ชายแดนเหนือ หุบเขาพิษ เจียงอี้หยาง ข่มกลั้นความหวาดกลัว เพื่อที่จะนำผลไม้ที่หามาได้ กลับไปให้พี่สาวกับท่านปู่ฮั่ว และท่านลุงอู๋ เพราะเขาคนเดียวที่ทำให้ทุกคน ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เด็กชายรู้สึกได้ ถึงสายตาที่กำลังจับจ้องเขาอยู่ แม้ว่าเขาจะผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่ถ้าเทียบกับพี่ๆ ทั้งสามแล้ว เขายังห่างชั้นอยู่มากนัก หากพี่สาวไม่เอาร่างกายปกป้องเขา นางคงไม่บาดเจ็บ เมื่อนึกถึงตรงนี้ น้ำตาก็พลันไหลพราก ด้วยความเสียใจ ที่ตัวเขาคือต้นเหตุทั้งหมด กรร!!! เสียงขู่จากรอบทิศ ทำให้เจียงอี้หยาง ถึงกับสั่นเทาไปทั้งกาย สุดท้ายแล้ว...เขาก็ยังเป็นตัวถ่วงของทุกคนอยู่ดี แต่ถ้าเขาต้องรอให้คนเจ็บทั้งสาม ตื่นมาหาของกินก็คงมืดค่ำเสียก่อน เจียงอี้หยาง พยายามมองตรงไปเบื้องหน้า เพื่อมิให้สิ่งที่กำลังข่มขวัญเขาอยู่ จู่โจมเข้ามาในตอนนี้ เขาคือน้องชายของสามแฝด ผู้เก่งกาจแห่งแดนตะวันออก แค่นี้จะผ่านไปไม่ได้เชียวหรือ! แก๊ก! เสียงกิ่งไม้หัก ทำให้เด็กชายยืนตัวแข็งทื่อ ราวกับขาของเขากลายเป็นหินไปเสียอย่างนั้น ดวงตาที่พร่ามัวจากม่านน้ำตา มิอาจปกปิดแววหวาดหวั่นใ
“คุณชายใหญ่ คุณชายรอง” ฉู่เมี่ยวเองก็รู้เรื่องนี้ดี อาการเจ็บปวดของนายทั้งสอง นับว่ารุนแรงกว่าทุกครั้ง ดูได้จากใบหน้าที่เริ่มขาวซีด คุณหนูสามกำลังตกอยู่ในอันตราย... “พวกเจ้าเป็นอะไรไป หมอล่ะ! หมออยู่ในคณะของเรามีมิใช่หรือ!” ไฉอ้ายเอ่ยถามสามี และน้องชายของเขา ด้วยความแตกตื่น ยิ่งเห็นใบหน้าของทั้งสอง เริ่มไร้สีเลือด ความดื้อรั้นที่มีมาตลอด พลันเลือนหายไป กลายเป็นความห่วงใยเข้ามาแทนที่ “ไม่เป็นไร...เจ้าอย่าได้กังวล” มือที่ยังสั่นระริก ด้วยความเจ็บปวด ยกขึ้นวางทาบข้างแก้มของภรรยา เพื่อปลอบโยน ชายหนุ่มพยายามสูดลมหายใจ ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าทุกการหายใจเข้า มันเสียดแทงไปทั้งอก ราวมีดนับหมื่นเล่มแทงทะลุงไปในจุดเดียว น้องน้อยของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ครานี้นางต้องพบชะตากรรมที่ร้ายแรงเป็นแน่ มันมิเคยเจ็บเจียนตายเช่นนี้มาก่อนเลย อี้หลิงเจ้าอย่าทำให้พี่กลัว... “ดื่มชาสักหน่อยไหม เผื่อมันจะดีขึ้น” อาการแตกตื่น จนเหมือนควบคุมตนเองไม่ได้ ของหญิงสาวทำให้ต้วนอี้หลาง ปีติในใจยิ่งนัก ทว่าเวลานี้ เขาคงไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
