LOGINนางตรึงใจรักเพียงบุรุษผู้เดียวอย่างมิอาจแลเหลียวผู้ใด เพราะใจที่ยึดมั่นเพียงเขาตั้งแต่แรกเห็นจึงปรับเปลี่ยนตัวเองครั้งใหญ่เพื่อเขา ทำทุกทางหมายเคียงคู่ วางกระบี่ถือพู่กันวาดคิ้ว กลายเป็นกุลสตรีดีงาม เรียบร้อยอ่อนหวาน มารยาทนุ่มนวลสูงส่งดุจธาราสวรรค์ นางลงทุนลงแรงทำทุกทางจนได้หมั้นหมายสมใจ ทว่าทั้งหมดกลับสูญเปล่า เมื่อเขาบอกกล่าวมาประโยคเดียวว่า ‘สตรีจืดชืดชวนหน่ายเช่นเจ้า ไม่คู่ควรกับข้า...’ แต่ไฉนอดีตคู่หมั้นผู้นี้กลับตามติดนางไม่ห่าง ทั้งใช้สารพัดเล่ห์กลให้นางดูแลอย่างไม่หวงแหนร่างกายเช่นนี้เล่า
View Moreโปรย
‘หากปรารถนาหัวใจสุภาพชนมาครอง จำต้องเรียบร้อยอ่อนหวาน พึงสำรวมกิริยา นุ่มนวลอ่อนโยน มิอาจห้าวหาญเผยท่าทีก้าวร้าว อย่าทำให้ชายในดวงใจสะดุ้งหวาดกลัวเชียว’
ปฐมบท
ทุกปีงานเลี้ยงล่องเรือสำราญชมบุปผาผลิบานริมธารา
ล้วนจัดขึ้นที่ทะเลสาบหลวงแคว้นฉินดรุณีน้อยวัยแรกแย้มจากสกุลชนชั้นสูงต่างลุกจากเตียงอุ่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่รับอรุณ เพื่อรับการปรนนิบัติแต่งกายให้งดงามที่สุดหมายเข้าร่วมงานให้ทันกาล
บุรุษวัยหนุ่มแน่นก็เช่นกันหลายคนต่างตบเท้าเข้าร่วมงานเพื่อได้ยลโฉมงามวัยสะพรั่ง เฟ้นหาว่าที่ภรรยา
แต่บางคนกลับถูกบังคับให้มาด้วยหน้าที่เท่านั้น
ครั้นได้เวลาเปิดงาน ทุกคนถูกเชิญขึ้นเรือร่วมลำ
บุรุษฝั่งซ้าย สตรีฝั่งขวา มีเชื้อพระวงศ์เป็นประธานพิธีเปิดงานคือองค์รัชทายาทและพระชายางานนี้เป็นเพียงงานเดียวในรอบปีของแคว้นฉินที่เปิดโอกาสให้ชายหญิงได้พบปะทำความรู้จักกันอย่างผ่าเผย
สตรีทั้งหลายตื่นเต้นกันมาก หากโชคดีย่อมเข้าตาบุรุษจากสกุลเรืองอำนาจเสริมบารมีให้จวนตน ใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชาติ แต่ก็มีสตรีบางคนที่ต้องมาตามคำสั่ง เพื่อทำตัวงามสง่าดุจนางพญาหมายเฟ้นหาบุรุษดีๆ ให้บิดามารดา เพิ่มวาสนาให้วงศ์ตระกูล
ทว่ากลับมีเพียงสตรีหนึ่งนางที่ทำตัวเรียบร้อยอ่อนหวานอย่างจงใจหมายมาดแค่บุรุษที่นางตรึงใจ หาได้มีผลประโยชน์ใด แม่นางน้อยผู้นี้มีชื่อเสียงที่ปรุงแต่งจนดีงามนามขจรขจายว่า เว่ยลี่
และบุรุษผู้เป็นเป้าหมายมุ่งหวังเป็นที่ต้องตาพึงใจของนางก็คือคู่หมั้นของนางนั่นเอง
ความคิดของเว่ยลี่ นางตั้งใจโปรยเสน่ห์ใส่คู่หมั้นของตัวเอง มิได้โปรยเสน่ห์ใส่คู่หมั้นของผู้อื่น คนย่อมทำได้เต็มที่ มิใช่เรื่องผิด
ส่วนบุรุษที่ได้รับการโปรยเสน่ห์ไม่เว้นวันคือ คุณชายรองจากจวนบัณฑิตชั้นสูง โจวอวี่...
