เพราะมีดวงกินภรรยา ฟางเทียนอวี้จึงไปทำพิธีปัดเป่าสิ่งไม่ดีที่สำนักร้อยบุปผา สำนักที่ขึ้นชื่อเรื่องการปัดเป่าสิ่งอัปมงคลและยังขึ้นชื่อเรื่องสมุนไพรชั้นดีทำให้บุรุษและสตรีมีใบหน้าที่หล่อเหลาสวยงาม แต่ทว่าเขากลับได้พบ เซียวเหมยลี่ สตรีผู้ข้ามภพมาอยู่ในร่างของคุณหนูตระกูลเซียว ผู้ถูกเรียกขานว่า ธิดาสวรรค์ แต่นางไม่รู้เรื่องของสำนักร้อยบุปผาจึงทำพิธีมั่ว ๆ ให้กับเขา เรื่องราววุ่นวายปนฮาจึงบังเกิด
Voir plusเมืองหลวงหวงเฉวียน
รัชศกเจิ้งหลงปีที่สิบ
"หลีกทาง ท่านอ๋องมาถึงแล้ว!!!"
เสียงกีบเท้าม้าที่ย่ำลงบนพื้นดินดังสนั่นกึกก้องไปทั่วทั้งปฐพี กอปรกับเสียงออกคำสั่งให้หลีกทางของเหล่าองครักษ์ทำให้เหล่าชาวบ้านที่กำลังเดินสัญจรไปมาบนถนนต้องรีบหลบเข้าข้างทาง พลางมองดูขบวนทหารร่วมแสนนายที่กำลังเดินทางเข้าประตูเมืองหลวง
บนอาชาสีขาวมีบุรุษผู้หนึ่งรูปร่างกำยำ ใบหน้าของเขาคมคายหล่อเหลา ดวงตาเย็นชาราวหิมะแรกของเหมันต์ฤดู จมูกโด่งคมเป็นสัน ริมฝีปากหนาใหญ่ องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าของเขาช่างหล่อเหลาเสียจนสตรีทั้งเมืองหลวงเฝ้าใฝ่ฝันคะนึงหา
เขาคือ ชินอ๋องฟางเทียนอวี้ น้องชายร่วมมารดาของฮ่องเต้ฟางเจิ้งหลง ผู้นำทัพกองกำลังทหารนับแสนนาย บุกโจมตีเหล่ากบฏและศัตรูจนแตกพ่ายและยอมศิโรราบ
"โอ๊ย ท่านอ๋องช่างรูปงามยิ่งนัก!!!"
"ดูเรือนร่างกำยำนั่นสิ ข้าอยากจะโผเข้าไปกอดเสียเหลือเกิน"
"ให้ตายเถิด!!! ข้าอยากจะเป็นสตรีของท่านอ๋องจนจะบ้าตายอยู่แล้ว!!!"
เสียงชื่นชมของเหล่าสตรีน้อยใหญ่ดังเซ็งแซ่ขึ้นมาเป็นระยะตลอดทางที่ฟางเทียนอวี้ควบม้าผ่าน เขาไม่ได้แสดงสีหน้าใดใดออกมา แต่กลับเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง พลางครุ่นคิดในใจ
แน่นอน!!! ข้าน่ะหล่อเหลาที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้แล้ว
วังหลวง
"น้องรักของข้า เจ้ากลับมาพร้อมชัยชนะอีกแล้ว"
ฮ่องเต้ฟางเจิ้งหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยินดีปรีดา พลางจ้องมองฟางเทียนอวี้ด้วยความรักใคร่ ยามนี้ภายในห้องทรงอักษรมีเพียงเขากับพี่ชายสองคน ฟางเทียนอวี้จึงยกขาขึ้นไปพาดบนโต๊ะอย่างสบายอารมณ์ ฟางเจิ้งหลงเองก็ไม่ได้ถือสา กลับเอ่ยถามน้องชายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
"อาเทียน เจ้าอยากได้สิ่งใดเป็นรางวัล บอกพี่มาเถิด พี่จะให้เจ้าทุกอย่าง"
ฟางเจิ้งหลงยิ้มตาหยีจ้องมองฟางเทียนอวี้อย่างมีความสุข แต่ไหนแต่ไรมาเขากับน้องชายผู้นี้ก็รักใคร่ปรองดองกันมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีมารดาคนเดียวกัน ฟางเทียนอวี้ก็ไม่เคยคิดแย่งชิงบัลลังก์กับเขา อีกทั้งยังปกป้องเมืองหลวงเอาไว้อย่างสุดกำลัง เขาจึงรักน้องชายผู้นี้ยิ่งกว่าใคร
ฟางเทียนอวี้จ้องมองฟางเจิ้งหลง ก่อนจะยิ้มมุมปาก
"ท่านพี่ ข้าอยากได้สมุนไพรบำรุงผิวพรรณ ทั้งภายในและภายนอก"
ฟางเจิ้งหลงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
น้องชายคนนี้อะไรก็ดีไปเสียหมด ติดอย่างเดียว สำอางยิ่งกว่าสตรี!!!