“อี้หยาง ผงราตรี...” น้ำเสียงแหบโหยเอ่ยอยู่กับอกของน้องชาย ไม่มีคำถามใดๆ จากปากของเจียงอี้หยาง เด็กชายทำเพียง ล้วงเอากล่องไม้ขนาดเท่าฝ่ามือ ออกมาจากอกเสื้อ โดยที่สายตาของเขา มิได้ละไปจากคนทั้งคู่ ที่กำลังยืนหยั่งเชิงกันอยู่เบื้องหน้า เขามีพี่ชายที่เป็นแม่ทัพ แน่นอนว่าต้องเคยผ่านประสบการณ์ที่ตกอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยเป็นน้องคนเล็ก พี่ชายพี่สาว จึงมักยินยอมให้เขาติดตามไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เช่นในครั้งนี้ ที่เขาติดตามพี่สาวมา “พี่สามอดทนอีกนิดนะขอรับ” อี้หยางเอ่ยปลอบพี่สาว เขามิอาจบอกได้ ว่าครั้งนี้จะพากันรอดไปได้หรือไม่ แต่หากไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไรเล่า เด็กชายเปิดกล่องไม้เทก้อนกลมๆ ในนั้นออกมาจากหมด เขาก้มลงมองพี่สาวอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยนางให้นอนอยู่กับหมาป่าตัวใหญ่ ส่วนตนเองลุกขึ้นยืน แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ไอสังหารที่คนทั้งสอง ปลดปล่อยออกมานั้นมันทำให้เขา แทบจะก้าวเท้าไม่ออกเลยทีเดียว มันรุนแรงเกินกว่าเด็กเช่นเขาจะต้านทาน แต่เพื่อชีวิตรอด เขาจะพ่ายต่อมันมิได้เป็นอันขาด “พี่ชาย” เจียงอี้หยางเร
เจียงอี้หลิง ที่อยู่บนหลังของเสี่ยวไป๋ เริ่มที่จะมีเลือดไหลซึมออกจากมุมปาก นางต้องอดทนอีกนิด...แค่นิดเดียวเท่านั้น ก็ถึงที่หมายแล้ว ด้วยพลังของสวี่เทียน พิษสลายพลัง คงใช้กับเขาได้ไม่เกินสามชั่วยามเท่านั้น เสียงคำรามในลำคอของเสี่ยวไป๋ ทำให้หญิงสาวถึงกับน้ำตาซึม มันกำลังกลัว...กลัวว่านางจะจากมันไปอีกครั้ง กึก! อวี๋มู่หลงหยุดเท้าอย่างกะทันหัน เมื่อเสี่ยวไป๋หยุดอยู่ขอบผาสูงชัน ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ข้างเสี่ยวไป๋ แล้วหันมองคนบนหลังของมัน ด้วยสายตามีคำถาม “พี่สาม” อี้หยางที่เอี้ยวใบหน้ามองพี่สาว ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ ทว่าเรียวปากที่มีเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ กลับคลี่ออกน้อยๆ เช่นทุกครั้ง ที่ผู้เป็นพี่ต้องการให้เขาคลายกังวล “เจ้าตามข้ามานี่” หญิงสาวไม่ได้พูดกับน้องชาย แต่เอ่ยกับชายหนุ่ม ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบายิ่งนัก มือของนางตบบนตัวเสี่ยวไป๋เบาๆ หมาป่าตัวใหญ่เบนหน้าออกจากผาสูง ก้าวตรงไปยังต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่อยู่ขอบผาอีกด้าน ซึ่งมีหินก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้างกองอยู่รอบๆ เสี่ยวไป๋เหมือนรู้ถึงความต้องการของผู้เป็นนาย มันเดินไปหยุดยังหินก้