วันนี้เว่ยลี่มาในชุดสีชมพูอ่อนหวาน ไล่ริ้วผสมผสานสีขาวดุจคลื่นบนผิวทะเลยามอาทิตย์อัสดงคงความเย้ายวนในระดับพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แลดูสูงส่งแต่ไม่หยิ่งทะนง คงไว้ซึ่งความอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ไม่ต้อยต่ำขลาดเขลา บนศีรษะปักปิ่นระย้าที่งดงามพลิ้วไหว เสริมดวงหน้าผุดผาดให้ยิ่งโดดเด่นยวนใจ
รอยยิ้มของนางอ่อนโยน ยามเยื้องกรายทักทายสหายรอยยิ้มนั้นยิ่งเข้าที มองกี่ครั้งล้วนดึงดูดให้ต้องมองซ้ำ ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู ดวงตาทุกคู่ล้วนมิอาจละจากนางได้
ครั้นทักทายสหายพอเป็นพิธี เว่ยลี่ก็เดินมาหาคู่หมั้นทันที รอยยิ้มประดับมุมปากตลอดเวลาเมื่อเจอหน้ากัน แววตาหยาดเยิ้มชวนเสน่หาปานนั้น
“พี่อวี่...”
สุ้มเสียงไพเราะเสนาะโสตยิ่งนัก กลิ่นกายหอมกรุ่นกระทบจมูกโด่งสันเข้าไปถึงโพรงอก หากแต่ร่างสูงสง่าเพียงหันมานิ่งๆ
ใบหน้าหล่อเหลาของโจวอวี่แขวนรอยยิ้มนุ่มนวลสำรวมเฉกสุภาพชนจากตระกูลมหาบัณฑิต แต่ดวงตากลับเย็นชามาก
“น้องเว่ยลี่”
เขาทักทายกลับด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท
แต่นั่นมิอาจกลบความปิติยินดีในแววตากลมโตฉ่ำหวานของดรุณีอ่อนเยาว์วัยแรกรัก นางยังคงแย้มยิ้มงดงามดุจบุปผา “เราไปนั่งจิบชาฝั่งนั้นดีหรือไม่เจ้าคะ?”
โจวอวี่ลอบถอนหายใจไร้สุ้มเสียง ขณะผายมือเดินนำหน้า กิริยาสุขุมถือตัว “เชิญน้องเว่ยลี่”
เว่ยลี่ก้มหน้าสะเทิ้นอาย รักษาจริตมารยาทเข้าทีเหมาะสม หาจุดตำหนิมิได้
ทุกอากัปกิริยาล้วนคู่ควรกับคุณชายตระกูลบัณฑิตชั้นสูงทุกประการ แววตาที่ลอบมองแผ่นหลังสง่างามเผยซึ่งอาการตรึงใจ
หนึ่งบุรุษรูปงามสูงศักดิ์ หนึ่งสตรีแสนดีเลิศล้ำ ทั้งสองนั่งจิบชาชมบุปผาเคียงคู่กัน เกิดเป็นภาพคู่รักราวกับอยู่ในห้วงฝัน
พวกเขาทำเอาคนทั้งเรือต่างเมียงมองด้วยความริษยานัยน์ตาร้อนผ่าว
ช่างเป็นคู่ยวนยางดุจสวรรค์สร้างโดยแท้...