แม้จะอยู่ในสนามรบตรากตรำสู้รบกับศัตรูไม่ได้หยุดพัก แต่ทว่าฟางเทียนอวี้กลับมีผิวกายที่ขาวสะอาด แม้จะไม่ขาวงดงามเฉกเช่นสตรี แต่ก็ดีกว่าบุรุษในวัยเดียวกันมากนัก
"อาเทียน เจ้าน่ะเป็นบุรุษ จะนำสิ่งของพวกนี้ไปทำไม..."
"ท่านพี่จะไม่ยอมมอบให้ข้าหรือ?"
ฟางเจิ้งหลงเงียบกริบไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพราะรู้จักนิสัยของน้องบัดซบผู้นี้ดี
หากเขาไม่ตามใจ มันก็จะหาข้ออ้างนั่นนี่มาทำให้เขาลำบากใจ!
"เอาเถิด ข้าจะให้คนนำไปส่งให้เจ้าที่จวน"
"ท่านพี่นี่ดีเหลือเกิน"
ดีกับผีน่ะสิ!!! น้องเวร
"อาเทียน ข้าว่าเจ้าถึงวัยที่จะต้องแต่งงานแล้ว ข้าจะหาสตรีที่เหมาะสมให้เจ้าดีหรือไม่?"
ฟางเจิ้งหลงเอ่ยถามฟางเทียนอวี้ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าใดนัก นับแต่ฟางเทียนอวี้ถึงวัยหนุ่ม ได้หมั้นหมายกับสตรีถึงสามคน แต่ยังไม่ทันได้แต่งงานสตรีเหล่านั้นก็ล้มป่วยจนตกตายไปเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้คนจึงเล่าลือกันว่า ฟางเทียนอวี้มีดวงกินภรรยา ทำให้ไม่มีสตรีบ้านไหนอยากจะหมั้นหมายและแต่งงานเข้าจวนอ๋องของเขา
ยิ่งคิดฟางเจิ้งหลงก็ยิ่งกลุ้มใจ ต่างจากฟางเทียนอวี้ที่มีสีหน้าเรียบเฉย
"ท่านพี่จะกังวลไปไย ข้าไม่ใช่องค์รัชทายาทที่จะต้องรีบแต่งงานมีภรรยาสืบทอดตำแหน่งเสียหน่อย"
"ไม่ได้!! เจ้าต้องมีชายาดูแลจัดการเรือนหลัง นี่เป็นธรรมเนียมของราชวงศ์เรา เจ้าต้องรีบแต่งงานก่อนอายุยี่สิบปี เข้าใจหรือไม่?"
"น่าเบื่อ!!!"
"อ้อ! ข้านึกออกแล้ว หลายวันก่อนข้าได้ยินเหล่าขุนนางเล่าลือกันว่า ที่เมืองหลวงเรา มีสำนักร้อยบุปผา เป็นสำนักที่ขึ้นชื่อเรื่องการแก้ไขปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากตัวคนได้ นี่ ๆ ๆ เจ้าลองไปดูเสียหน่อย"
"ไร้สาระท่านพี่!!!"
