Masukเมื่อกลับมาถึงบ้าน ปรางค์วลัยก็เปิดประตูเข้าบ้านไปโดยไม่สนใจเมฆาเลยแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะเปิดประตูบ้านของตัวเองแล้วเอารถเข้าไปจอด ก่อนจะปิดล็อกประตูบ้านแล้วเตรียมตัวจะเข้าบ้าน แต่เมื่อประตูกำลังจะถูกเปิดก็ต้องชะงักเท้า เมื่อได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากทางบ้านของสาวน้อยที่เพิ่งเข้าไปในบ้านเมื่อสักครู่
“หมอเมฆ แม่เป็นอะไรไม่รู้ เข้ามาดูหน่อยเร็ว!!!”
ปรางค์วลัยที่กลับมาถึงก็ขึ้นไปบนบ้านแล้วเข้าไปในห้องของมารดา เหมือนเช่นทุกวัน แต่เมื่อเข้าไปก็เห็นว่ามารดานอนกองอยู่กับพื้นห้องจึงรีบวิ่งออกมาตามเมฆาให้เข้ามาดู
เมฆาได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งออกไปโดยไม่สนใจประตูที่ไม่ได้ปิดเลยสักนิด ชายหนุ่มเปิดเข้าไปในบ้านของปรางค์วลัยด้วยความคุ้นเคย สายตาคมกวาดมองไปทั่ว เมื่อไม่เห็นร่างของหญิงเจ้าของบ้านผู้ใจดีก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นบน เขาตรงเข้าไปยังห้องที่ยังเปิดประตูค้างเอาไว้อยู่ตามสัญชาติญาณ
“น้าปริม ได้ยินผมไหมครับ”
“เมฆเหรอลูก”
“ครับ น้าล้มไหมครับ ศีรษะกระแทกไหม”
“น้ารู้สึกเหมือนน้าหายใจไม่ค่อยออก แล้วอยู่ๆก็วูบไปเลย”
“เจ็บตรงไหนไหมครับ”
“เจ็บศีรษะนิดหน่อย แต่น้าหายใจไม่ค่อยออก เหมือนไม่อิ่ม”
“ไปโรงพยาบาลกับผมนะครับ”
“จ้ะ”
“ตูน ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วหยิบบัตรประชาชนของน้าปริมไปด้วย”
“โอเค”
เมฆาได้ยินที่ปริมบอกก็รีบอุ้มร่างผอมบางขึ้นในอ้อมแขน ปรางค์วลัยเตรียมจะวิ่งตามลงไปก็ถูกเขาสั่งให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบเอกสารของมารดาไปด้วย เธอตอบรับแล้วกลับไปที่ห้องตัวเอง
เสื้อผ้าชุดสวยถูกถอดออกโดยที่เธอไม่ทันได้ปิดประตูห้องนอนด้วยซ้ำ เพียงไม่ถึงนาทีหญิงสาวก็อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น เธอวิ่งเข้าไปในห้องนอนของมารดา หยิบกระเป๋าสตางค์ใบเล็กขึ้นมาแล้วลงไปชั้นล่างด้วยใจร้อนรน มือเล็กหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาคล้องเอาไว้บนแขน ก่อนจะปิดล็อกบ้านแล้วรีบวิ่งไปที่รถของเมฆาที่จอดอยู่ในบ้าน
“ล็อกประตูให้หน่อย”
เมฆาสั่งให้ปรางค์วลัยล็อกบ้านให้เขา เพราะเขาต้องเคลื่อนรถออก รอจนหญิงสาวขึ้นมาบนรถจึงรีบเหยียบคันเร่งตรงไปที่โรงพยาบาล
“ก่อนหน้านี้น้าปริมมีอาการอะไรไหม”
“แม่ไอมาพักหนึ่งแล้ว แล้วก็รู้สึกเหมือนมีเสมหะตลอดเวลา บอกให้ไปหาหมอก็บอกว่าเป็นภูมิแพ้ น่าจะแพ้อากาศ ไม่ยอมไปหาหมอ” ปรางค์วลัยบอกเล่าเท่าที่เธอนึกได้
