หลินอวี่ยืนอยู่ข้างประตู จ้องเจียงจิ่นเหยียน นางรู้สึกเพียงว่าเขาช่างจริงใจตรงไปตรงมา ไร้ที่ติ สายตานางก็เป็นประกายขึ้นแวบหนึ่ง นางรู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่า คนที่หลงรักเจียงจิ่นเหยียนจะต้องเจ็บปวด เพราะว่าเขาเก็บหญิงนางหนึ่งที่ล่วงลับไปแล้วไว้ในใจ แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงลืมนางไม่ลง แต่ได้มีชายคนหนึ่งระลึกถึงตลอดชีวิตเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนที่โชคดีมากแล้วคนที่ตายจากไปก็หลุดพ้นตั้งนานแล้ว คนที่ยังมีชีวิตอยู่คือคนที่ทรมานเสมอสิ่งเหล่านี้คือความลับที่หลินอวี่ค้นพบโดยบังเอิญ แม้แต่เจียงเฟิ่งหัวนางก็ไม่ได้บอกนางกล่าว “คุณชาย”“เอาเสื้อผ้าที่สะอาดไปส่งให้หรวนหร่วนกับเหิงอ๋อง” พูดจบเขาก็ก้าวออกจากประตูไปเมื่อเจียงจิ่นเหยียนออกมาจากหอเซียงหย่า ก็ไม่เห็นจางอวี่มั่วแล้ว เขานึกว่านางกลับบ้านไปพร้อมบ่าวของสกุลจางแล้วเวลานี้เอง ซางอวี๋เพียนเพียนก็วิ่งกลับมา “จิ่นเหยียน เหตุใดจึงมีแต่ท่านคนเดียวเล่า?”เจียงจิ่นเหยียนตอบ “เหิงอ๋องเมาแล้ว หรวนหร่วนกำลังดูแลเขาอยู่”“คุณหนูจางล่ะ?” ซางอวี๋เพียนเพียนถามเจียงจิ่นเหยียนก็ไม่ได้คิดมาก “นางก็กลับจวนแล้ว”ซางอวี๋เพียนเพียนเข้าไปกอดเอวเ
อีกฝั่งหนึ่ง จางอวี่มั่วออกมาจากหอเซียงหย่า มองดูผู้คนที่ผ่านไปมาบนถนน พ่อค้าริมถนนร้องเรียกขายของ วันนี้นางไม่ได้กินอะไรมาก อีกทั้งยังอดอยากมาสองวันแล้ว นางรู้สึกเพียงว่าท้องว่าง นางจึงนำเงินทั้งหมดที่มีในตัวออกมา เริ่มซื้อไปตลอดทางจนเมื่อถือไม่ไหวแล้ว นางจึงค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง มองดูแสงไฟสว่างไสวบนท้องถนน ความเศร้าหมองในใจนางก็มลายหายไปในทันทีก่อนมาที่หอเซียงหย่า เจียงเฟิ่งหัวพานางไปที่ศาลาการกุศล นางไม่เคยรู้ว่าในเมืองเซิ่งจิงอันสวยงามเจิดจรัสรุ่งเรืองเฟื่องฟูยังมีสถานสงเคราะห์แบบนี้อยู่ด้วยคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเด็กและผู้หญิงทั้งนั้น ที่นั่นเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างเบิกบาน เป็นที่ที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ แต่เจียงเฟิ่งหัวบอกนางว่า ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างมีเรื่องราวของตัวเอง เด็ก ๆ เป็นเด็กกำพร้า หรือไม่ก็ถูกทอดทิ้ง ศาลาการกุศลเป็นคนรับพวกเขามาเลี้ยงในบรรดาหญิงสาว บางคนเคยถูกกระทำราวกับไม่ใช่มนุษย์ บางคนถูกผู้ชายหลอกลวงและทิ้งไป เมื่อไม่มีผู้ชายแล้ว พวกนางเป็นไม่ได้แม้แต่เครื่องประดับบารมี พวกนางถึงกับใช้ชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ตั้งแต่มีศาลาการกุศล พวกนางเลี้ยงตัวเอ
