“ดูพี่ใหญ่ไม่ชอบคนแคว้นฉินนะขอรับ”หลังจากเงียบกันมาพักหนึ่ง แม่ทัพหนุ่มจึงได้เอ่ยถามพี่ชายออกมา เมื่อเห็นว่าตอนนี้ พี่ชายคล้ายกำลังตกอยู่ในภวังค์ ที่หยั่งลึกอยู่ภายในใจ จนยากที่จะเอ่ยออกมาให้เขา หรือใครๆ รับรู้ได้ และเขาคิดว่ามัน ต้องเกี่ยวกับกลุ่มคน ที่พวกเขาต้องพบในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้ “ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้นเล่า” ต้วนอี้หลาง หันไปถามน้องชาย เมื่อสิ่งที่หยางอี้หลงพูดมา มันมีส่วนอยู่มากทีเดียว เขามิใช่ไม่ชอบชาวแคว้นฉิน มันแค่เฉพาะกับบางคนเท่านั้น “ข้าเห็นพี่ใหญ่ดูเหม่อลอยไปอยู่บ้างขอรับ อีกอย่างตั้งแต่พี่ใหญ่เข้ามารับช่วงต่อจากท่านพ่อ ดูแลสำนักคุ้มภัย และทำการค้า พี่ใหญ่ไม่เคยที่จะเดินทางไปทำการค้า ที่แคว้นฉินแม้แต่ครั้งเดียว” “มิใช่ทุกคนหรอกนะ ที่ข้าจงเกลียดจงชัง และข้าก้มองว่าแคว้นฉินไม่สงบพอ ที่เราจะเอาเงินไปเสี่ยงลงทุน มันจะได้ไม่คุ้มเสีย” ต้วนอี้หลาง ไม่ได้คิดที่อธิบายให้ยืดเยื้อ เขารู้ว่าแค่นี้น้องชายก็เข้าใจดีอยู่แล้ว เขาไม่อยากกลับไปเหยียบแผ่นดิน ที่ไม่มีคนรักเขาเลย และการค้าที่ไร้โอกาสสร้างผลกำไร ทำไมเขาต้องเอาเงินไปเสี่ยง เพรา
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าช่างน่าเอ็นดูนักเมี่ยวเมี่ยว ที่เมืองหลวงถึงจะมีฤดูหนาว แต่ก็มิเคยมีหิมะโปรยปราย ข้าจึงมิเคยได้สัมผัสมันสักครั้ง” มู่ไฉอ้าย หัวเราะน้อยๆ อย่างเอ็นดูในความซุกซน เมื่อครั้งยังเด็กของฉู่เมี่ยวและน้องสาวสามี ลึกๆ นางก็อยากมีโอกาสได้ใช้ชีวิต เล่นสนุกแบบคนทั่วๆ ไปบ้างแต่เพราะนางเกิดมาในครอบครัวใหญ่ ที่เต็มไปด้วยการช่วงชิง ทุกย่างก้าวล้วนต้องเหนือกว่าผู้อื่นเท่านั้น เหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ห้ามที่จะล้ม หาไม่แล้ว...ลมหายใจที่มีก็ยากจะรักษา “ข้าจะพาเจ้าได้สัมผัส เตรียมตัวเถอะ อีกไม่ไกลแล้ว” ต้วนอี้หลาง เห็นสายตาของภรรยาก็พอจะเข้าใจ ถึงความอ้างว้างของนาง เขาจดจำได้ว่าความรู้สึกเช่นนี้ มันร้าวลึกแค่ไหน ในชีวิตเดิมของเขา ที่เติบโตมาไร้ความรักจากมารดาและคำว่าลูกคนโต เขาต้องแบกทุกสิ่งอย่างไว้บนบ่า บางครั้งมันก็หนักจนเกินไป สำหรับคน...คนหนึ่ง ที่หายใจเข้าออกเพื่อคนอื่นมาทั้งชีวิต แต่ในชีวิตใหม่นี้ มันช่างแตกต่างนัก เขาเป็นบุตรชายคนโต ทว่าครอบครัว กลับไม่เคยปล่อยให้เขา ต้องแบกทุกสิ่งเพียงลำพัง และเขาก็จะไม่ปล่อยภรรยา ให้รู้สึกเช่นอดีตของเขาเหมือนกัน นางจะอบ