“นานหรือยัง”
“ไม่แน่ใจ น่าจะ 4-5 เดือน”
“ไอมาตลอดเลยใช่ไหม”
“ใช่”
“จากที่ฟัง ฉันคิดว่าไม่ใช่เรื่องดี เตรียมใจเอาไว้หน่อยละกัน”
เท้าหนาเหยียบคันเร่งแทบทะลุ เขามาถึงโรงพยาบาลภายในเวลาไม่นาน เมื่อมาถึงเมฆาก็เรียกขอเปลจากเจ้าหน้าที่ให้เข้ามารับคนไข้ส่วนตัวเขารีบลงจากรถเพื่อตามเข้าไปที่ห้องฉุกเฉินด้วยตัวเขาเอง
“ตูน เอารถไปจอด เดี๋ยวพี่ไปดูแม่ให้เอง”
“ค่ะ”
ปรางค์วลัยสลับมาขึ้นฝั่งคนขับแล้วเอารถไปจอดที่ลานจอดรถ แล้วกลับมารอที่หน้าห้องฉุกเฉิน
ทางด้านเมฆา เมื่อเข้ามาในห้องฉุกเฉินพร้อมกับพยาบาลก็ได้พูดคุยอาการกับหมอเวร และได้รับการวินิจฉัยตรงกันว่าควรให้แอดมิทรอดูการก่อน และจะส่งคนไข้ทำ MRI ในวันรุ่งขึ้นเพราะเกรงว่าศีรษะอาจจะกระแทก และมั่นใจว่าปอดน่าจะผิดปกติ
พักใหญ่กว่าที่เมฆาจะเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน เขาพาปรางค์วลัยไปกรอกข้อมูลและจองห้องพักคนไข้ในโรงพยาบาลโดยใช้สิทธิ์ญาติของเขาเพื่อช่วยเบาค่าใช้จ่ายให้เธออีกแรง
นานหลายชั่วโมงกว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อยและปริมได้เข้าพักผ่อนในห้องพัก ปรางค์วลัยนั่งหน้าซีดอยู่ข้างเตียง เธอไม่ได้คิดว่ามารดาจะเป็นอะไรเยอะจนถึงขั้นต้องแอดมิท
“กลับไปนอนพักที่บ้านเถอะลูก แม่ไม่ได้เป็นอะไร”
“ไม่เอาค่ะ”
“งั้นเอาอย่างนี้ไหมครับน้าปริม เดี๋ยวผมพาตูนกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วก็เอาเสื้อผ้ามาค้างสักชุด แล้วเดี๋ยวผมกลับมาอยู่โรงพยาบาลด้วย ตูนจะได้ไม่ต้องเดินทางคนเดียว แล้วน้าก็จะได้มีคนเฝ้าด้วย”
“ได้จ้ะ ฝากตูนด้วยนะเมฆ”
“ครับ เดี๋ยวผมรีบไปรีบมา ผมจะให้พยาบาลคอยเดินมาดู ถ้ามีอะไรน้ากดเรียกพยาบาลได้เลยนะครับ”
“จ้ะ”
เมฆาดึงข้อมือเล็กของปรางค์วลัยให้ออกไปด้วยกัน เขายืนสั่งงานพยาบาลอยู่ชั่วครู่ เพราะตอนนี้ไม่มีคนเฝ้าปริม ก่อนจะรีบพากันไปที่รถและเขาก็ขับออกไปด้วยความเร็วพอสมควร
“กลับไปถึงก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดกระเป๋าใบเล็กใส่ของจำเป็นไป”
“อืม”
“ออกมาเจอกันภายในครึ่งชั่วโมงล่ะ”
“ผลไม่ดีเหรอ”“ใช่ เจอก้อนที่ปอด”“ใหญ่ไหม”“ใหญ่ เราต้องส่องกล้องแล้วเอาเนื้อไปตรวจว่าเนื้อดีหรือเนื้อร้าย”“อืม เอาที่เห็นสมควรเลย”“น้าปริมมีประกันใช่ไหม”“มี ประกันหลายตัว กับใช้สิทธิ์ที่ทำงานตูนได้ ตูนบรรจุแล้ว”“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่จัดการให้”ปรางค์วลัยเดินกลับเข้าไปไปในห้องหลังจากเมฆาเดินออกไป