ชายคนนั้นกล่าวอีกว่า “เอาตัวพวกมันไป ลงโทษให้หนัก”จางอวี่มั่วร้องห่มร้องไห้จนไม่เป็นผู้เป็นคนตั้งนานแล้ว นางนั่งยอง ๆ กอดแขนอยู่ในมุม เวลานี้เอง ชายคนนั้นก็ยื่นมือมาทางนางในทันใด “ไม่เป็นไรแล้วนะ”จางอวี่มั่วเงยหน้าขึ้นมาจ้องชายที่อยู่ตรงหน้าและทหารกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขา นางระแวดระวังอยู่ในใจ ไม่กล้าให้พวกเขาเข้ามาใกล้ชายคนนี้สวมชุดผ้าไหมสีเขียวล้วน มองดูสุภาพเรียบร้อย แต่ตัวเขาแผ่รัศมีความชั่วร้ายออกมาอย่างชัดเจน กล่าวเสียงหนักแน่นว่า “วางใจเถิด พวกเขาไม่กล้าข่มเหงท่านอีกแล้ว”จางอวี่มั่วลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณเจ้าค่ะ”ชายคนนั้นกล่าวอีกว่า “บ้านคุณหนูอยู่ที่ใด ข้าน้อยจะให้คนไปส่งท่านกลับจวน”จางอวี่มั่วอยากบอกว่าไม่ต้องหรอก แต่ว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ช่างน่ากลัวเกินไปแล้วจริง ๆ นางรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาในใจ นางเกือบตายแล้ว ตอนนี้ยังไม่หายเสียขวัญ เห็นว่าอีกฝ่ายพาทหารมา ก็คิดในใจว่าน่าจะเป็นคนของราชสำนัก จึงบอกที่อยู่แก่เขาไปเมื่อชายคนนั้นได้ฟัง “ท่านเป็นคนของจวนจางกั๋วกง มาอยู่ที่นี่เพียงลำพังได้อย่างไร”“ข้า…” จางอวี่มั่วอยากจะพูดแต่ก็ยั้งไว้ “ข้
จีเฉินพาซูถิงหว่านมาหลบอยู่ในที่มืด เขาเข้าไปกระซิบข้างหูนาง “อยากเอาชนะศัตรู ก็ต้องรู้เขารู้เรา จึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เจ้าพุ่งเข้าชนโดยไม่สนใจใด ๆ ทั้งสิ้นเช่นนี้ มีแต่จะเจ็บตัว”“จุดอ่อนของเจียงเฟิ่งหัวคืออะไร?” เขาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายซูถิงหว่านคิดอยู่นาน ส่ายหัวไปมา “ข้าไม่รู้ นางทำตัวอ่อนแอ พอนางร้องไห้เซี่ยซางก็จะสงสารนาง ข้าก็ทำอะไรนางไม่ได้”จีเฉินกล่าว “นี่ก็คือความชาญฉลาดของนาง ผู้หญิงแสดงความอ่อนแอต่อหน้าผู้ชาย ผู้ชายก็จะเกิดความเมตตาสงสารนาง นานวันเข้า นางก็ย่อมล่อลวงผู้ชายไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้านั้นของนางต่างหากคืออาวุธสำคัญที่สุดของนาง นี่คือสิ่งที่เรียกว่ายอดบุรุษยากจะฝ่าด่านหญิงงามไปได้”ซูถิงหว่านได้ฟังแล้ว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “นางก็ใช้ใบหน้านี้ของนางนี่แหละยั่วยวนเซี่ยซาง ข้าละอยากทำลายมันเสียจริง”“ล่อลวงเซี่ยซางไปได้ เกรงว่านางจะไม่ได้อาศัยรูปโฉมอันงดงาม แต่เป็นเล่ห์เหลี่ยมของนางต่างหาก…” จีเฉินพูดคำเดียวก็กระจ่าง “บุตรสาวราชครูคนหนึ่ง ไม่ได้รอบรู้เท่านั้น ยังหน้าตาสะสวยถึงเพียงนี้อีกด้วย นางแสดงท่าทางต่อหน้าเซี่ยซางเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็
ในเสี้ยววินาทีนั้น ภายในใจของซูถิงหว่านก็เบิกบานขึ้นมาทันที “พี่เฉิน ความหมายของท่านคือพวกเราควรลงมือจากจุดนี้”วันทั้งวัน นางเอาแต่ต่อสู้แย่งชิงให้เซี่ยซางมาที่ห้องของนาง แต่เจียงเฟิ่งหัวทำเพียงกระดิกนิ้ว เซี่ยซางก็ไปที่เรือนของนางแล้ว มีเพียงทำให้นางหายไปอย่างสมบูรณ์เซี่ยซางจึงจะไม่คิดถึงนางอีกเจียงเฟิ่งหัวให้นางอ่านหนังสืออยู่ที่จวน นางก็มิได้จะสอบจอหงวนสักหน่อย อ่านหนังสือมากมายเพียงนี้ไปทำไมกัน นางจงใจหารังแกนางชัดๆ แต่เซี่ยซางยังดันไปเห็นด้วยอีกเมื่อนึกถึงเมื่อครู่หลังจากที่เขาเมาสุราก็เอาแต่พูดถึงหรวนหร่วน หัวใจของนางล้วนก็กำลังหลั่งเลือดออกมาภายหลังที่เจียงเฟิ่งหัวให้คนไปส่งจางอวี่มั่วกลับจวน นางก็กลับไปที่หอเซียงหย่า เห็นเซี่ยซางยังคงหลับอยู่ นางจึงดึงเจียงจิ่นเหยียนไปอีกทาง “พี่ใหญ่ ที่แท้ท่านชอบผู้ใดกันแน่? จางอวี่มั่วหรือซางอวี๋เพียนเพียน?”