“ข้าเต็มใจเจ้าค่ะ” ฉู่เมี่ยวเอ่ยออกมา ก่อนจะหันไปสาละวนกับกล่องไม้ข้างกาย ปล่อยให้พี่สะใภ้เอนกายลงนอน และใช้เวลาเพียงไม่นอน มู่ไฉอ้ายก็ผล็อยหลับไป กึก! กึก! หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อรถม้าที่เคยวิ่งอย่างนิ่มนวล เวลานี้มันเหมือนวิ่งขึ้นลง ตามร่องหลุมลึกตื้นสลับไปมา หญิงสาวขยับลุกขึ้น ก่อนจะคลี่ม่านออกมองไปด้านนอก ภาพภายนอกหากจะว่างดงามมากก็ไม่ผิด ทว่านางก็ไม่ควรที่จะมองนาน เพราะมันขาวโพลนไปด้วยหิมะ นางกำลังขึ้นเขาหรือนี่ เร็วเกินไปไหม...หรือนางหลับไปนานกันแน่ “พี่สะใภ้ตื่นแล้วหรือเจ้าค่ะ” ฉู่เมี่ยวที่เพิ่งขยับลุกขึ้น เอ่ยถามพี่สะใภ้ หญิงสาวยกมือปิดปากหาว นางคุ้นชินต่อการเดินทางไกล ถนนเบื้องหน้าจะขรุขระหรือราบเรียบ สำหรับนางล้วนสามารถหลับได้สนิทดี แต่กับพี่สะใภ้คงไม่เป็นเช่นนั้นกระมัง “เราหลับไปนานหรืออย่างไร ข้าจำได้ว่าภูเขาที่เราต้องขึ้น มันอยู่ไกลมากมิใช่หรือ” “หากกะระยะด้วยสายตา มันจะแบบนั้นเจ้าค่ะ แต่แท้จริงแล้วตีนเขานั้น ห่างจากทุ่งหญ้าไม่ไกลนักเจ้าค่ะ” “เจ้าเคยมาทิศเหนือบ่อยหรือ” “สมัยที่ท่านแม่ทั
ชายหนุ่มรับจานที่มีน่องไก่ชิ้นโตวางอยู่ ก่อนจะส่งสายตายั่วเย้าไปที่ภรรยา ราวกับเวลานี้ รอบกายไร้ผู้คนอยู่ร่วมกับทั้งคู่ นั่นทำให้แม่ทัพหนุ่มเบะปากอย่างเบื่อหน่าย ในความหวานของคู่แต่งงานใหม่ อยู่บ้านก็เป็นพ่อแม่ออกมาไกลถึงแดนเหนือ ยังไม่พ้นเงาของพ่อแม่ในตัวพี่ชายกับพี่สะใภ้อีก ช่างเป็นกรรมของคนที่หมั้นแต่ยังไม่ได้แต่งแบบเขา ที่ทำสิ่งใดก็ต้องคำนึงถึงหน้าตา ของว่าที่ภรรยาเอาไว้ให้มาก การกินมื้อเที่ยงและพักผ่อน เป็นไปอย่างครื้นเครง เหมือนครอบครัวขนาดใหญ่ ออกมาท่องเที่ยวพักผ่อนกินอาหารนอกบ้านอย่างไรอย่างนั้น มิว่านายบ่าว ล้วนหยอกเย้ากันเสมือนสหายรู้ใจก่อนที่การเดินทางจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง สองพี่น้องเหวี่ยงกายขึ้นบนหลังม้า โดยมีหมวกปีกกว้างสวมเอาไว้ทั้งคู่ ก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป มุ่งสู่เมืองหน้าด่านแดนเหนือ จุดหมายสำคัญในการเดินทางไกลครั้งนี้ “พี่สะใภ้นอนพักก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ต่อจากนี้จะเป็นภูเขาคดเคี้ยวนัก ข้าเกรงว่าเวลานั้น จะทำให้หลับได้ยากสักหน่อยเจ้าค่ะ” ฉู่เมี่ยว ผู้ที่มักจะได้เดินทางไกลอยู่บ่อยครั้ง รีบบอกกับพี่สะใภ้ ด้วยเกรงว่าหากนอนหลับในช่วงที่ขึ้นเขา จะ
