดา นางจะมิรู้ได้อย่างไรว่าตนลำเอียงต่อบุตรชายทั้งสองคนหยวนซือและหยวนซานป่วยไข้พร้อมกัน นางกลับเฝ้าหยวนซือทั้งวันทั้งคืนส่วนหยวนซานกลับเป็นหยวนซิ่งสามีของนางที่คอยดูแลด้วยตนเองของประทานที่ได้รับจากมหาเทพและเจ้าแห่งทะเลผู้เป็นบิดาในช่วงเทศกาลปีใหม่และวันสำคัญต่าง ๆ นางก็จะให้หยวนซือเลือกก่อน ที่เหลือถึงจะให้หยวนซานเรื่องเช่นนี้นับมิถ้วน แต่หยวนซานกลับถูกหยวนซิ่งบิดาของเขาสั่งสอนมาอย่างดี มิเคยบ่นว่าเรื่องความลำเอียงของนางเลย!บัดนี้มองดูหยวนซานกำลังจะตกหน้าผา หลงอวิ๋นในฐานะมารดาจะสามารถมองดูเฉย ๆ ให้บุตรชายตายตกไปเช่นนี้ได้หรือ?ฝ่ามือหลังมือก็เนื้อเดียวกัน นางทำให้หยวนซานมาสู่ใต้หล้าผืนนี้ หยวนซานมีความผิดอะไร นางมีสิทธิ์อะไรจะทำกับหยวนซานเช่นนี้“ซานเอ๋อร์!”เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิต เมื่อคิดว่าจะต้องสูญเสียบุตรชายคนนี้ไปตลอดกาล หลงอวิ๋นก็พลันเสียใจแต่ก็สายเกินไปนางมิสนใจอีกต่อไปว่าจะทำให้หยวนซือบาดเจ็บหรือไม่ นางใช้แรงดึงหยวนซือออกอย่างแรงแล้วพุ่งเข้าไปที่หน้าผา“ซานเอ๋อร์ แม่มาช่วยเจ้าแล้ว
หลงเพ่ยเพ่ยเห็นท่านหญิงชิงเฉิงและท่านหญิงอวิ๋น ในสมองพลันเกิดความคิดแวบขึ้นมา ถึงได้คิดข้ออ้างนี้ออกเมื่อเห็นเย่หรงตามแนวคิดของตนทัน หลงเพ่ยเพ่ยก็แอบชื่นชมในไหวพริบของเย่หรงในใจ แล้วกล่าวต่อไป“เสด็จย่า ท่านคงมิประสงค์ให้ท่านอาเจ้าแห่งทะเลต้องเสียหน้าใช่หรือไม่เพคะ!”“หากเย่หรงไปหาท่านปู่ของเขาให้ออกหน้า การกระทำอันเผด็จการเช่นนี้ของท่านอาเจ้าแห่งทะเลจะถูกผู้คนรังเกียจ ถึงเวลานั้นก็จะส่งผลกระทบต่อเกียรติของราชวงศ์พวกเรา!”“ในใต้หล้านี้มีสตรีมากมาย ท่านอาเจ้าแห่งทะเลก็มิได้ขาดสตรีที่มาเสนอตัวให้ เหตุใดต้องทำเรื่องทำลายวาสนาคู่ครองของผู้อื่นเช่นนี้ด้วย!”ครั้นฮองเฮานึกถึงความเหลวไหลของเจ้าแห่งทะเลก็รู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก กล่าวเสียงเข้ม “เอาเถอะ ย่ารู้แล้ว จะออกพระราชโองการให้พวกเจ้าไปรับคนที่จวนเจ้าแห่งทะเล...”หลงเพ่ยเพ่ยและเย่หรงถอนหายใจโล่งอก เพียงแต่ทั้งสองยังมิทันลุกขึ้นยืน ก็มีเสียงกรีดร้องดังแว่วมาจากที่ไกล ๆได้ยินเสียงคนกำลังตะโกนแว่วมา “ช่วยด้วย เร็วเข้า ใครก็ได้ คุณชายน้อยตกลงไปใต้หน้าผาแล้ว...”ฮองเฮาพลันลุกขึ้นยืน ร้องเรียกอย่างร้อนรน “เร็ว ไปดูซิ ใครตกลงไป?”วันนี้
หลงอวิ๋นได้สติกลับคืนมา ตามปกติแล้วคนทั่วไปหากมิได้ยินคำพูดของท่านหญิงชิงเฉิงก็จะถามว่า “เมื่อครู่เจ้าว่ากระไรนะ?”แต่หลงอวิ๋นกลับมิทำตามปกติ ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “เสด็จย่า เด็ก ๆ เดินไปไกลแล้ว หม่อมฉันไปตามพวกเขากลับมาดีกว่า ควรลงจากเขาได้แล้วเพคะ!”พูดจบ หลงอวิ๋นก็เดินออกจากศาลาพักร้อนไป ร้องเรียกสาวใช้ของตนว่า “พวกคุณชายใหญ่ไปทางไหนกันหรือ?”เนี่ยนจูนางรับใช้ของหลงอวิ๋นกล่าวพลางยิ้มประจบ “แม่นมจี้และเนี่ยนชิงพาพวกเขาไปทางนั้นเจ้าค่ะ มิน่าจะเดินไปไกล!”“ไป ไปดูกัน!”