เสียงกระจกหน้าต่างฝั่งตรงข้ามแตกดังแกรก นักฆ่าคนที่สองพุ่งตัวเข้ามาพร้อมควันไฟที่ถูกจุดล่อเบี่ยงความสนใจ แต่นางยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม นั่นเพราะเงาร่างสีขาวเคลื่อนผ่านแสงตะเกียงด้วยความเร็วราววิหคเหิน เขายกตะเกียงในมือโบกขึ้น เป่าดับไฟ แล้วแทงคมมีดกลับไปยังต้นเสียงโดยไม่ต้องมอง เสียงร่างกระแทกพื้นดังตึง ร่างที่สามลอบเข้ามาจากประตูหลัง หยุดกึกกลางทาง
เงาของไป๋อวิ๋นยืนนิ่งอยู่ตรงกลางห้อง และเสียงของลี่อินก็เอ่ยขึ้นเบื้องหลังเขา
“ถ้าเจ้าไม่ถอยออกไป จะไม่มีโอกาสได้ตายดี”
นักฆ่าคนสุดท้ายลังเลชั่วครู่ ก่อนจะโยนอะไรบางอย่างลงพื้น มันคือกระบอกไม้ไผ่ที่มีตราสัญลักษณ์ลบลายบนปลอก
“จงส่งสาส์นนี้คืนไปยังผู้ส่งมันมา…” ลี่อินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “…และบอกมันว่า นับแต่นี้ ข้าจะไม่ยอมทนอยู่เงียบ ๆ อีก!”
รุ่งเช้าในวันถัดมา เสี่ยวจูเปิดประตูเรือนก็พบว่าหน้าประตูถูกกวาดเรียบจนไม่มีแม้ร่องรอยของการต่อสู้ ไป๋อวิ๋นจากไปแล้วเช่นทุกครั้ง ไม่เอ่ยคำร่ำลา ไม่ปล่อยแรอยเท้าไว้เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เหลืออยู่คือลายมือสั้น ๆ บนกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งที่วางใต้หม้อน้ำชา
“ครั้งหนึ่งข้าเคยพลาด ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมพลาดอีก”
และเหนือกระดาษนั้น วางอยู่บนสุด คือขนนกสีเงินเส้นหนึ่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององครักษ์เงาที่ขึ้นตรงต่อท่านอ๋องเพียงผู้เดียวในต้าหลิง
แสงแดดยามเช้าสาดผ่านแนวระแนงไม้ ร่วงหล่นลงบนพื้นศิลาขาวสะอาด ลี่อินกำลังนั่งพับผ้าด้วยมือของตนเอง เงียบงันไร้คำพูด เสี่ยวจูที่นั่งอยู่ด้านข้างพลางปักชายเสื้อขนสัตว์มองเจ้านายของตนอยู่เนิ่นนานก่อนเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“คุณหนู พวกมันกลับมาอีกหรือไม่เจ้าคะ”
เสียงฝีเท้าของใครบางคนก้าวเข้ามาแทนคำตอบ สาวใช้ผู้หนึ่งโผล่หน้าเข้ามาก่อนจะย่อตัวลง
“คุณหนูใหญ่ ฮูหยินรองกับคุณหนูรองเรียกพบเจ้าค่ะ บอกว่ามีของจะมอบให้”
แววตาของลี่อินไม่ไหวเอนแม้แต่น้อย
“ของจากแม่เล็กกับน้องหญิงอย่างนั้นหรือ…” นางทอดเสียงเย็น “เช่นนั้นก็คงเป็นยาพิษกระมัง”
เสี่ยวจูตื่นตระหนก “คุณหนูอย่าไปนะเจ้าคะ!”
“ข้าจะไป” ลี่อินลุกขึ้นอย่างเรียบเฉย
“แต่ข้าไม่ได้ไปเพื่อรับของ…” นางว่า พลางสวมผ้าคลุมขนสุนัขจิ้งจอกที่แม้ซีดจางแต่สะอาด
“แต่ข้าไปเพื่อเตือนพวกนางว่า ข้าในตอนนี้ ไม่ใช่ลี่อินคนเดิมที่พวกนางเคยย่ำยี!”