"ข้าสั่งให้เจ้าไป!!! ไปเถิดน่า หากเจ้าไม่ชอบใจก็ไม่ต้องไปอีก ข้าได้ยินว่าสำนักร้อยบุปผาน่ะมีดีหลายอย่าง ทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องสมุนไพรที่บำรุงหน้าตาด้วยนะ ส่วนหนึ่งที่ข้าได้มาก็เพราะมีขุนนางนำมาถวาย ฮองเฮาของข้าก็ใช้อยู่"
ฟางเทียนอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็หูผึ่งขึ้นมาทันที
เรื่องเกี่ยวกับความหล่อเขาสนใจเป็นอย่างมาก!
ผู้ใดบ้างไม่อยากให้ตนเองหล่อเหลาดูดี
ไปสักรอบก็ได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นฟางเทียนอวี้จึงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวกลับจวนของตนไปในทันที
ยามนี้เป็นช่วงกลางเหมันต์ฤดู หิมะโปรยปรายลงมาเป็นระยะ ฟางเทียนอวี้ควบม้ามาหยุดอยู่ที่ร้านขายสุราชั้นดีร้านหนึ่ง ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า แล้วลงไปซื้อสุรามาเก็บเอาไว้หลายไห เมื่อจ่ายเงินและบอกที่ให้ไปส่งสุราเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้าน ก่อนจะยื่นมือขึ้นไปรองรับหิมะที่ตกโปรยปรายลงมาบาง ๆ พลางครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างไปเรื่อยเปื่อย
ในขณะที่เขากำลังยื่นเหม่อลอยคิดบางสิ่งบางอย่างโดยไม่ทันระวัง ก็ถูกสตรีผู้หนึ่งชนเข้าอย่างจัง สุราในมือของสตรีนางนั้นหกราดรดเสื้อผ้าของเขาจนเปียกชุ่ม
"ไม่มีตามองหรือ!!!!!"
"ขออภัยเจ้าค่ะ ขออภัยเจ้าค่ะ"
"โว้ยยยย!!! ผีปากบวม!!!"
ฟางเทียนอวี้ที่กำลังจะหันไปด่าทอสตรีนางนั้น แต่เมื่อหันไปเขาก็ต้องสะดุ้งโหยง
ให้ตายเถิด!!! เหตุใดปากของนางจึงบวมขนาดนั้น!!!
"ปะ ปากเจ้า?"
"ขออภัยด้วยนะคุณชายท่านนี้ บังเอิญข้าโดนผึ้งต่อยปากมาน่ะเจ้าค่ะ เลยรีบหาสุรามาดื่ม เขาว่ามันบรรเทาอาการบวมได้"
ฟางเทียนอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาที่รังเกียจ
ตำราบทไหนกันบอกว่าสุราลดอาการปากบวมได้!!!
แต่ช้าก่อน! นางทำเสื้อผ้าข้าเลอะนี่นา
"เจ้าทำเสื้อข้าเลอะ!!!"