เธอเลือกที่จะบอกมารดาถึงผลตรวจ MRI ซึ่งปริมเองก็ยอมรับและทำใจได้ หญิงสาวจึงสบายใจได้ในระดับหนึ่งแล้วก็เกิดปัญหาขึ้นอีกครั้ง เมื่อในช่วงเย็นปรางค์วลัยต้องกลับไปที่บ้านเพื่อไปเอาชุดทำงาน และถ้าเธอไปทำงาน ปริมจะไม่มีคนอยู่เฝ้า“เอาอย่างนี้ไหมครับ น้าปริมย้ายออกไปอยู่ห้องธรรมดาไหม พยาบาลจะได้เดินดูได้ตลอด” เมฆาบอกปริมกึ่งขอความเห็นจากปรางค์วลัย“ได้หมดจ้ะ น้าไม่มีปัญหา อีกอย่างเหลือแค่เก็บชิ้นเนื้อ น้าจะได้กลับบ้านแล้วนี่ อยู่ห้องธรรมดาก็ได้” ปริมไม่มีปัญหาอะไร“ก็ได้ค่ะ”“ไม่นานหรอกครับ หลังเก็บชิ้นเนื้อ เราจะรอดูอาการ 2-3 ชั่วโมง ถ้าไม่มีเลือดออกก็จะสามารถกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้เลยครับ” เมฆาอธิบายขั้นตอนคร่าวๆ“แต่พรุ่งนี้วันจันทร์ ตูนต้องไปทำงาน ใครจะอยู่กับแม่ล่ะ”“เดี๋ยวพอหมอเจ้าของไข้ให้
หญิงสาวนั่งเงียบไปตลอดทางจนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน ต่างคนต่างเดินหายเข้าไปในบ้านของตัวเอง เมฆาที่ชินกับสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้วทำเพียงแค่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนปรางค์วลัยเลือกที่จะจัดกระเป๋าก่อนถึงเข้าไปอาบน้ำเมื่อออกมาจากห้องน้ำ หญิงสาวทำเพียงแค่ใส่เสื้อผ้าแล้วคว้ากระเป๋า เพื่อจะเดินออกจากห้องนอนลงไปยังชั้นล่างตามที่ได้นัดกับเขาเอาไว้“พร้อมหรือยัง”“ค่ะ”ปรางค์วลัยก้าวขึ้นรถเงียบๆ เธอนั่งนิ่งมาจนถึงที่โรงพยาบาล เมฆาพาเธอขึ้นมาส่งบนห้องพักที่ปริมกำลังนอนอยู่ เขาตรวจเช็กอาการปริมจากชาร์ตคนไข้ก่อนจะเดินกลับออกไป“อ้าว หมอเมฆ พรุ่งนี้ off ไม่ใช่เหรอคะ ป่านนี้แล้ว มาทำอะไรคะเนี่ย” พยาบาลอาวุโสคนหนึ่งทักทายเขาด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นเขาเดินเข้าไปในวอร์ด“มาอาศัยนอนที่นี่สักคืนครับ”“มีอะไรหรือเปล่าคะ”“พอดีมีคนไข้ที่ผมพามาครับ เลยจะรอดูอาการก่อน”“คนพิเศษเหรอคะ” พยาบาลแซวเขา“พิเศษมากเลยครับ ฝากด้วยนะครับ ถ้ามีอะไรด่วนหรือฉุกเฉินตามผมด้วย”“ได้ค่ะ”“ขอบคุณครับ นอนก่อนนะครับ ล้ามาทั้งวัน”เมฆาเดินกลับเข้าห้องพักหมอไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง แต่เดิมเขาตั้งใจจะนอนพักแล้วค่อยตื่นไปดูปริมกับปรางค์ว