ห้องโถงของเรือนใหญ่ยังคงหรูหราเช่นเดิม ผ้าม่านสีแดงเข้มพริ้วไหวตามลมหนาว เจินซูเม่ยนั่งจิบชาอยู่ข้างเตาไฟ ส่วนเซียวถิงฮวานั่งเชิดหน้าอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นลี่อินเดินเข้ามาในท่วงท่ามั่นคง ดวงตาของทั้งสองก็ฉายแววไม่พอใจในทันใด
“หากไม่เชิญก็ออกจากรังมาไม่ได้สินะ” เจินซูเม่ยเอ่ยแค่นเสียง
ลี่อินย่อตัวอย่างเยือกเย็น แต่คำพูดกลับคมยิ่งกว่ากริช
“รังหรือเจ้าคะ? ข้านึกว่าฮูหยินรองจะกล่าวถึงมุมมืดของใจท่านเสียอีก”
เซียวถิงฮวาลุกพรวด สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยโทสะ
“เจ้าพูดเช่นนี้กับท่านแม่ได้อย่างไร!”
“อ้อ ข้าเข้าใจผิดเสียแล้ว” ลี่อินหันไปมองนางด้วยรอยยิ้มเหยียด
“เพราะข้าไม่มีท่านแม่แบบที่เจ้ามี ข้าจึงไม่คุ้นเคยกับการประจบประแจงคนจิตใจคับแคบ”
เจินซูเม่ยวางถ้วยชาดังปัง เสียงกระเบื้องกระทบจานรองสะท้านทั่วห้อง
“เซียวลี่อิน เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน!” นางกรีดเสียง “เจ้าจะไม่มีวันได้แม้แต่เศษอำนาจในจวนนี้!”
ลี่อินจ้องตอบตรง ๆ
“ข้าไม่ปรารถนาเศษอะไรจากท่าน สิ่งที่ข้าจะเอา คือความจริงที่ท่านปิดบังไว้เบื้องหลังความหรูหรานี้ต่างหาก”
เสียงเงียบงันปกคลุมห้องอีกครั้ง ราวกับอากาศทั้งหมดถูกแช่แข็ง แล้วเสียงของเจินซูเม่ยจึงแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น
“เจ้า…เจ้าคิดว่าการล่วงรู้ความลับบางประการ จะทำให้เจ้าพ้นจากความเป็นบุตรสาวที่ไร้ค่าในสายตาของพ่อเจ้าได้หรือ?”
ลี่อินหัวเราะเบา ๆ “ฮึ! ในสายตาท่านพ่อ ข้าไม่เคยมีค่าอยู่แล้ว แต่ในสายตาของจิ้งอ๋องนั้น ข้ามีค่ามากพอจะเป็นพยานลับสำหรับการทุจริตในกรมคลัง”
เจินซูเม่ยหน้าถอดสีทันที ขณะที่เซียวถิงฮวาเบิกตาโพลง ลี่อินหันหลังกลับโดยไม่สนใจน้ำชาในถ้วยหรือขนมใด ๆ ที่วางอยู่ ก่อนก้าวออกจากเรือนนั้นอย่างองอาจ เสียงสุดท้ายของนางสะท้อนในห้องดังกังวาน
“ดอกเหมยของข้า อาจยังไม่ผลิบานในฤดูหนาวนี้ แต่รอก่อนเถิด ฤดูใบไม้ผลิจะต้องมาถึง”
หลังจากลี่อินกลับถึงเรือนหลังเล็ก เสี่ยวจูก็รีบวิ่งมารับด้วยสีหน้าวิตก
“คุณหนู! ข้าได้ยินจากบ่าวในครัวว่าเมื่อครู่นี้ ฮูหยินรองโยนถ้วยชาพื้นจนถ้วยแตกกระจาย เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ!”