"ขออภัยด้วยคุณชาย ข้ามีเงินติดตัวอยู่สามอีแปะ ท่านเอาไปก่อนนะเจ้าคะ ข้าไปละ ข้ารีบ"
"เดี๋ยว!!! กลับมานะ!!! บัดซบ!!! เงินแค่สามอีแปะจะเอาไปทำสิ่งใดได้"
ฟางเทียนอวี้กำลังจะวิ่งตามสตรีนางนั้นไปแต่ก็ต้องหยุดชะงัก
จะวิ่งไม่ได้!!! เดี๋ยวความหล่อกระจัดกระจาย
เมื่อคิดได้เช่นนั้นฟางเทียนอวี้จึงสงวนท่าที กระโดดขึ้นไปบนหลังม้ามุ่งหน้ากลับจวนอ๋องทันที
อย่าให้ข้าได้เจอหน้าเจ้าอีกรอบนะ!!! สตรีปากบวม
ด้านเซียวเหมยลี่ในยามนี้กำลังนั่งอ่านรายชื่อสมุนไพรที่อิงเย่ว์เขียนบันทึกเอาไว้บนโต๊ะหนังสือ อิงเย่ว์บอกว่ารู้เพียงแค่ชื่อของมันและวิธีการใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ส่วนการปลูกและตัวยาอื่น ๆ นางไม่รู้ เซียวเหมยลี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเหนื่อยใจเป็นอย่างมาก ตำราเล่มนั้นถูกไฟเผาไหม้ไปหมดแล้ว หากอยากจะเปิดสำนักร้อยบุปผาใหม่อีกครา ย่อมต้องหาสมุนไพรเหล่านี้มา แต่ราคาของพวกมันย่อมสูงเป็นอย่างมาก ต้นทุนนางมีน้อย แต่ก่อนที่สำนักร้อยบุปผาทำกำไรได้ดี ก็เพราะท่านพ่อท่านแม่ลงแรงในการปลูกสมุนไพรเหล่านั้นเองกับมือ หากเซียวเหมยลี่คนเดิมยังอยู่ นางคงจะหาทางแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้ เซียวเหมยลี่เก็บสมุดบันทึกเล่มนั้นเอาไว้ ก่อนจะครุ่นคิดในใจ นางตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงสำนักร้อยบุปผาใหม่ นางตั้งใจจะยกเลิกพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปเสีย ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อพิธีเหล่านี้ แต่นางเชื่อว่าคนเราทุกคนย่อมมีทางเลือกที่ดีให้กับตนเองเสมอ มิสู้เปลี่ยนสำนักร้อยบุปผาให้เป็นแหล่งรวมสิ่งสวยงามชั้นเลิศไม่ดีกว่าหรือ นางจะต้องหาทางทำให้สำนักร้อยบุปผายิ่งใหญ่กว่าเดิมให้จงได้ "เจ้าซื้อของมาถมจวนหรือ?" เสียงเข้มเสียงหนึ่งเอ่ย
คืนนั้นทั้งคืนฟางเทียนอวี้และเซียวเหมยลี่แทบจะไม่ได้นอนพัก คนทั้งสองต่างกอดกระหวัดนัวเนียกันอยู่บนเตียงจนถึงรุ่งสาง ก่อนที่ฟางเทียนอวี้จะกลับจวนไป เขาได้มอบหยกสีเขียวเนื้อดีที่สลักลวดลายเป็นดอกสาลี่ให้แก่นาง อีกทั้งยังบอกนางอีกว่า หากต้องการซื้อจ่ายสิ่งใดในเมืองหวงเฉวียน สามารถนำหยกชิ้นนี้ไปแสดงให้คนขายดูได้ แล้วจวนอ๋องจะเป็นคนจ่ายเงินให้นางเอง เซียวเหมยลี่ยิ้มตาหยี ไม่คาดคิดมาก่อนว่าฟางเทียนอวี้จะมอบหยกชิ้นนี้ให้แก่นางจะว่าไปแล้วเขาก็เป็นสายเปย์เหมือนกันนะเนี่ย!!!เมื่อคิดได้เช่นนั้น เซียวเหมยลี่จึงรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ใหม่ ก่อนจะออกไปเดินเล่นที่ตลาด เพื่อหาซื้อเครื่องประดับชิ้นใหม่มาสวมใส่เสียหน่อย ฟางเทียนอวี้บอกว่า ที่หวงเฉวียนมีร้านขายเครื่องประดับอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามกับภัตตาคารเป่าหลง วันนี้นางจะไปดูเสียหน่อย เซียวเหมยลี่นั่งรถม้ามุ่งหน้ามาที่ร้านขายเครื่องประดับทันที เมื่อรถม้าหยุดลงนางจึงเดินลงมาจากรถม้า พลางจ้องมองดูร้านเครื่องประดับที่ค่อนข้างใหญ่โตหรูหรา ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปด้านในทันที "เชิญแม่นาง วันนี้มีเครื่องประดับมาใหม่นะขอรับ" เถ้าแก่ร้านเดินเข้ามาต้อนรับน