“ตกลง!” เมื่อทบทวนตามคำพูดของสหาย เจ้าของร้านจึงรับคำอย่างเสียไม่ได้ ในเมื่อก้าวเท้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะถอยหรือก็ยากอยู่ ทั้งคู่จึงวางแผนให้รัดกุมขึ้น ด้วยเป้าหมายท่าทางมิใช่คนไร้ฝีมือ “คุณชายนี่คือซุบไก่ ข้าน้อยเพิ่มให้ไม่คิดเงินขอรับ เอ่อ...อย่าได้คิดเป็นอื่นนะขอรับ พอดีข้าน้อยเห็นอาหารของคุณชายมีแต่ผัดขอรับ” ม่อเหลียว เหลือบตาขึ้นมองเจ้าของร้าน ที่ยกถ้วยน้ำแกง มาวางอยู่ต่อหน้าเขา ด้วยท่าทางของคนมีน้ำใจ และไม่ลืมที่จะชี้แจงกับชายหนุ่ม ถึงสาเหตุของน้ำใจในครั้งนี้ ชายหนุ่มยกถ้วยน้ำแกงขึ้นดื่ม โดยไม่ได้แสดงอาการแคลงใจใดๆ เขาเองก็ไม่อยากเสียเวลามากนัก แต่ถ้ายืดเยื้อมากไปการเดินทางก็ย่อมต้องล่าช้า แค่ยาพิษทั่วๆ ไป มันมิคณามือเขาสักนิด ชายหนุ่มดื่มน้ำแกงจนหมดถ้วย ก่อนจะกินอาหารอย่างอื่นต่อด้วยอาการปกติ จนผักชิ้นสุดท้ายถูกกลืนลงท้อง เขาจึงกวักมือเรียกให้เสี่ยวเอ้อมาคิดเงิน ทุกอย่างตกอยู่ในสายตาเจ้าของร้าน และอีกคนที่เฝ้ามองอยู่ไม่ไกล หลังจากจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย ร่างสูงลุกขึ้นเดินออกจากร้านไป เพื่อเดินทางต่อ สิ่งแรกที่เขา
เจ้าของร้านทำได้เพียง กลืนเหล้าลงคอ แม้ไม่เต็มใจแต่เขาก็ยากจะหลีกเลี่ยง มันคือการฆ่าที่อมหิตเหลือเกิน สู้สังหารเขาในคราเดียวยังจะดีกว่า สุราทำให้เลือดไหลเร็วขึ้น บาดแผลของเขาย่อมยากจะหยุดยั้ง มิให้เลือดชะลอตัวได้อีกต่อไป ใบหน้าที่แดงก่ำจากการสำลักสุรา มิได้ทำให้ชายหนุ่มหยุดมือแม้แต่น้อย มือหนาที่แข็งราวเหล็กกล้า ยังคงบีบกรามของเขาเอาไว้แน่น “ข้าปราณีเจ้ามากแล้ว” ตุบ! ร่างเจ้าของร้าน ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ด้วยอาการมึนงง จากการดื่มสุรา ม่อเหลียวไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ชายหนุ่มหมุนกายเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้โจรในคราบพ่อค้า จมอยู่กับกองเลือดเพียงลำพัง เพราะอย่างไรเสีย มิช้าคนผู้นี้ก็ตามสหายไป ชายหนุ่มเดินไปที่ม้าคู่ใจ ก่อนจะปลดสายจูงที่ผูกกับเสาออก แล้วเหวี่ยงกายขึ้นไปนั่งอย่างสง่า โดยไม่ลืมที่จะป้อนขนมให้แก่มันอีกหลายชิ้น “เราจะไปหาคุณหนูกัน ยามห่างตาข้าเจ้าต้องระวังตัวให้มากรู้หรือไม่อาหู” ฮี่! ฮี่! เป็นการตอบรับอย่างรู้ใจกัน ชายหนุ่มตบลงบนแผงคอของอาหูเบาๆ เท่านั้นเองอาชาแสนรู้ ก็พานายของมันก้าวออกจากจุดพักม้า ที่เป็นฉากหนึ่งของรังโจร
เส้นทางสู่แดนเหนือ ณ คณะของต้วนอี้หลาง บ่ายคล้อยแล้ว ต้วนอี้หลางจึงให้คนจัดตั้งที่พัก คืนนี้เป็นอีกคืนที่พวกเขา ต้องพักกันในป่ามิได้พักตามโรงเตี๊ยม ด้วยเร่งรีบติดตามม่อเหลียว ที่คงล่วงหน้าไปไกลมากแล้ว อีกเพียงไม่ถึงสามวัน พวกเขาก็จะเข้าสู่เขตแดนเหนือของแคว้น และนับว่าโชคดีนัก ที่การเดินทางในช่วงนี้ไม่มีหิมะตก อากาศจะไม่รุนแรงเท่าใดนัก สำหรับเขาที่ทำทั้งการค้า และสำนักคุ้มกันสินค้า ย่อมคุ้นชินต่อทุกสภาพอากาศ ด้วยเดินทางทั้งใน