ลี่อินเพียงยิ้มบาง “แค่ถ้วยชา นับว่ายังเบา”
นางเดินตรงไปที่หีบไม้ใต้เตียง เปิดออกเผยให้เห็นห่อผ้าสีครามที่ซ่อนสมุดบันทึกของไป๋อวิ๋น มือเรียวกางสมุดออกช้า ๆ ก่อนจะหยิบเอกสารฉบับหนึ่งขึ้นมา เอกสารที่จิ้งอ๋องเคยมอบให้นางก่อนหน้านี้
มันคือบัญชีปลอมในชื่อของบ่าวรับใช้ที่ไม่มีตัวตน แต่กลับถูกใช้ในการเบิกจ่ายเงินจำนวนมหาศาลจากคลังหลวง นางจดจำชื่อทั้งหมดในนั้นขึ้นใจ และรู้ดีว่าหนึ่งในนั้น คือชื่อของบิดาของนางเอง
“เซียวเฟิงเฉิน ท่านสร้างชื่อเสียงไว้สูงส่งนัก แต่เบื้องหลังท่านกลับลอบลักทรัพย์แผ่นดิน”
นางขบฟันแน่น ดวงตาสั่นไหวด้วยเพลิงแค้น นั่นคือสิ่งที่ทำให้มารดาของนางถูกทอดทิ้ง
นั่นคือเหตุผลที่พวกนางต้องทนทุกข์ทั้งที่อยู่ในจวนสกุลเซียว
พลันเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นที่ประตู “คุณหนูใหญ่!”
สาวใช้อีกคนหนึ่งรีบร้อนเข้ามารายงาน “มีคนจากตำหนักอ๋องมาส่งของเจ้าค่ะ!”
ลี่อินเลิกคิ้วเล็กน้อย “จากตำหนักอ๋องหรือ?”
นางเดินตามบ่าวออกไปยังหน้าจวน ที่นั่นมีบุรุษหนุ่มในชุดทหารยืนประสานมือ ค้อมศีรษะให้นางด้วยความเคารพ
“ข้าน้อยมาจากตำหนักจิ้งอ๋อง ท่านอ๋องทรงมีรับสั่งให้ส่งสิ่งนี้ถึงคุณหนูใหญ่ขอรับ”
กล่องไม้ดำสนิทที่ผูกด้วยด้ายแดง ถูกส่งมายังมือนาง เมื่อเปิดออก ภายในคือผืนแพรไหมสีดำปักอักษรด้วยด้ายสีทองว่า
“เงียบ
แต่ไม่ไร้เสียงมืดแต่ไม่ไร้แสงผู้ที่อยู่ในเงาอาจกลายเป็นแสงได้หากรู้จักเวลา”และใต้ผืนผ้านั้นคือ ตราประทับของจิ้งอ๋อง
เสี่ยวจูที่ยืนมองอยู่ด้านข้างถึงกับอ้าปากค้าง “นี่มัน…”
ลี่อินปิดฝากล่องเบา ๆ ดวงตาทอแสงเงียบงัน
“นับแต่นี้ ข้าเป็นสายลับในเงาของท่านอ๋องอย่างเป็นทางการแล้ว...”
หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปไม่กี่วัน ข่าวลือเรื่องเซียวลี่อินเดินเคียงจิ้งอ๋องเข้าร่วมงานเลี้ยงในหอเลี้ยงยังคงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงเหล่าสตรีน้อยใหญ่ต่างเอ่ยถึงเรื่องของนางด้วยทั้งความอิจฉาและเกรงขามขุนนางหลายคนเริ่มจับตามองนางในฐานะ ผู้ที่อ๋องเจ็ดยกย่องแต่ภายในจวนสกุลเซียว กลับเงียบงันราวกับพายุที่กำลังสะสมแรงเจินซูเม่ยนั่งอยู่หน้าโต๊ะบูชา ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ“นางกล้าหักหน้าข้าต่อหน้าผู้คน ข้าจะไม่มีวันปล่อยไปแน่!”เซียวถิงฮวารีบเข้ามา“ท่านแม่ เราจะทำอย่างไรต่อดี”เจินซูเม่ยยกผงยาสีขาวขึ้นจากกล่องไม้เล็ก ๆ“เพียงแค่โรยสิ่งนี้ในน้ำชา ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางก็จะอับอายต่อหน้าผู้คน”ในอีกฟากหนึ่ง เซียวลี่อินนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ในเรือนเล็ก สายลมพัดเส้นผมปลิวไหว แววตาของนางสงบนิ่ง แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มเย็น“เจินซูเม่ย เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ทันเล่ห์กลกระจอก ๆ ของเจ้าเช่นนั้นหรือ”จังหวะนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นก็ดังขึ้น หวังจิ้งเหยียนก้าวเข้ามาพร้อมกับองครักษ์สองคน“ข้าได้ข่าวว่ามีคนเคลื่อนไหวใกล้เรือนเจ้าอีกแล้ว”เซียวลี่อินหันไปสบตากับเขา“เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะรอดู ว่าเล่ห์กลภายใต้เ