เช้านี้จวนตระกูลเซียวค่อนข้างเงียบเหงาไม่น้อย หลังเสร็จสิ้นพิธีฝังศพของบิดามารดาแล้ว เซียวเหมยลี่ก็กลับมาที่จวน อิงเย่ว์ยกชาร้อนมาให้นาง ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามนาง พลางเอ่ยถามนางด้วยความห่วงใย "จวนเราเพิ่งจัดงานศพเช่นนี้ งานแต่งของเจ้ากับท่านอ๋อง ไม่ต้องเลื่อนไปก่อนหรอกหรือ?" เซียวเหมยลี่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมามองอิงเย่ว์คราหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ นางไม่ได้รู้สึกดีใจมากนักที่ได้แต่งงานกับฟางเทียนอวี้ นางรู้ดีว่าที่เขายอมแต่งกับนางเพียงเพราะต้องการช่วยนางจากฟางเจียเอ๋อร์เพียงเท่านั้น เหตุใดความรู้สึกเจ็บปวดในใจจึงปรากฏเด่นชัดได้ถึงเพียงนี้กันนะ "เหมยลี่ เจ้ากำลังกังวลสิ่งใดอยู่หรือ?"เมื่อเห็นว่าเซียวเหมยลี่ไม่ตอบ อิงเย่ว์จึงยื่นมือของนางมาจับมือของเซียวเหมยลี่เอาไว้ เซียวเหมยลี่หันมาส่งยิ้มให้อิงเย่ว์เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ "ไม่มีอันใด ขอบใจเจ้ามากนะ ข้าคิดว่าเรื่องนี้คงต้องแล้วแต่ราชวงศ์ พวกเขาเห็นสมควรเช่นไรก็คงย่อมต้องเป็นเช่นนั้น" "อืม" "อิงเย่ว์ หากข้าแต่งกับท่านอ๋องแล้ว เจ้าตามข้าไปอยู่ที่จวนอ๋องด้วยกันนะ" อิงเย่ว์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองเซียวเหมยลี่ด้วยแววตาที่ซาบซึ้ง"จะดีห
ฟางเจียเอ๋อร์กลับมาที่จวนจวิ้นอ๋องด้วยท่าทางที่โกรธเกรี้ยว เขานำความโมโหทั้งหมดมาลงที่ชายาเอกและอนุทุกคนในจวน จนเฉินกุ้ยเฟยต้องออกมาห้ามปรามเขาจึงยอมสงบลง ยิ่งนึกถึงท่าทีหยิ่งยโสโอหังของฟางเทียนอวี้เขาก็ยิ่งเกลียดชังมันเข้าไส้ เฉินกุ้ยเฟยยื่นมือไปลูบหลังบุตรชายของตนเพื่อให้เขาคลายโทสะลง ก่อนจะเอ่ยปลอบโยน "เจียเอ๋อร์ แม่ได้ยินว่าเจ้าจะไปพาตัวคุณหนูตระกูลเซียวมาเป็นอนุ แต่ฟางเทียนอวี้มาขัดขวางเอาไว้เสียก่อน ช่างเถิด สตรีเพียงนางเดียวเจ้าจะใส่ใจไปทำไมกัน" ฟางเจียเอ๋อร์ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมามองมารดาของตนเองทันที "ลูกชอบนางพ่ะย่ะค่ะ แต่ไหนแต่ไรมา สตรีที่ลูกชอบต้องเป็นของลูกเพียงคนเดียวเท่านั้น" "ได้ยินว่านางเป็นเพียงคุณหนูตกอับ ไม่คู่ควรกับเจ้าหรอก" "คู่ควรหรือไม่ ลูกตัดสินใจเองได้พ่ะย่ะค่ะ หึ!!! ฟางเทียนอวี้ อย่าหวังว่าเจ้าจะแย่งนางไปจากข้าได้ หากข้าไม่ได้ครอบครองนาง ข้าจะทำให้นางหายไปจากโลกนี้เหมือนคู่หมั้นสามคนก่อนหน้านั้นของเจ้า" เฉินกุ้ยเฟยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าไปมาด้วยความเบื่อหน่าย ฟางเจียเอ๋อร์มีนิสัยเอาแต่ใจตนเองมาแต่ไหนแต่ไร ผู้ใดห้ามปรามก็ไม่ใส่ใจเมื่อครุ่นคิดถึ