นางเตือนขึ้นอีกครั้งว่า “หากพี่ใหญ่ชอบซางอวี๋เพียนเพียน ฐานะของนางไม่ใช่ผู้ที่สกุลเจียงของเราจะเทียบเคียงได้ ในอนาคตนางจะ…” นางมิได้กล่าวคำพูดด้านหลังออกมาเจียงจิ่นเหยียนก็รู้ว่าไม่อาจมีความเกี่ยวข้องกับซางอวี๋เพียนเพียนมากเกิน
“ไม่ใช่เรื่องของผู้อื่น เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของหม่อมฉันเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวต่ออีกครั้ง “หม่อมฉันไม่อยากให้พวกเขาเกิดเรื่อง”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะเกิดเรื่อง? อีกอย่างพวกเขาจะเกิดเรื่องอะไรได้” เซี่ยซางถามนางเสียงหนักในชั่วขณะ เจียงเฟิ่งหัวก็ไม่อาจตอบได้เซี่ยซางแต่งกายเรียบร้อยนานแล้ว เมื่อลุกขึ้นมาก็เดินผ่านนางออกประตูไปทันทีเจียงเฟิ่งหัวงุนงงไปหมด เขาโมโหด้วยเหตุใดกัน เป็นเขาที่อาเจียนใส่นางไปทั้งร่างชัดๆช่างประหลาดเหลือเกินนางไม่อยากเดาว่าเหตุใดเขาจึงได้โทโสเช่นนี้ ยกชายกระโปรงไล่ตามออกไป “ท่านอ๋อง รอหม่อมฉันด้วยสิเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวไล่ตามออกไป เขาชะงักฝีเท้าไปชั่วขณะหนึ่งแล้วกลับเร่งความเร็วขึ้นอีกหลินอวี่ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็ไล่ตามออกมาเช่นกัน ก็เห็นเจียงเฟิ่งหัวยืนอยู่หน้าบันได “เกิดสิ่งใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”ในครั้งนี้ เจียงเฟิ่งหัวไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเซี่ยซางจึงได้เป็นเช่นนี้ นางกำชับให้หลินอวี่ดูแลเจียงจิ่นเหยียนให้ดีก็ออกจากหอเซียงหย่าไปในตอนที่นางออกมา เซี่ยซางไม่ได้รอนางจริงๆ เขาจากไปแล้วนางรู้ว่าเซี่ยซางเจ้าอารมณ์ แต่นางไม่เคยรู้มาก่อนว่า
เจียงเฟิ่งหัวได้ยินเขาเรียกขานเป็นพี่เป็นน้องกับเซี่ยซางก็รู้สึกรำคาญขึ้นมาทันที ยิ่งรำคาญที่เขาเอาแต่เรียกน้องสะใภ้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยการเสแสร้งแกล้งทำเป็นเคร่งขรึมจริงจังนางก็ไม่คิดจะไว้หน้าจีเฉิน “ที่นี่เป็นฝ่ายในของจวนอ๋อง คุณชายจีอย่าได้บุกเข้ามาง่ายๆ จะดีกว่า เพราะต่อให้คุณชายจีเป็นพี่บุญธรรมของชายารองซู ทว่าก็ยังเป็นเพียงพี่ชายบุญธรรมเท่านั้น คนมากปากก็มาก คุณชายจีอย่าให้ชายารองซูต้องถูกคนวิพากษ์วิจารณ์จะดีกว่า”กล่าวจบ นางก็ยืดหลังตรงแล้วเดินจากไปทันทีจีเฉินตะลึงไป จากนั้นมุมปากก็ยกเป็นรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา ช่างเป็นปากที่คมกล้านัก ช่างเป็นหญิงที่งดงามมากสามารถไร้ผู้เปรียบจริงๆ......เซี่ยซางสะกดกลั้นความขุ่นเคืองมาหลายวัน ในที่สุดก็อดถามหลินเฟิงไม่ได้ “หลายวันมานี้เจ้ามัวไปอยู่ที่ใดมา?”หลินเฟิงถูกถามจนมึนงง “ข้าน้อยก็คอยติดตามท่านอ๋องอยู่ตลอด มิได้ไปที่ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ!”ความโมโหของเซี่ยซางพวยพุ่ง “ปกติเจ้าไม่ได้ชอบวิ่งมั่วไปทั่วหรือ? ทำไมตอนนี้ถึงได้ว่านอนสอนง่ายนักเล่า”หลินเฟิงจึงตระหนักได้ขึ้นมา หลายวันมานี้ท่านอ๋องล้วนมิได้ไปที่หอหล่านเยว่ หลังกลับจากหอเซียงหย่าก็ทร