ความคิดนั้นคล้ายล่องลอยวนเวียนรอบกายคนทั้งสอง
เว่ยลี่ลอบมองเสี้ยวหน้าคมสันของคู่หมั้นอย่างขัดเขินตลอดเวลา ในขณะที่โจวอวี่กลับไม่เหลียวมามองสบตานางเลยสักหนคนหนึ่งชัดเจนว่าหลงใหลมีใจ ปรารถนาแต่งงานโดยไว
แต่อีกคนกลับครุ่นคิดตลอดเวลาว่าจะใช้วิธีใดถอนหมั้นนางดี...อารัมภบท
“สตรีจืดชืดชวนหน่ายเช่นเจ้า ไม่คู่ควรกับข้า”
นี่คือเหตุผลของคนตรงหน้า เขาต้องการถอนหมั้นนาง
สาวน้อยที่เดิมทีหลุบตาอย่างสงบเสงี่ยมเผยรอยยิ้มอ่อนโยนตลอดเวลา บัดนี้เพียงปาดน้ำตาออกจากแก้มเนียนช้าๆ แววตาที่เคยสดใสค่อยๆ มืดทะมึนก่อนจะแข็งกร้าวและเผยโทสะอันร้อนแรงยิ่งกว่าหินอัคคี ไม่มีแล้วแม่นางผู้แสนดีน่ารักอ่อนหวานอยู่ในจารีตกฎเกณฑ์ดีงามนางยังไม่ทันถามว่าหญิงผู้นั้นเป็นใคร เหตุใดถึงอยู่กับเขาในคืนลอยโคม เพียงเดินขึ้นหน้าในปราดเดียว พริบตาหมัดเล็กอันทรงพลังพลันซัดเต็มใบหน้าอันหล่อเหลา
นางมิใช่แค่ตบหน้าอย่างที่เขาคาดการณ์แต่กลับต่อยตีคน ชายหนุ่มตกตะลึง เบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง ไฉนดรุณีผู้นี้ถึงเปลี่ยนไป ไยนางคล้ายมิใช่คนเดิมที่เรียบร้อยจนน่าเบื่อหน่าย
“เจ้า...” ยังไม่ทันเอ่ย กลับเป็นนางที่ซัดเข้าที่สันกรามอีกหมัดพร้อมตวาดก้องข่มขวัญ
“เจ้าลูกเต่าหน้าเหม็น วันนี้มารดาจะทำให้เห็นว่าสิ่งใดเรียกว่าอยู่มิสู้ตาย...”
และแล้วบุรุษผู้หนึ่งถึงได้รู้ซึ้งถึงคำว่าทุรนทุรายเมื่อนางลงมือ
เกริ่นนำ
จ้าวเล่อเสีย นางคือท่านหญิงที่ได้รับความรักจากทุกคน มีชีวิตอิสรเสรีเต็มที่ มีบิดาเป็นชินอ๋อง มีมารดาเป็นจอมยุทธ์หญิง มีพี่ชายใหญ่เป็นท่านประมุขแห่งสำนักอันดับหนึ่งของยุทธภพ มีพี่ชายรองเป็นชินอ๋องซื่อจื่อเก่งกาจทั้งศาสตร์บุ๋นและมีฝีมือเชิงบู๊
ด้วยเหตุนี้ นิสัยจ้าวเล่อเสียจึงเถรตรงผ่าเผยและโผงผาง
ดีมาดีกลับ ร้ายมาย่อมตอบแทนให้ย่อยยับกันไปข้างกระทั่งนางอายุสิบหกปีได้ท่องเที่ยวโลกกว้างตามลำพัง จนได้เจอรักแรกพบกับบุรุษผู้หนึ่งซึ่งเป็นคุณชายลูกผู้ดีตระกูลมหาบัณฑิต แม่นางน้อยจึงปรับเปลี่ยนตัวเองครั้งใหญ่เพื่อเขา กลายเป็นกุลสตรีดีงาม เรียบร้อยอ่อนหวาน มารยาทนุ่มนวลสูงส่งดุจธาราสวรรค์ นางลงทุนลงแรงทำทุกทางจนได้หมั้นหมายสมใจ ทว่าทั้งหมดกลับสูญเปล่า เมื่อเขาบอกกล่าวมาประโยคเดียวว่า ‘สตรีจืดชืดชวนหน่ายเช่นเจ้า ไม่คู่ควรกับข้า...’