และนอกแคว้นอยู่เป็นนิจ ต่างกับภรรยาและฉู่เมี่ยว ซึ่งอากาศหนาวจนติดลบ คงไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเท่าใดนักสำหรับพวกนาง “เหนื่อยหรือไม่” หลังจากเดินสำรวจจุดพักเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มได้เดินกลับมาหาภรรยา ที่ยืนอยู่กับสาวใช้ของนาง ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือองครักษ์ของนางนั่นเอง “ไม่เลย...แต่เจ้าเล่า หายหรือยัง” หญิงสาวถามสามี อย่างไร้จริตของสตรี ที่เติบโตมากับการช่วงชิงอำนาจ หรือเพราะเขาไร้อำนาจให้ต้องช่วงชิง นางเลยถามเขาอย่างไม่ต้องแต่งเติมเสริมคำ “ดีขึ้นมากแล้ว น้องสามอาจเจ็บหนักจริง แต่นางยังมีชีวิตคง
“แล้วทำไมท่านไม่บอกข้า! หรือท่านพี่คิดว่าข้ามิน่าไว้วางใจ” ใบหน้าที่ยังแสดงความสงสัยเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นงอง้ำอีกครั้ง เมื่อนึกถึงความไม่วางใจในตัวนาง ทว่าคนถูกตำหนิกลับยิ้มระรื่น เพราะคำเรียกแทนตัวเขา ที่ภรรยาใช้มันเปลี่ยนไปแล้ว “ภรรยา...ข้ายังไม่สบโอกาสที่จะบอกเจ้า หรือเจ้าคิดว่าตลอดการเดินทาง เราไม่มีหนอนติดตามหรือ” ชายหนุ่มคว้ามือบาง มากุมไว้พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และไม่คิดถือสา ต่ออาการกระฟัดกระเฟียดของนาง “เรามิใช่ไปตามหาน้องๆ ท่านหรอกหรือ” “นั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคืองานของอี้หลง” “ท่านพ่อไยใจร้ายต่อข้านัก ใช้งานพวกท่าน ทั้งที่ข้ายังมิทัน...เอ่อ เข้าพิธีอย่างสมเกียรติ” หญิงสาวแก้ตัวไปอย่างนั้น ทว่าใบหน้ากลับแดงก่ำ เมื่อนึกถึงคำที่นางเว้นไว้เมื่อครู่ นางเป็นสตรีจะร่ำร้องหาการเข้าหอได้อย่างไรกัน “ท่านพ่อตาเริ่มชรามากแล้ว ย่อมต้องสร้างรากฐานที่มั่นคง ให้แก่ทายาทคนต่อไป รวมถึงตัวเจ้าด้วยภรรยา ท่านพ่อตาห่วงใยเจ้ายิ่งนัก” “ท่านพี่คิดเช่นนั้นหรือ!” หญิงสาวเอ่ยถามสามี ด้วยแววตาหม่นแสงลงเล็ก
สองชั่วยามต่อมา ณ เรือนฉินชวง หลังจากบทรักรันเร่าร้อนสิ้นสุดลง สวี่เทียนได้ผล็อยหลับไป ด้วยความอ่อนเพลีย ต่างจากเจ้าของเรือน ที่ตอนนี้ดวงตาคู่งาม นิ่งค้างและดุกร้าว เสมือนรสรักเมื่อครู่ ไม่ได้ทำให้นางสุขสมกับมันแม้แต่น้อยร่างระหงลุกขึ้นนั่งริมขอบเตียง ก่อนจะชำเลืองมองสามี ด้วยแววตาเย็นชา นับตั้งแต่เขาเมินเฉยต่อลูกๆ ของนาง เขาก็ไม่ได้มีค่าใดในหัวใจของนางอีกต่อไปเมื่อใดที่บุตรชายของนาง ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจ สะพานผุพังนี้ นางก็พร้อมทำลายทิ้ง โดยไม่คิดลังเลให้เสียเวลาแม้แต่น้อย “เป็นท่านที่เลือกปล่อยมือข้ากับลูกเอง นับจากนี้เกิดสิ่งใดขึ้น ก็อย่าได้โทษข้าสามแม่ลูกก็แล้วกัน” ฉินชวงเอ่ยกับร่างที่หลับสนิท