ในเวลานี้ สองสามีภรรยาต่างมีความคิดของตน แต่ล้วนมิได้อยู่ในระดับเดียวกันหลังเซี่ยซางที่เต็มไปด้วยทระนงตนของผู้ที่เหนือกว่าฝืนต่ออย่างไร้ทางออกครู่หนึ่ง ก็หยิบเอกสารบนโต๊ะหนังสือมาก้มหน้าก้มตาอ่านอีกครั้ง เขาจะรอให้เจียงเฟิ่งหัวเป็นฝ่ายก้มหัวมาขอร้องเขาในยามทำงาน เขาไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งใดทั้งสิ้น เครื่องหน้าทั้งห้าอันห้าวหาญทั้งของเขาคมชัดเด่นเป็นสัน ภายในดวงตาอันลึกล้ำเปล่งประกายสว่างไสว เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเจียงเฟิ่งหัวยอมรับว่า ท่าทางตั้งอกตั้งใจทำงานของเซี่ยซางชวนให้คนมีเสน่ห์อย่างมาก เขาเป็นคนประเภทที่ทำให้สตรีหลงใหล และก็รู้ว่าตอนนี้เขากำลังเอาแต่ใจ ยามปกติล้วนเป็นนางที่เป็นฝ่ายไปกล่อมเขา เขาคงจะเคยชินแล้วกระมัง! นางก็ไม่ขอร้องเขาแล้ว อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ!นางก็เตรียมจะเป็นฝ่ายแข็งสักครั้ง หมุนกายเตรียมเดินออกจากประตูไปทันทีเซี่ยซางจึงประชดประชันขึ้นมาว่า “จะไปเช่นนี้ เจ้าไม่อยากรู้เรื่องของหลี่เฉิงคู่หมั้นของจางอวี่มั่วแล้วหรือ? จะอย่างไรเจ้าก็ใส่ใจพวกเขาถึงเพียงนั้น” แต่กลับไม่เคยใส่ใจข้าเช่นนี้เลยก่อนเจียงเฟิ่งหัวจะมาได้จงใจแต่งกายมาก่อน กิริยาของนางอ่อนช้อยงดงา
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค
ครั้นส่งสี่หมัวมัวออกไปแล้ว เจียงเฟิ่งหัวเองก็มิอาจใจเย็นอยู่เฉยได้ ซูถิงหว่านต้องมีความทรงจำจากเมื่ออดีตชาติแล้วแน่ ซูถิงหว่านรู้แล้วว่าหลังจากนี้นางจะได้เป็นฮองเฮา เพราะฉะนั้นนางถึงได้ไม่เกรงกลัวเพราะมีสิ่งยึดเหนี่ยว หากมิใช่เพราะการตายของจีเฉินทำให้การเดินทางของนางล่าช้า นางอาจจะมุ่งหน้าไปเขตชายแดนเพื่อรวมตัวกับคนสกุลซูแล้วก็ได้ นางมิอาจเอาความโปรดปรานของเซี่ยซางมาเดิมพันว่าตำแหน่งของนางจะมั่นคง เมื่อวานฝ่าบาทนอกจากพระราชทานสิ่งล้ำค่าให้กับนางเพื่อเป็นรางวัลแล้ว ยังพระราชทานป้ายอาญาสิทธิ์ทองคำส่วนพระองค์ป้ายหนึ่งให้กับนางด้วย ด้านบนมีอักษรเขียนว่า ‘เสมือนฮ่องเต้เสด็จ’ มีมันแล้ว นางก็สามารถเดินผ่านได้ทุกที่ในวังหลวงแม้กระทั่งทั่วทั้งใต้หล้า ตอนแรกนางงุนงงอยู่เล็กน้อย ต่อมาเฉากงกงถึงได้เร่งให้นางรีบกล่าวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทได้ สัญลักษณ์ของผู้ที่ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์อันนี้ก็คืออำนาจ คือความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฝ่าบาทมีต่อนาง “พระชายา ท่านเป็นอะไรไปเพคะ หน้าซีดเชียวเพคะ” เหลียนเย่เห็นนางเงียบไปนาน เหม่อลอยอยู่ตามลำพัง “เปล่า อาจเพราะเหนื่อยล้าเกินไปหน่อยกระมัง ข