“ข้ามั่นใจว่านางจะไม่กังวล ดูอย่างท่านแม่ของเราสิ ต่างจากท่านพ่อมากนักเรื่องลูก นางรักพวกเราสี่คนพี่น้องมาก แต่นางจะไม่แสดงออกใดๆ และเลือกลงมืออย่างรอบคอบ ต่างจากท่านพ่อลงมือพร้อมกับอาการตื่นตระหนกตลอด แบบท่านในตอนนี้เลย หึๆ” แม่ทัพหนุ่มได้ทีเย้าพี่ชาย หากจะว่ากันตามความเป็นจริง เขาเองก็ทั้งตื่นเต้นและกังวลใจไม่แพ้กัน เพราะหนทางข้างหน้า ยากจะบอกได้ว่ามันจะราบลื่น หรืออุปสรรคมากน้อยแค่ไหน “ท่านแม่กับพวกเรา ผ่านสิ่งใดมาบ้างเล่า แต่นางผ่านเพียงเรื่องของเจ้าในอดีต เรื่องกินอยู่หรือก็ล้วนสุขสบาย” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยออกมาตามสิ่งที่เห็น ภรรยานั้นมีเพียงสิ่งสะเทือนใจเดียว คือการตายขององค์ชายเก้า ส่วนเรื่องความเป็นอยู่ นางล้วนเหนือกว่าพวกเขาพี่น้องหลายเท่านักแม้ตอนตื่นมาพวกเขา จะกลายเป็นหลานของสกุลต้วนเลย ทว่าเวลานั้นใช่ว่าท่านตาจะมั่งมีมากมาย และที่บิดาเลี้ยงยินยอมมาคุ้มกันมารดากับพวกเขา เพราะคำว่าบุญคุณต้องทดแทน ที่มีต่อท่านตาเท่านั้นเงินทองที่มีต่อจากนั้น ล้วนได้สติปัญญาทางการค้าของมารดา เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาทั้งสิ้น ก่อนจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อสะสางความค้างคาต่
“ห่วงสิ! แต่ถ้าพวกเขาออกเดินทางต่อได้ นั่นแสดงว่ายังปลอดภัยดี อีกอย่างเราไปถึง ย่อมต้องมีเรื่องให้สะสางเสียก่อน เสร็จสิ้นเมื่อใด จึงจะติดตามพวกนางไปได้ ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าเองก็ต้องพักผ่อนให้มาก ถึงอาการบาดเจ็บจะดีขึ้นแล้ว แต่ใช่ว่าจะหายดีเสียเมื่อไหร่” ชายหนุ่มโอบไหล่ภรรยา ให้เข้ามาแนบกาย เขาผิดที่ไม่ระวังในบางเรื่องให้มาก หากมันเกิดขึ้นจริง เขาไม่รู้จะแบกหน้าหนาเพียงใด ไปขอโทษต่อพ่อตา และพ่อแม่ของเขา ในเรื่องนี้อย่างไร หากมีการสูญเสียสิ่งนั้นไป เขาควรระวัง...แต่เพราะยามนั้น เขารู้สึกอยากให้นางได้ทุกอย่างที่เป็นของเขา โดยลืมไปว่ากำลังเดินทางไกลทั้งยังใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย “ท่านพี่เป็นอันใดไปเจ้าคะ”เมื่อเห็นสามีถอนหายใจหนักๆ หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้น เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “แค่ห่วงเจ้าเท่านั้น” ต้วนอี้หลางตอบภรรยา ก่อนจะหันไปสบตากับน้องชาย ที่ดูเหมือนจับจ้องทุกสีหน้าของเขาไม่ละไหน “เจ้าไปเตรียมของกินเพิ่มด้วย เผื่อสาวๆ จะหิวระหว่างทาง สั่งคนบุผ้าภายในรอบม้า ให้หนาขึ้นอีกชั้น อากาศนับจากนี้จะหนาวเย็นมากนัก” ต้วนอี้หลางถื