ด้วยน้ำเสียงไม่แยแสต่อคำว่าคนรัก ร่างงามลุกขึ้นก้าวตรงไปยังกองเสื้อผ้าของสามี ก่อนจะลงมือค้นหาสิ่งที่นางต้องการอย่างเร่งร้อนด้วยเกรงว่าหากชักช้าไป บุตรชายหญิงของนาง อาจตกอยู่ในอันตรายจนอยากจะช่วยได้ทันการณ์ ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น สิ่งที่นางค้นหาก็ได้มาอยู่ในมือแล้วมือบางรีบคลี่กระดาษเนื้อหยาบ ออกอ่านในทันที ทว่าเมื่อเห็นตัวอักษรในจดหมาย คิ้ว
“กรี๊ด!! สวี่เทียน! เจ้าคนเลือดเย็น เจ้ากล้าที่จะทอดทิ้งลูกของข้าได้อย่างไรกัน” ร่างงามทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ พร้อมทั้งประคองหยกในมือ ซึ่งเป็นตัวแทนของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางผิดตรงไหนหรือสวรรค์ ไยจึงต้องทำร้ายลูกๆ ของนางเช่นนี้ด้วย ฉินชวงทำได้เพียงตัดต่อสวรรค์ ที่ไม่เมตตานางกับลูกเลย ไม่ว่าจะเรื่องฐานะหรือความรุ่งโรจน์ ล้วนแต่เป็นนางที่อยู่ใต้เงาผู้อื่นมาตลอด พอวันนี้นางได้มีโอกาส เชิดหน้าสู้ฟ้าได้อย่างภาคภูมิ ไยสวรรค์จึงได้กลั่นแกล้ง ช่วงชิงหัวใจของนางไปเช่นนี้เล่า นางไม่ได้โง่ขนาดจะดูไม่ออก ว่าตอนนี้ลูกๆ ของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย หรืออาจสังเวยชีวิตไปแล้วก็เป็นได้ คงไม่มีใครที่ไหนตัดลิ้นของคนอื่น แล้วช่วงชิงเสื้อผ้า และสิ่งของติดตัวใครสักคน แล้วส่งมาข่มขู่ครอบครัวเขาเยี่ยงนี้เป็นแน่ ดูได้จากสายตาของสามี มันก็ชัดเจนว่าเขารู้แล้ว ว่าลิ้นในกล่องนั่น เป็นของบุตรชายนาง ใช่สิ! จดหมายนั่นต้องไขความกระจ่างให้ข้าได้ เมื่อนึกถึงจดหมาย ที่สามีเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ ร่างระหงจึงลุกพรวดขึ้นในทันที นางต้องรู้ให้ได้ ว่าข้างในเขียนว่าอย่างไร เพราะนั่นอาจเป็นเบาะ
สวี่หวิ๋นไม่เอ่ยสิ่งใดอีก หญิงสาวตวัดกระบี่ในมือ พุ่งเข้าหาหญิงสาวแปลกหน้าในทันที เจียงอี้หลิง ทำเพียงขยับเท้าแค่เล็กน้อยเท่านั้น นางก็สามารถหลบหลีกการโจมตี ของสวี่หวิ๋นได้อย่างง่ายได้ แต่มีหรือสตรีเลือดร้อนเยี่ยงสวี่หวิ๋น จะยอมล่าถอยไปโดยง่าย หญิงสาวพลิกข้อมือเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งปลายกระบี่ เข้าหาคู่ต่อสู้อีกครั้ง เจียงอี้หลิง ทำเพียงหลบหลีก การโจมตีของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ นางยังอยากดูฝีมือ ของบุตรสาวสวะตนนั้นอีกสักหน่อย และนั่นยิ่งเพิ่มโทสะให้แก่สวี่หวิ๋น นางไม่เคยถูกผู้ใด หหรือยามหน้าเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ในเมื่อตอนนี้สตรีแปลกหน้า ทำเพียงขยับเท้า เคลื่อนไหวหลบหลีกนางเท่านั้น แต่ไม่ยอมจับอาวุธมาต่อสู้กับนาง ให้รู้ผลแพ้ชนะกันไปเลย การทำเช่นนี้มันเหมือนจงใจตบหน้านางชัดๆ “เจ้ากำลังดูถูกข้าอย่างนั้นรึ! น่าตายนัก!” สวี่หวิ๋น คำรามก้องด้วยโทสะที่ระเบิดออกมา นางไม่อยากเชื่อว่าวันนี้นางจะพ่ายให้แก่คนนอกได้ “หึๆ เจ้ายังไม่คู่ควรให้กระบี่ข้าออกจากฝัก” เจียงอี้หลิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า นางไม่ได้พูดไปส่งๆ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หากก