แต่ไฉนอดีตคู่หมั้นผู้นี้กลับตามติดนางไม่ห่าง ทั้งใช้สารพัดเล่ห์กลให้นางดูแลอย่างไม่หวงแหนร่างกายเช่นนี้เล่า
คำเตือน
นิยายเรื่องนี้ไม่อ้างอิงประวัติศาสตร์ชาติใด
ทุกตัวละครไม่มีอยู่จริง
ทุกตัวอักษรเกิดจากจินตนาการทั้งหมด
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ขอให้ทุกท่านมีความสุขและสนุกกับจินตนาการ
ด้วยรัก
หลี่หง
เสียงร่ำไห้ค่อยๆ จางลง หูเย่หรงเริ่มคล้อยตามจ้าวเล่อเสีย นางเริ่มคิดได้ การอยู่ใกล้พระโพธิสัตว์ ย่อมมองลูกได้จากที่ไกลๆ และอาจได้รับดวงตาพระธรรมส่งผลให้เห็นสามีในอีกภพหนึ่งด้วยหูเย่หรงเช็ดหยาดน้ำตา เงยหน้า ก่อนผงกศีรษะเบาๆ อย่างยอมรับชะตากรรมอีกรูปแบบหนึ่งทว่าพริบตานั้น เสียงสวบพลันดังขึ้น ไม่มีใครตั้งตัวทั้งสิ้น เบื้องหน้าสายตาหูเย่หรง ลูกธนูคมกริบดอกหนึ่งจากที่ไกลพุ่งเข้ามาใกล้แล้วขยายใหญ่ขึ้น ตามติดมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง แล่นปราดจากจุดเดียวลุกลามไปทั่วร่างนางก้มหน้าลงตามสัญชาตญาณก็มองเห็นเลือดไหลทะลักจากหน้าอก สีแดงฉานกระจาย กระไออุ่นที่แผ่ซ่านจากโลหิตสลายหายไปกับสายลมบนยอดหน้าผาแห่งนี้อย่างรวดเร็ว“เย่หรง!” จ้าวเล่อเสียตกใจยิ่ง รีบกอดร่างเปื้อนเลือดไว้“มีคนร้าย” โจวอวี่ลุกขึ้นยืนเป็นโล่กำลังให้สองสตรีทันทีรอบด้านพลันมีเงาดำวูบไหวทั่วทิศ ย่อมเป็นกลุ่มคนชุดดำที่เคยตามติดหมายปลิดชีวิตโจวอวี่ ครานี้พวกมันหอบโทสะ พร้อมความแค้นเทียมฟ้ามาด้วยมิใช่เพียงฆ่าคนแลกเงินอย่างเดียว แต่ต้องการแก้แค้นให้กับสมุนที่ตายเมื่อคราวที่แล้ว ลูกธนูห่าใหญ่โหมเข้าใส่ปานสายฟ้าผ่าระลอกแล้วระลอกเล่า
นอกเขตเมืองอิ๋นโจวบนหน้าผาสูงชันในหุบเขาเถียนซานหูเย่หรงยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว สายตานางทอดมองไปไกล สีหน้าฉายแววทอดอาลัยไร้สิ้นสุด ท่าทางของนางโศกเศร้าเคล้าความอาดูรครุ่นคิดคะนึงถึงมิสร่างซา“ท่านพี่...” กระแสเสียงสั่นเครือแผ่วพร่าเรียกขานคล้ายเรียกใครบางคนบนนภาอันเวิ้งว้าง“เพื่อลูกของเรามีที่พึ่งพิงจนเติบใหญ่ ข้าจึงตัดสินใจเช่นนี้ ข้าทำดีที่สุดแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ? อาจดูเห็นแก่ตัว แต่ข้าอยู่ไม่ได้หากไม่มีท่าน ใจข้าตรึงรักเพียงท่าน มิอาจมอบให้ผู้ใด”หูเย่หรงยิ้มขื่น น้ำตาหลั่งริน “บนสวรรค์ท่านเหงาหรือไม่ ข้าขอตามท่านไปยังภพหน้า เราสองต้องครองคู่กันนิรันดร์”จบคำนางก้าวขึ้นหน้าอย่างเชื่องช้าทว่ากิริยาแน่วแน่มั่นคง ดวงตาทั้งสองหลับลง หยาดน้ำใสกลิ้งบนพวงแก้มแล้วกระจายไปกับสายลม กระนั้นกลับมิอาจแห้งเหือดเรือนร่างบอบบางอ่อนแรงค่อยๆ ทิ้งกายอย่างหมดอาลัย หูเย่หรงตั้งใจจมดิ่งจบชีวิตบนหน้าผาเถียนซานแห่งนี้ทว่าพริบตาพลันมีแรงกระชากมหาศาลดึงนางกลับขึ้นมาสตรีสองคนจึงกอดกันกลิ้งเข้ามาทางฝั่งหญ้านุ่ม ทิ้งห่างจากหน้าผามาไกลพอควรหูเย่หรงมองอย่างงุนงงและคาดไม่ถึง ครั้นพอหายตกใจแล้วตั้งสติได้นางก็
