“เสด็จแม่!” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดต่อกันอีก เสียงเรียกจากด้านนอกดังแทรกขึ้นเสียก่อน ทำให้สองร่างที่ใกล้ชิดกัน ต้องขยับถอยออกห่าง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกัน กับที่องค์ชายมู่เฉวียนก้าวพ้นประตูห้องเข้ามาด้านใน “เจ้าเรียกแม่เสียงดัง มีอะไรอย่างนั้นหรือ” พระนางกุ้ยเฟยเอ่ยถามพระโอรสออกไป ทั้งที่ทรงดูดีแก่ใจว่าสิ่งที่ทำให้ลูกของนาง ดูแตกตื่นเช่นนี้คือเรื่องใด “ทรงคิดดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ที่จะทำเช่นนี้” “หากข้าไม่คิดดีแล้ว มีหรือจะอาจหาญลงมือ เจ้าอย่าได้ทำท่าทางตื่นตระหนกให้มากไปเลย ทำตัวให้สูงส่งเด็ดขาดเข้าไว้ ยามอยู่ต่อหน้าขุนนาง จะได้ไม่ถูกมองว่าอ่อนแอ” หรูกุ้ยเฟย สั่งสอนโอรสให้รู้คิด หากไม่ลงมือวันนี้ วันหน้าก็ต้องลงมืออยู่ดี ดังนั้นจะช้าหรือเร็ว สุดท้ายนางก็ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้นางและลูกมีจุดยืน “องค์ชาย น้ำชาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มรีบยกน้ำชา มาถวายองค์ชายด้วยท่าทีนอบน้อม เช่นที่เคยทำในทุกๆ วัน ซึ่งเขาไม่ได้คิดขุ่นเคือง ที่ถูกสายตามองเมินนั้นจากองค์ชายเลยแม้แต่น้อย “แล้วเสด็จพ่อเล่าพ่ะย่ะค่ะ เราจะบอกแก่ขุนนาง
วังหลวง ณ ตำหนักหลวง ภายในห้องบรรทม ร่างสูงใหญ่ของชายชรา นอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนอันกว้างขวาง โดยมีสตรีผู้อ่อนเยาว์กว่าเจ้าของตำหนักหลายปี นั่งอยู่ขอบเตียง หญิงสาวนางใช้นิ้วเรียวเล็ก ไล้ไปตามกรอบหน้าที่ยังคงความหล่อเหลา เช่นตอนเมื่อครั้งยังหนุ่มราวกับอยากย้อนเวลาของเจ้าของร่าง ให้กลับไปหนุ่มแน่นอีกครั้ง นางสละวัยสาวที่ควรได้พบกับชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกัน เพื่อมาคอยปรนนิบัติ ชายผู้อายุใกล้เคียงกับบิดา มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย “ฝ่าบาทไม่น่ามองข้าม หม่อมฉันกับลูกเลยนะเพคะ ไม่อย่างนั้นมีหรือหม่อมฉัน จะต้องทำแบบนี้กับพระองค์ หึๆ ความสาวของหม่อมฉัน พระองค์ได้มันไปเป็นคนแรก แล้วแบบนี้จะทรงขุ่นเคืองหม่อมฉันไปทำไมกันเพคะ กับการที่หม่อมฉันจะมีสิ่งช่วยสร้างความสุขเพิ่มเติม” พระนางหรูกุ้ยเฟย ผู้เป็นสนมคนโปรดในขณะนี้ เอ่ยกับพระสวามีด้วยน้ำเสียงกึ่งเยาะหยัน นางที่ยังเป็นเพียงสาวน้อยเมื่อครั้งนั้น ต้องถูกส่งเข้าวัง เพื่อเป็นสนมของฮ่องเต้ หลังจากมีการกวาดล้างกบฏเมื่อสิบห้าปีก่อน นางที่ยังสาวได้รับการโปรดปราณ และก้าวสู่ตำแหน่งเฟยในเวลาเพียงไม่กี่ปี หลังจากที่ให้กำเน