“ข้าน้อย...” “หุบปากของเจ้าซะ! เรื่องเมื่อครู่ หากหลุดออกไป ข้าจะตัดลิ้นพวกเจ้าทั้งหมด” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยสิ่งใด หญิงสาวกลับชี้หน้าข่มขู่เขา และวาดปลายนิ้วไปที่อีกหนึ่งผู้คุ้มกัน กับสาวใช้ของนางให้เงียบปากเสีย เพราะหากใครคนใดเอ่ยถึงเรื่องที่เห็น ว่านางกอดกับบ่าวต่ำชั้น นางจะไม่มีวันปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว นางคือคุณหนูสูงศักดิ์ แต่ผู้คุ้มกันที่บิดาหา มาล้วนเป็นพวกไร้หัวนอนปลายเท้าทั้งสิ้น จะเอาสิ่งใดมาคู่ควรแตะต้องตัวนาง แปะ! แปะ! เสียงตบมือเป็นจังหวะเนิบช้า ราวกับกำลังเย้ยหยันต่อคำพูดของนาง ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หญิงสาวตวัดสายตามองไปยังที่มาของเสียง ก่อนจะดวงตาเหลือกค้าง เมื่อเห็นว่าพี่ชายของนาง ถูกมัดห้อยตัวอยู่บนกิ่งท้อ เมื่อครู่ที่นางเห็นเขามันคือเรื่องจริง มิใชเพียงภาพลวงตา ที่ทำให้นางหยุดม้าอย่างกะทันหัน จนเกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้น “พี่ใหญ่!” หญิงสาววิ่งตรงไปหาพี่ชาย นางดึงกระบี่ในมืออกจากฝัก ก่อนจะตวัดปลายกระบี่ ไปยังเชือกที่ผู้ข้อมือทั้งสองข้างของพี่ชาย จนขาดสะบั้น ทำให้ร่างโชกเลือด ล่วงลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว ท
“มันไม่ใช่สิ่งที่น่ามอง เจ้าอย่าได้คิดสิ่งใดไปไกลนัก นี่อาจเป็นเพียงกลลวง ยิ่งเจ้าคิดว่าใช่ นั่นเท่ากับเจ้าเดินตามเส้นทางที่พวกมันขีดไว้ ที่ผ่านมาเจ้ามิใช่หรือ คือผู้ขีดเส้นกำหนดมาตลอด ไยวันนี้...เจ้าจึงคิดคล้อยตามกลลวงศัตรูไปได้เล่า” สวี่เทียน หยิบยกตัวตนของภรรยาขึ้นมาเอ่ยอ้าง ต่อให้นั่นคือลิ้นบุตรชาย แล้วอย่างไรล่ะ จะให้เขาดิ้นพล่านราวสุนัขถูกน้ำร้อนราดอย่างนั้นรึ! เหอะ! เขาก็จะไม่มีวันให้ความอ่อนแอของใครก็ตาม มาทำลายสิ่งที่เขา เฝ้ารอมาทั้งชีวิต ลูก...ฮึ! ก็แค่นั้น เขาไม่ได้คิดที่จะสนใจว่าอยู่หรือตาย เพราะสิ่งเดียวที่เขาสนใจ คืออำนาจที่พึงเป็นของเขาเท่านั้น ยี่สิบปีเชียวนะ! ที่เขาสละเวลามาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ หากเขามีหนทาง ที่สามารถปีนป่ายให้สูงกว่านี้ได้จากที่อื่น มีหรือเขาจะยอมทำตามขอเสนอของภรรยา มาอยู่ให้สกุลอวี๋เหยียบย่ำเป็นเวลายาวนานขนาดนี้ เขยแต่งเข้าที่ไม่อาจใช้สกุลภรรยา คิดหรือว่าจะถูกมองอย่างให้เกียรติ แม้คนจะก้มหัวให้ยามพบเจอ แต่นั่นเพราะข้างกายเขา มีอวี๋เมี่ยวหรือไม่ก็บุตรชายของนาง หากเป็นเขาเดินเพียงลำพัง แทบจะไม่เคยได้รับรอยยิ้มที่ออกจ