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ปรางค์วลัยก็เปิดประตูเข้าบ้านไปโดยไม่สนใจเมฆาเลยแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะเปิดประตูบ้านของตัวเองแล้วเอารถเข้าไปจอด ก่อนจะปิดล็อกประตูบ้านแล้วเตรียมตัวจะเข้าบ้าน แต่เมื่อประตูกำลังจะถูกเปิดก็ต้องชะงักเท้า เมื่อได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากทางบ้านของสาวน้อยที่เพิ่งเข้าไปในบ้านเมื่อสักครู่“หมอเมฆ แม่เป็นอะไรไม่รู้ เข้ามาดูหน่อยเร็ว!!!”ปรางค์วลัยที่กลับมาถึงก็ขึ้นไปบนบ้านแล้วเข้าไปในห้องของมารดา เหมือนเช่นทุกวัน แต่เมื่อเข้าไปก็เห็นว่ามารดานอนกองอยู่กับพื้นห้องจึงรีบวิ่งออกมาตามเมฆาให้เข้ามาดูเมฆาได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งออกไปโดยไม่สนใจประตูที่ไม่ได้ปิดเลยสักนิด ชายหนุ่มเปิดเข้าไปในบ้านของปรางค์วลัยด้วยความคุ้นเคย สายตาคมกวาดมองไปทั่ว เมื่อไม่เห็นร่างของหญิงเจ้าของบ้านผู้ใจดีก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นบน เขาตรงเข้าไปยังห้องที่ยังเปิดประตูค้างเอาไว้อยู่ตามสัญชาติญาณ“น้าปริม ได้ยินผมไหมครับ”“เมฆเหรอลูก”“ครับ น้าล้มไหมครับ ศีรษะกระแทกไหม”“น้ารู้สึกเหมือนน้าหายใจไม่ค่อยออก แล้วอยู่ๆก็วูบไปเลย”“เจ็บตรงไหนไหมครับ”“เจ็บศีรษะนิดหน่อย แต่น้าหายใจไม่ค่อยออก เหม
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ชมพูแพรถามเมื่อจับทั้งคู่แยกกันได้โดยมีเธอกับชยกรนั่งคั่นกลาง“ไม่มีอะไรหรอก” ปรางค์วลัยพูดตัดจบแล้วยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก“งั้นจบนะ จะตีกันก็ไปตีกันนอกรอบ” หญิงสาวตัวเล็กสรุปให้“อือ” ปรางค์วลัยส่งสายตามองเมฆาอย่างคาดโทษ“เออๆ จบก็จบ กลับบ้านเจอกัน ยัยปากจัด”“ไอ้หมอเมฆ” ชยกรเรียกเมฆาเสียงเข้มเมื่อเพื่อนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน“ครับ จบครับ” เมฆายอมเงียบเสียงลงแต่โดยดี“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” พศินเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับหนุ่มหล่อชาวต่างชาติ ก็แปลกใจเมื่อเห็นบรรยากาศบนโต๊ะที่ยังมีกลิ่นมาคุจึงหันไปถามชมพูแพร“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่หิ้วหนุ่มที่ไหนมาเนี่ย” ชมพูแพรถามพศินกลับพลางยิ้มรับผู้มาใหม่“เพื่อนใหม่จ้ะ รู้จักกันเมื่อกี๊เลย”“สวัสดีครับ ผมชื่อเบน”พศินบอกเพื่อนๆ พร้อมกับที่ชายหนุ่มตาน้ำข้าวผู้มาใหม่แนะนำตัวเอง แล้วจับมือกับชยกร เมื่อเขาทั้งคู่รู้จักกันดี“ยินดีต้อนรับกลับมา” ชยกรยิ้มทักทาย“ดีใจที่ได้กลับมา” เบนเองก็ยิ้มให้เขาเช่นกัน“รู้จักกันเหรอคะ” พศินถามทั้งสองคนสีหน้าแปลกใจ“เพื่อนกันตอนเรียนไฮสคูลครับ” ชยกรบอก คลายความสงสัยของทุกคน“เออ โลกกลมดีแหะ เดี๋ยวนะ ขอไล่เลียงห