เมืองหลวง แคว้นจ้าว ณ สกุลเจียง เพล้ง! อี้หรูถึงกับยืนนิ่งค้าง เมื่อรูปปั้นหยกที่บุตรชายคนรอง นำมามอบให้เมื่อต้นปี ร่วงหลุดลงจากชั้นวาง ทั้งที่นางยังมิได้เดินเข้าเฉียดใกล้เลยแม้แต่น้อย “ฮูหยิน เป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ข้างกายรีบวิ่งเข้ามาดูผู้เป็นนาย ที่ยังกำผ้าสำหรับเช็ดทำความสะอาดเอาไว้แน่น ใบหน้านั้นซีดเผือด ราวไร้เลือดไหลเวียน ดวงตาจับจ้องไปยังรูปปั้นที่แตกกระจาย ล้วนเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ยิ่งมอง...ใจของนาง ก็เหมือนจะถูกดึงหาย ออกไปจากอกอย่างไรอย่างนั้น “นายท่านอยู่ที่ใดหรือ” อี้หรูถามหาสามี เวลานี้นางอยากแน่ใจ ว่าทุกอย่างในแดนเหนือยังคงปกติดีอยู่ คนของสามีติดตามขึ้นไปหาลูกๆ ได้อย่างทันท่วงทีหรือไม่ นี่ก็กว่าครึ่งเดือนแล้ว ที่ไร้ข่าวคราวของสี่พี่น้อง “นายท่านอยู่ในห้องหนังสือเจ้าค่ะ ฮูหยินรอตรงนี้สักครู่นะเจ้าคะ บ่าวจะเรียนนายท่านก่อนเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบประคองผู้เป็นนายหญิง ให้นั่งลงพักรอก่อน แล้วจึงรีบวิ่งออกจากห้องไปด้วยความร้อนใจ “ลูกแม่...พวกเจ้าอย่าทำให้แม่กลัวได้หรือไม่” อี้หรูลุกขึ้นจากเก้า
“ม่อเหลียว...แม่ไม่ได้ตั้งใจคิดเช่นนั้นต่อนางเลย เรื่องนี้เอาไว้คุยกัน หลังจากที่เรากลับคืนสู่อำนาจเถอะนะ!” ชู่จิน จำต้องอ่อนให้บุตรชายก่อน ความห่างกันตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้นางกับลูกห่างเหินกันไม่น้อย หากจะแข็งขืนต่อเขาในตอนนี้ มิต่างจากนางลงมือหักไม้แก่ที่ยากจะดัดตามใจนาง “ทุกอย่างข้าจะรอให้ใครบางคนมาถึงเสียก่อน เมื่อนั้นข้าจะตัดสินใจเอง ว่าจะอย่างไร ที่ข้ามาที่นี่ ก็เพราะคุณหนูสามต้องการให้ข้าสะสางปัญหาให้จบสิ้น เพื่อข้าจะได้อยู่ข้างๆ นางไปตลอดชีวิต ข้าจึงยินยอมมาที่นี่ หาไม่แล้ว...ข้าไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย ที่จะมายังความวุ่นวายนี้” ราวกับระเบิดเวลาก็มิปาน ทุกคำของชายหนุ่มไม่มีตรงไหน เรียกว่าอ่อนโยน เช่นตอนที่อยู่กับพี่น้องเจียง หรือแม้แต่กับชายชราและผู้ติดตามแซ่อู๋ ม่อเหลียวมอบรอยยิ้ม ความอบอุ่นแก่คนเหล่านั้น แต่กับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด เขากลับเย็นชา และตอนนี้เขาไม่มีทีท่าจะให้ความยำเกรงเลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ความแตกแยกคงหยั่งรากลึก จนยากที่จะสมานคืนกันได้อีก หนานเผิงจำต้องนั่งลง แล้วเบนหน้าไปทางอื่นเสีย เพราะยิ่งพูดบุตรชายก็ยิ่งปะทุอารมณ์ออกมาไม่มีที