สองชั่วยามต่อมา ณ เรือนผู้รักษาการ สองสามีภรรยากำลังนั่งกินขนมจิบชา ด้วยความสำราญ หลังจากบทรักเล่าร้อน ได้จบลงไปได้ครู่ใหญ่แล้ว การหยอกเย้ากันของทั้งคู่ ยังคงมีเป็นปกติ ราวกับพวกเขายังคงเป็นหนุ่มสาว เช่นในวันวานก็มิปาน “เรียนนายท่าน มีของขวัญมาส่งขอรับ” เสียงรายงานจากด้านหน้าประตู ทำให้สองสามีภรรยา ขยับนั่งตัวตรงอย่างมีสง่า “เข้ามา” สวี่เทียนเอ่ยปากอนุญาต ให้คนด้านนอกเข้ามาข้างในได้ เพียงบ่าวชายก้าวพ้นประตูเข้ามา สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่กล่องไม้ในมือของบ่างผู้นั้นทันทีใครกันที่ส่งของขวัญมาให้เขากัน ด้วยในช่วงเวลานี้ หาได้มีวันสำคัญ หรือเทศกาลใด ที่ต้องมอบของขวัญของกำนัลต่อกัน หากจะเป็นคนจากภายนอกหุบเขา ก็ไม่น่าจะมีใครส่งมา โดยไม่แจ้งล่วงหน้าถึงการมาเยือน “เป็นของขวัญที่ไม่ทราบที่มาขอรับ ข้าน้อยคิดจะเปิดดู แต่...มิกล้าทำโดยพลการขอรับ” บ่าวชายรีบชี้แจง ต่อการที่เขาไม่อาจบอกถึงสิ่งของข้างในได้ เพราะเคยมีคนเปิดดูของขวัญ เพื่อตรวจสอบก่อนจะนำมาส่งมอบให้แก่ผู้เป็นนาย ผลก็คือบ่าวคนนั้น ได้สิ้นใจภายใต้คมดาบของท่านผู้รักษาการ
“แต่ข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น หากเจ้าตอบรับมัน ข้าจะมิถือสาเรื่องเมื่อครู่นี้” เมื่อมีสิ่งอื่นที่ดึงดูดใจ มากกว่าการที่นางสามหาวต่อบิดา สวี่หวางจึงยื่นข้อเสนอในทันที หญิงสาวตรงหน้าอาจเพียงแค่ อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา หาไม่แล้วมีหรือหัวหน้าผู้คุ้มกัน จะพาเขามาที่นี่ “ข้อเสนอ...คนเยี่ยงเจ้า มีข้อเสนอใดกับข้าเช่นนั้นรึ!” น้ำเสียงปนเย้ยหยันของหญิงสาว ทำให้สวี่หวางจำต้องข่มกลั้นเอาไว้ก่อน ในเมื่อหมากกระดานนี้ นางอยากควบคุม เขาก็จะยินยอมเล่นไปกับนางสักหน่อย ค่อยจบมันในหมากตัวสุดท้าย “เป็นอนุของข้า แล้วเรื่องเมื่อครู่ข้าจะปล่อยผ่านไป” “อยากฟังข้อเสนอของข้าบ้างไหม” หญิงสาวย่อนถามกลับ ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่จริงจังเท่าใดนัก “ว่ามาสิ! ข้าคือบุตรชายของประมุขแห่งหุบเขานี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะหามิได้” สวี่หวางตบตนเอง พร้อมประกาศให้รู้ถึงอำนาจในมือ เขาคือบุตรชายคนโต ภายหน้าเขาก็คือประมุขผู้มั่งคั่ง เจ้าของหุบเขาแห่งนี้ แค่สตรีต่างถิ่นคนหนึ่ง มีหรือเขาจะเลี้ยงดูนางไม่ได้ “จริงหรือ...บิดาเจ้าแซ่สวี่ ไหนเลยจะเป็นประมุขได้” เมื่อได้ยินพูดของหญิงสาวตรงหน้า สวี่หวางถึงกับหน้าถอดสี หรือนี่จะ