“ดื่มอะไรสั่งกันเลยนะ วันนี้ผมเลี้ยงเอง เดี๋ยวเพื่อนผมตามมาสมทบอีกคนนะ ไปนั่งโต๊ะใหญ่หน่อยไหม” ชยกรยิ้มแล้วชี้ไปยังชุดโซฟาชุดใหญ่สำหรับหลายคน“ได้เลยค่ะ แล้วแต่เจ้ามือเลยค่ะ” พศินร้องวี้ดว้ายชอบใจชมพูแพรเบะปากอย่างหมั่นไส้ ก่อนที่เธอจะโดนคนตัวสูงโอบเอวจนแทบจะปลิวให้เดินตามเขาไปยังชุดโซฟาเมื่อมาถึงโซฟาชุดใหญ่ ทั้งสี่คนก็ทยอยนั่งลงพร้อมกับที่พนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามารับออเดอร์“ลงบัญชีฉันไว้” ชายหนุ่มสั่งลูกน้องเสียงเรียบนิ่งจนแม้แต่ชมพูแพรยังหันไปมองด้วยความแปลกใจหลังจากที่สั่งเครื่องดื่มและอาหารทานเล่นกันเสร็จเรียบร้อย พนักงานก็เดินออกไป พศินนั่งเหล่หนุ่มๆ ตาวาว ปรางค์วลัยถึงกับหัวเราะเพื่อน“ไม่เคยเห็นพี่หนึ่งเสียงดุแบบนั้น” ชมพูแพรพูดกับเขาด้วยความแปลกใจ“คนละบริบทไง เป็นหมอก็ต้องอีกแบบไหมล่ะ ถ้าดุ คนไข้ก็จะกลัว การรักษาหรือสอบถามอาการก็จะยาก แต่ถ้าอยู่ในบริบทเจ้านายจะใจดีนุ่มนวลแบบตอนเป็นหมอมากก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลูกน้องจะไม่เกรงใจ” ชยกรอธิบายให้หญิงสาวฟัง พร้อมกับดึงให้หญิงสาวขยับเข้ามานั่งข้างๆ วางแขนพาดบนไหล่บอบบางแสดงความเป็นเจ้าของ“โอ๊ย คุณหมอขา ยัยชมพูไม่หายหรอกค่ะ ไม่น่าจ
“ตูน เอาขนมไปให้บ้านนู้นหน่อย แม่ทำเผื่อเอาไว้”“ค่ะ”“อย่าลืมเอาเสื้อไปคืนพี่เมฆด้วยล่ะ”“ค่า”สาวน้อยวัยใสอายุ 13 ปี เธอเพิ่งขึ้นมัธยม บ้านของเธอเป็นบ้านแฝดในหมู่บ้านโครงการหนึ่ง บ้านของเธอกับเพื่อนบ้านมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน มารดาของเธอมักจะทำขนมหรือกับข้าวไปฝากเพื่อนบ้านเสมอ วันนี้ก็เช่นกัน ขนมเค้กหน้าตาน่ากินถูกจัดวางในจานสวยงาม มือเล็กหยิบจานกับเสื้อที่เตรียมเอาไว้ เปิดประตูเดินออกจากบ้านไปเพื่อไปยังบ้านติดกันปกติประตูบ้านจะไม่ได้ล็อก เพราะคุณป้าเจ้าของบ้านจะอยู่ตลอด แต่วันนี้กลับมีแม่กุญแจพวงใหญ่คล้องอยู่ เด็กสาวตั้งใจจะเดินกลับบ้าน แต่ก็ยังไม่ทันที่เธอจะได้ก้าวเท้าไปไหน ก็ต้องยืนตัวแข็งอยู่กับที่ เมื่อร่างสูงที่คุ้นตากำลังลงจากรถพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาดีที่น่าจะอยู่ในวัยเดียวกัน“อ้าว ยัยปลาการ์ตูน มาทำอะไร”“แม่ให้ตูนเอาขนมมาให้ป้าหมอน”“แม่ไม่อยู่ ไปต่างจังหวัด”“งั้นพี่เมฆก็เอาขนมไป ถ้าตูนถือกลับไปเดี๋ยวโดนแม่บ่น”“เออๆ กลับบ้านได้แล้ว วันนี้ไม่ต้องมาเล่นนะ”“อือ”ดวงตากลมโตมองใบหน้าพี่ชายข้างบ้าน สายตาทอแววน้อยใจลึกๆ แต่ก็พยักหน้ารับก่อนจะหมุนตัวเดินผ่านหน้าทั้งสองคนเพื่อจะกล