ท้ายที่สุดฟางเจียเอ๋อร์ก็ยอมจากไปทั้งที่ไม่เต็มใจเท่าใดนัก ฟางเทียนอวี้หันมามองเซียวเหมยลี่ที่ยามนี้กำลังปลอบโยนอิงเย่ว์ซึ่งกำลังหวาดกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ เซียวเหมยลี่หันมามองฟางเทียนอวี้เช่นกัน ก่อนจะยิ้มให้เขา "ขอบพระทัยท่านอ๋องมากเพคะ" "เป็นหน้าที่ของคนหล่ออยู่แล้ว" เซียวเหมยลี่ไม่ได้เอ่ยทักท้วงเขา ยามนี้เขาอยากจะหลงตนเองเช่นไรก็ช่างเขาเถิด "ข้าว่าเจ้าพานางไปพักก่อนเถิด นางอาการไม่สู้ดี ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าต้องออกมาเจรจาให้รู้เรื่อง" "เอ๋" "อย่าให้ข้าพูดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง" เซียวเหมยลี่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นางพาอิงเย่ว์มาส่งที่เรือนนอน ก่อนจะปลอบประโลมนางอยู่พักใหญ่จนนางคลายความหวาดกลัวลงไปได้ "ไม่เป็นอันใดแล้วนะอิงเย่ว์" "เหมยลี่ ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า" "เรื่องอันใดหรือ?" "เอ่อ เจ้าเป็นภรรยาของท่านอ๋องจริงหรือ?" คำถามนี้ของอิงเย่ว์ทำให้เซียวเหมยลี่ชะงักไปเล็กน้อย นางจ้องมองอิงเย่ว์ก่อนจะเอ่ยตอบ "เจ้าพักก่อนเถิด เรื่องมันยาว เอาไว้ข้าไปพบท่านอ๋องก่อนแล้วข้าจะกลับมาเล่าให้เจ้าฟังนะ" "อืม" อิงเย่ว์ยิ้มให้เซียวเหมยลี่คราหนึ่ง ก่อนจะเอนกายลงนอน เมื่อเห็นว่า
เซียวเหมยลี่ที่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจึงรีบหันไปมองทันที ก่อนจะพบว่าเป็นฟางเทียนอวี้ที่กำลังก้าวเดินเข้ามาพร้อมทหารหลายสิบนาย ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ฟางเทียนอวี้ปรายตามองเซียวเหมยลี่คราหนึ่ง ก่อนจะหันมาจ้องมองฟางเจียเอ๋อร์ด้วยแววตาที่เย็นชา "เสด็จพี่" "ใช่ ข้าเอง ชินอ๋องผู้หล่อเหลาที่สุดในใต้หล้านี้" เซียวเหมยลี่รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ในสถานการณ์เช่นนี้ฟางเทียนอวี้ก็ยังชมตนเองไม่เลิก เขานี่มัน!!! ด้านอิงเย่ว์นั้นเมื่อเห็นว่าฟางเทียนอวี้มาที่จวน ใจของนางก็สั่นไหวรุนแรงอย่างห้ามไม่อยู่ มันมีทั้งความดีใจและเสียใจในคราเดียวกัน ผู้ใดกันคนของท่านอ๋อง หรือว่าท่านอ๋องจะหมายถึงนางกันนะ!!! ฟางเจียเอ๋อร์จ้องมองฟางเทียนอวี้ด้วยสายตาที่ไม่พอใจ แต่ไหนแต่ไรมาเขากับพี่ชายต่างมารดาผู้นั้นก็ไม่สู้จะลงรอยกันอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะมีฟางเทียนอวี้เป็นกำลังสำคัญให้ฟางเจิ้งหลง ป่านนี้เขาคงได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้หวงเฉวียนไปนานแล้ว "เสด็จพี่มาที่นี่ทำไมหรือ?" "ข้าก็มารับตัวภรรยาของข้ากลับจวนน่ะสิ" "ภรรยา?" ฟางเจียเอ๋อร์จ้องมองฟางเทียนอวี้เขม็งก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่งุนงงอิงเย่ว์เองก็สับสนกับ
Commentaires