สี่หมัวมัวตกใจกลัวตัวสั่น รีบยั้งปากทันใด ครั้นมาถึงด้านในตำหนักเฉินซี เจียงเฟิ่งหัวก็สั่งให้เหลียนเย่ปิดประตูทันที ทิ้งให้อยู่ในห้องกับสี่หมัวมัวลำพัง เห็นเพียงนางสีหน้าเยือกเย็น พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “สี่หมัวมัว เจ้าคงจะทราบดีว่าคำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ บัดนี้เสด็จพ่อมีพระพลานามัยแข็งแรงดี ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังมิได้แต่งตั้ง เจ้ากลับเผยแพร่คำพูดเหล่านี้โดยพลการ มิเพียงเจ้าจะรักษาศีรษะของเจ้าไว้ไม่ได้ แม้แต่เสด็จแม่ ท่านอ๋องและข้าก็จะพลอยได้รับเคราะห์จากคำพูดประโยคนี้ของเข้าไปด้วย” สี่หมัวมัวตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นไหลพราก ๆ “บ่าวทราบเพคะ ดังนั้นบ่าวถึงได้เก็บงำไว้ในใจมาตลอด บางคำมิได้พูด บ่าวเองก็ทุกข์ใจเพคะ หนนี้ถึงได้อยากแจ้งพระชายา อยากให้พระชายาช่วยโน้มน้าวฮองเฮาด้วยเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างจงใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถ้อยคำเหล่านี้พระชายารองซูเอ่ยกับเสด็จแม่ เจ้ามิได้โป้ปดจริงแน่หรือ” สี่หมัวมัวเล่าอย่างละเอียดไม่มีปิดบัง “ถ้อยคำเหล่านี้บ่าวมิได้เป็นคนพูดเพคะ บ่าวจะกล้าพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไรเพคะ และมิใช่ฮองเฮาเป็นคนตรัสด้วยเพคะ ถ้อยคำเห
ผ่านไปสองวัน ซูถิงหว่านยังไม่กลับมา สุดท้ายแล้วนางเลือกเดินซ้ำรอยเดิมของชาติก่อนติดตามเซี่ยซางไปที่เขตชายแดน และที่น่าขันคือข่าวนี้เฉิงฮองเฮาเป็นคนมาบอกนางด้วยตนเอง ได้ยินเฉิงฮองเฮากล่าวว่า “พระชายารองซูไปที่เขตชายแดนเพื่อช่วยซางเอ๋อร์ทำศึก ซางเอ๋อร์เองก็จำเป็นต้องมีสตรีสักคนคอยดูแลอยู่เคียงข้างกาย ส่วนเจ้าก็ท้องแก่แล้ว ข้าจึงอนุญาตให้นางไป หรวนหร่วนเจ้าคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง” เจียงเฟิ่งหัวผุดยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ยว่า “เสด็จแม่ทรงคิดรอบคอบ ท่านอ๋องมีคนเอาใจใส่อยู่เคียงข้างกายสักคนก็นับว่าดีเพคะ เพียงแต่เหมันต์ฤดูอากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก และอีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว พระชายารองซูเป็นสตรีตัวคนเดียวเดินทางไปเช่นนั้นจะปลอดภัยหรือเพคะ” “นางมีวรยุทธ์ติดตัว และมีกองทัพสกุลซูปกป้องคุ้มครอง ปลอดภัยไร้กังวล เราเห็นว่านางก็มิได้มีท่าทีอิดออดอะไร” “เป็นเช่นนี้ก็ดียิ่งนักเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฮองเฮาเปลี่ยนใจรวดเร็วเสียจริง ตอนแรกยังคัดค้านเซี่ยซางอย่างสุดกำลังไม่ให้พาสตรีไปออกศึก อ้างว่าจะไม่เป็นสิริมงคล ถึงขั้นทำลายความองอาจน่าเกรงขามของหัวหน้าแม่ทัพ ทว่าบัดนี้กลับอ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น