ช่วยมิได้ที่ทั้งคู่ คนหนึ่งชอบสีแดงสดร้อนแรงดุจเปลวเพลิง อีกคนชอบสีขาวจัดความเย็นชาแผ่ซ่านทำผู้พบพานหนาวสะท้านปานยืนอยู่บนแผ่นหิมะกลางธารา ยามเดินไปไหนมาไหนด้วยกันคำว่าโดดเด่นยังน้อยไป ความขัดแย้งนั้นแลดูลงตัวอย่างประหลาด ถึงขนาดที่คนต้องมองเหลียวหลังมาแล้วสาเหตุที่โจวอวี่พูดเรื่องการแต่งกายก็เพราะเขาเห็นกลุ่มคนคล้ายมือสังหารในคืนนั้นเดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าร้านเหล้าไฉจิ้น นี่คือสาเหตุที่คนต้องรีบเดินทาง เขาบอกจ้าวเล่อเสียว่าไม่อาจอยู่เมืองนั้นได้อีก เพราะอาจนำความเดือดร้อนมาให้สองพี่น้องสกุลอี้ในเมืองแห่งนี้ก็เช่นกัน คนทั้งสองมิอาจเปิดเผยตัวตนเข้าเยี่ยมเยือนมู่จินหรือเข้าพำนักเฉกสหายต่างเมืองอย่างผ่าเผยได้ จำต้องลอบสังเกตการณ์จากภายนอกเท่านั้น“ท่านคิดว่าเราควรเลือกเอาชุดไหนดี?” จ้าวเล่อเสียหยิบชุดนั้นชุดนี้ออกมาจากห่อผ้าจัดเตรียมสำหรับตนเองและโจวอวี่ ท่าทีเช่นนี้เหมือนภรรยาดูแลปรนนิบัติสามีไม่ผิดเพี้ยนโจวอวี่ลุกขึ้นคลำทางมาเรื่อยๆ ยกเชิงเทียนมาส่องใกล้ เพ่งมองดูอย่างจริงจัง “เอาชุดสีฟ้า ข้าเห็นว่าเจ้ามี ข้าเองก็มี ใส่เหมือนกันก็ดี”ชุดคู่รัก...นี่ไยม
การเดินทางไปสืบข่าวเรื่องชีวิตหลังคืนดีกับสามีของมู่จิน ส่งผลให้ชายหญิงคู่หนึ่งได้ใช้เวลาว่างยามนั่งในรถม้าให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยิ่งเพราะไม่มีงานอันใดให้ทำ สองคนจึงนั่งคุยกันสารพันวาจา“หากเป็นท่านเล่า?” จ้าวเล่อเสียถามขึ้น“อันใด” โจวอวี่เลิกคิ้ว“หากท่านเกิดพลาดท่ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสตรีที่มิใช่ภรรยา ท่านจะทำเช่นใด?”นางถามอย่างใคร่รู้ หวังเพียงบุรุษที่พึงใจไม่ทำให้ผิดหวัง“หากเป็นข้า” น้ำเสียงบุรุษราบเรียบ สีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าวาจามั่นคงมิสั่นไหว “แน่นอนว่าไม่มีทางพาหญิงใดเข้าเรือนมาเฉือนหัวใจภรรยาตัวเอง หากเกิดเหตุเช่นมีสัมพันธ์กับสตรีอื่นโดยมิตั้งใจข้าย่อมตัดขาดอย่างเด็ดเดี่ยวไม่เกี่ยวข้องใดๆ วิธีย่อมสามัญคือให้เงินนางไปตั้งตัวสักก้อน หาคู่ครองให้ ส่งทั้งคู่ออกไป ให้อยู่ในที่ไกลๆ ไม่ต้องพบพานกับข้าอีกเลยชั่วชีวิต”คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย “อืม...จัดการได้ดี” ครู่หนึ่งกลับขมวดคิ้วนิ่วหน้า “แล้วถ้าหากมีสัมพันธ์โดยตั้งใจเล่า ท่านจะเอาเข้าเรือนแล้วพากันมากดดันให้ข้ายอมรับแบบสามีพี่มู่จินหรือ?”ขณะถามตาโตยิ่ง สีหน้าแน่วนิ่งจริงจังประหนึ่งกำลังถูกสามีนอกใจ เขากำลังมีหญิงใดรอพาตัว
reviews