อู๋หยางไม่คิดที่จะใส่ใจ เพราะเขารู้ดีว่าทุกก้าว นับตั้งแต่มาถึงแคว้นหนาน พวกเขาล้วนถูกจับตามองมาตลอด ขอแค่อย่าได้คิดแตะต้องนายของเขาเท่านั้น เรื่องอื่นเขาไม่คิดที่จะใส่ใจ อู๋หยางก้าวตรงไปยังห้องนอนของคุณชายน้อย ปล่อยให้เงาร่างที่ซ่อนตัวอยู่ จับตามองความเคลื่อนไหวได้ตามสบาย คล้อยหลังผู้ที่ออกจากห้องไปเมื่อครู่ ชายผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินหนาน ได้ก้าวออกมาจากความมืด ก่อนจะจับจ้องไปยังหน้าประตูห้อง ที่เพิ่งปิดลงด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขาต้องใช้วิธีใดกัน เพื่อจะดึงใจบุตรชาย ให้กลับมาอยู่เคียงข้าง อีกทั้งเขาไม่ต้องการให้บุตรชาย มีคนต่างแคว้นมาอยู่ร่วมเรือน เพราะมันยากต่อการควบคุม “เรียนนายท่าน ทางนั้นส่งข่าวมาแล้วขอรับ” ทว่าเพียงครู่เดียว ได้มีใครอีกคนปรากฏตัวขึ้น พร้อมรายงานสิ่งที่เขาสั่งให้ไปสืบเสาะมา ถึงตัวตนของพี่น้องเจียง “ตามนายหญิง ให้ไปพบข้าที่ห้องหนังสือ” สั่งการเสร็จชายผู้นั้นก็ก้าวหายไปในความมืด เพื่อไปรอภรรยายังห้องหนังสือ “ท่านพี่” ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป ชู่จินก็มาถึงห้องหนังสือ ร่างที่ยังคงความงาม ป
ชายหนุ่มยื่นส่งคุณชายน้อย ให้แก่มารดาเพื่อพาไปนอนพัก ส่วนตัวเขาหลังจากมอบเด็กชายให้แก่พ่อแม่แล้ว เขาก็รีบไปที่เตียงนอน ก่อนจะช้อนอุ้มร่างสิ้นสติของคุณหนูสาม ขึ้นสู่อ้อมแขนแกร่ง ชายหนุ่มก้าวตามอู๋หยางและชายชราไป ทั้งหมดเดินมาถึงห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ที่ใส่น้ำอุ่นพอดีแช่ และยังมีสมุนไพรหลายตัวที่ถูกเทลงไปในน้ำ ชายหนุ่มยืนนิ่งให้อู๋หยางช่วยถอดรองเท้า ก่อนที่เขาจะล้างเท้าตนเองจนสะอาด แล้วอุ้มร่างสิ้นสตินั้นลงไปนั่งลงแช่ในอ่าง โดยไม่ให้ร่างกายของนาง สัมผัสส่วนล่างของเขา เพื่อมิให้เป็นการเสื่อมเกียรติของนาง “ท่านลุงอู๋ ช่วยสังเกตดูเหยี่ยวของข้าด้วยนะขอรับ” ชายหนุ่มบอกแก่อู๋หยาง ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เขาทำผิดที่ทิ้งนายไว้ข้างหลัง แล้ววิ่งติดตามหัวใจมาก่อน จากสภาพของคนในอ้อมแขน มันทำให้หัวใจของเขาเจ็บร้าวด้วยความรู้สึกผิดยิ่งนัก “เจ้าอย่าได้กังวลไป อาจเป็นเพราะคุณหนูบาดเจ็บมาหลายครั้ง ในเวลาสั้นๆ นางอาจจะยังไม่หายดีก็เป็นได้” อู๋หยางเหมือนจะปลอบใจชายหนุ่ม แต่จริงๆ แล้วเขากำลังปลอบใจตนเองอยู่เสียมากกว่า เขาดูแลฝา