หลงอวิ๋นเดินตามทิศทางที่เนี่ยนจูชี้ไปโดยมิหันกลับมามองท่านหญิงชิงเฉิงมองแผ่นหลังของนางที่เดินจากไปเช่นนั้นก็โกรธจนแทบจะด่าทอเสียงดังลั่นออกมา“พี่หญิงชิงเฉิง พี่หญิงอวิ๋นไปตามหาเด็ก ๆ แล้ว ท่านมิไปตามหาแก้วตาดวงใจทั้งสองของท่านบ้างหรือ?”หลงเพ่ยเพ่ยเห็นดังนั้นก็จงใจกล่าว “ผานกกระเรียนแห่งนี้แม้จะไม่มีสัตว์ร้าย แต่เด็ก ๆ ยังเล็กนัก เล่นอยู่ริมผา หากพลาดตกลงไป เช่นนั้นก็…”“เจ้าแช่งลูกข้ารึ?”ท่านหญิงชิงเฉิงมองหลงเพ่ยเพ่ยอย่างโกรธเคือง ด่าว่า “หลงเพ่ยเพ่ย เจ้าอายุยังน้อย เหตุใดจึงทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ คบหากับเย่ห
“เรื่องคู่ครองของข้ารึ?”หลงเพ่ยเพ่ยชะงักไปครู่หนึ่ง นางยังมิได้พูดคุยเรื่องแต่งงานเลย เหตุใดจึงเกี่ยวข้องกับเรื่องคู่ครองของตนได้เล่า“นี่เป็นเพียงข้ออ้าง หลอกพวกนางไปก่อน แล้วค่อยพูดเรื่องสำคัญกับเสด็จย่าของท่าน!”เย่หรงยิ้มกล่าว “อย่างไรเสีย เรื่องนี้ค่อยอธิบายให้เสด็จย่าของท่านเข้าใจทีหลังก็ได้!”ขณะพูดคุยกัน ทั้งสองก็มาถึงศาลาพักร้อนแล้วท่านหญิงชิงเฉิงที่อยู่ในศาลาเห็นหลงเพ่ยเพ่ยกับเย่หรงตามมาถึงที่นี่ ก็พลันนึกถึงคำกำชับของชายาเจ้าแห่งทะเลนางรีบชิงพูดก่อน “ท่านหญิงฉางเล่อก็มาด้วยรึ อ้าว นี่พาคุณชายมาด้วย!”“คุณชายผู้นี้หน้ามิคุ้นเลย เมื่อก่อนมิเคยเห็น เป็นคุณชายจากตระกูลใดกัน?”เย่หรงเห็นใบหน้างดงามของท่านหญิงชิงเฉิงแสดงท่าทีดูแคลนก็รู้ว่าอันที่จริงนางรู้ว่าตนเป็นใครเพียงแต่เหมือนกับพวกคนหัวสูงในเมืองหลวงแดนเทพ นางก็ดูถูกตนที่เป็นบุตรชายที่มิได้เรื่องของตระกูลเย่เช่นกันเสด็จย่าของหลงเพ่ยเพ่ยยังคงดูสดใสร่าเริง อายุหกสิบกว่าปีแล้วแต่ใบหน้ายังคงเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล แทบจะไม่มีริ้วรอยเลยฮองเฮาได้ยินคำพูดของท่านหญิงชิงเฉิงก็มองมาอย่างสงสัย พินิจพิจารณาเย่หรง แล้วกล่าวพล
สิ่งที่เย่หรงคิด หลงเพ่ยเพ่ยก็คิดถึงเช่นกัน นางกล่าวกับเย่หรงอย่างขัดแย้งในใจ“เจ้าคิดจะบอกเรื่องที่เฉาฮุยยังมีชีวิตอยู่ให้พี่หญิงอวิ๋นฟังรึ?”“แต่เช่นนี้ก็มิยุติธรรมกับพี่เขยหยวน เขาและพี่หญิงอวิ๋นก็มีลูกชายด้วยกันอีกคนแล้ว หากบอกพี่หญิงอวิ๋นว่าเฉาฮุยยังมีชีวิตอยู่ จะเป็นการทำลายครอบครัวของพวกเขาเสียเปล่า!”“ข้ามิชอบที่ชายาเจ้าแห่งทะเลทำกับเฉาฮุยเช่นนี้ แต่พี่เขยหยวนและหลานชายตัวน้อยของข้าเป็นผู้บริสุทธิ์!”“อีกอย่าง พี่เขยหยวนก็ดีต่อพี่หญิงอวิ๋นมาก ก่อนหน้านี้ข้ายังอิจฉาพี่หญิงอวิ๋นที่ได้ลงเอยกับคนที่ดี!”เย่หรงยิ้มเย็นชา “เช่นนั้นยุติธรรมกับเฉาฮุยแล้วหรือ? เขายังมีบิดามารดาที่ต้องกตัญญูเลี้ยงดู ท่านหญิงอวิ๋นมิช่วยเขาออกมา แล้วจะมีใครช่วยเขาได้อีก?”“ชั่วชีวิตของเขาจะต้องอยู่ในคุกน้ำไปตลอดหรือ? นี่มันโหดร้ายยิ่งกว่าการฆ่าเขาทิ้งเสียอีก!”หลงเพ่ยเพ่ยพูดมิออกเดิมทีเฉาฮุยมีอนาคตที่สดใส เพียงเพราะรักใคร่กับท่านหญิงอวิ๋น ถึงต้องตกอยู่ในชะตากรรมอันน่าเศร้าเช่นนี้มิอาจกตัญญูเลี้ยงดูบิดามารดาได้ บุตรชายก็มากลายเป็นของผู้อื่น การที่เขาสามารถทนอยู่ต่อไปในคุกน้ำได้ คาดว่าคงเพราะยังมี