“ข้าน้อยเพียงจะมาแจ้ง ให้ท่านผู้รักษาการทราบ ว่าตอนนี้...มีคนพบเห็น ท่านประมุขน้อยแล้วขอรับ” “ที่ไหน!” สวี่หวางรีบถามด้วยความตื่นเต้น หากวันนี้เขาสามารถทำให้อวี๋มู่หลง หายไปจากโลกนี้เสีย อนาคตของเขา ก็จะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้เงาผู้ใดอีก มารดาที่เป็นภรรยาแรก กลับกลายเป็นได้เพียงอนุ ที่รับเข้าสู่บ้านเท่านั้น ไม่อาจก้าวขึ้นทัดเทียมอดีตประมุข และเขาก็เป็นได้เพียงแค่ลูกที่บิดา ไม่อาจเชิดชูออกหน้าได้แม้คนเหล่านี้ จะให้ความนอบน้อมต่อเขา แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมัน ก็ไม่เคยเห็นเขาในสายตาจริงๆ สักครั้ง หากเทียบกับอวี๋มู่หลง เจ้าสวะไร้ค่านั่น! “ในป่าท้อทิศตะวันออกของหุบเขาขอรับ” หัวหนาผู้ดูแล ตอบไปตามหน้าที่ แม้ว่าใจเขามิได้ชื่นชอบอนุและลูกๆ ของนาง ที่อาจหาญทำตัวทัดเทียมท่านประมุขน้อย แต่เขาก็ยังไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะต่อกรกับผู้รักษาการได้ จนกว่าท่านประมุขน้อย จะก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างแท้จริง “พาข้าไป!” “แต่...” หัวหน้าผู้คุ้มกัน คิดที่จะปฏิเสธ ทว่า... “ฮึ! หรือเจ้าคิดจะปกป้องคนไร้ค่านั่น” สวี่หวาง พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเ
สิบห้าวันถัดมา ณ เรือนผู้รักษาการ เมืองหยินกวง เพล้ง! เสียงจอกสุรา ถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ทำให้สาวใช้หลายนางที่ยืนรอรับใช้อยู่ พากันสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อผู้เป็นนายกำลังมีโทสะ ก่อนที่สตรีผู้เป็นอนุของท่านผู้รักษาการ จะเดินเข้ามา แล้วส่งสัญญาให้บรรดาสาวใช้ออกไปเสีย “ท่านพี่ ไยต้องมีโทสะด้วยเจ้าคะ” ฉินชวงเดินไปยืนด้านหลังสามี ก่อนจะวางมือบนไหล่หนา แล้วออกแรงบีบนวด เพื่อให้สามีรู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าการอยู่อย่างไรเกียรติของนาง จะมิใช่สิ่งที่วาดฝัน แต่นางก็ยังอยากให้บุตรชายคนโต เป็นผู้สืบทอดเมืองแห่งนี้ “มีคนพามันหนีไปได้ จนตอนนี้! ข้ายังหามันไม่พบเลย” สวี่เทียนกำหมัดแน่น ยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่บุตรชายคนเล็ก หนีไปพร้อมกับคนแปลกหน้า มันทำให้เขาราวกับถูกตบหน้า นี่มิใช่ครั้งแรก ที่บุตรชายรอดพ้นเงื้อมือเขาไปได้อย่างหวุดหวิดเพราะนับตั้งแต่บุตรชาย ล่วงรู้ความจริงหลายอย่าง ความสัมพันธ์พ่อลูกก็ยิ่งห่างไกล แล้วอย่างไรเล่า ก็ในเมื่อสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ความเป็นพ่อลูก แต่เขาต้องการตราประทับเท่านั้น “อาจเป็นเหล่าผู้อาวุโส ที่แอบช่วยเขาลับหลัง แต่อย่า