ค่ำคืนวันนั้น จวนเจ้ากรมพิธีการจัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อต้อนรับคณะทูตจากแคว้นเหนือเหล่าขุนนางและสตรีผู้สูงศักดิ์ต่างแต่งกายหรูหรา เสียงดนตรีและกลิ่นสุรารินไหลเคล้าบรรยากาศเซียวลี่อินก้าวเข้าสู่หอจัดงานเลี้ยงพร้อมกับจิ้งอ๋องที่เดินเคียงข้างเพียงแค่ปรากฏตัว ทั้งห้องโถงก็เหมือนเงียบลงไปชั่วขณะสายตานับไม่ถ้วนหันมามอง มีทั้งความตกตะลึงและเสียงซุบซิบแผ่วเบา“นั่นคุณหนูใหญ่สกุลเซียวไม่ใช่หรือ นางมาพร้อมกับท่านอ๋องเจ็ดเชียวหรือนั่น”“ท่าทีดูสง่างามนัก ต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิงเลยนะ”“ก็นั่นน่ะสิ”เจินซูเม่ยและเซียวถิงฮวาที่นั่งอยู่เบื้องหน้า แววตาแทบลุกเป็นไฟการที่เซียวลี่อินเดินเข้าสู่หอจัดงานเลี้ยงพร้อมกับจิ้งอ๋องเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าสองแม่ลูกนั้นตรง ๆ ต่อหน้าผู้คนเซียวถิงฮวากัดฟันกระซิบ“ท่านแม่ นางจงใจ! นางจงใจเย้ยหยันข้า นางจงใจทำให้คนทั้งเมืองหลวงรู้ว่าท่านอ๋องอยู่ข้างนาง”เจินซูเม่ยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น แต่ก็ยังฝืนยิ้มไว้จิ้งอ๋องกวาดสายตาไปทั่วห้องโถงก่อนเอ่ยเสียงทุ้มเรียบ“วันนี้ข้ามาเพื่อร่วมดื่มสักจอก มิได้มาเพื่อฟังเสียงซุบซิบนินทาของใคร”เพียงคำพูดเดียว เสียงพูดคุยทั้งห
ข่าวสมุนไพรปนเปื้อนที่ถูกจับได้กลางทางแพร่สะพัดราวกับไฟลามทุ่ง จากตลาดเข้าสู่วังหลวง จากวังสู่หูเหล่าขุนนาง และสุดท้ายก็ย้อนกลับมาถึงจวนสกุลเซียวภายในเวลาไม่กี่วันเรือนใหญ่ภายในจวนบัดนี้เต็มไปด้วยบ่าวไพร่ที่ซุบซิบนินทา“ว่าแต่ฮูหยินรอง...เป็นนางจริงหรือไม่ที่อยู่เบื้องหลัง”“ชู่ว์! ระวังปากหน่อย หากนางได้ยินเข้า พวกเราจะซวยเอา”แต่ยิ่งห้าม เสียงเล่าลือก็ยิ่งดังไปทั่วภายในห้องโถง เจินซูเม่ยสีหน้าซีดขาว มือสั่นจนถ้วยชาร่วงแตกกับพื้น เซียวถิงฮวารีบคุกเข่าข้างกาย“ท่านแม่ อย่าหวาดหวั่นไป! เราต้องหาทางพลิกสถานการณ์ มิฉะนั้นเรื่องนี้จะกลายเป็นหลักฐานชัดเจนมัดตัวเรา”เจินซูเม่ยกัดฟันกรอด“ข้าไม่ยอมแพ้แน่ ข้าจะไม่ยอมให้นังเด็กนั่นมาทำให้ชีวิตข้าพัง!”ในอีกฟากหนึ่ง ลี่อินนั่งจิบชาในเรือนเล็กอย่างสงบ รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้างาม ยิ่งนางดิ้น ข่าวลือก็จะยิ่งมัดรอบคอนางเองเสียงฝีเท้าหนักดังขึ้นจากนอกโถง เซียวเฟิงเฉินก้าวเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ เขาได้รับฎีกาลับจากวังที่สอบถามเรื่องเกวียนสมุนไพรปนเปื้อน หากพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับจวนสกุลเซียว ชื่อเสียงและตำแหน่งเจ้ากรมคลังของเขาจะสั่นคลอนท
ข่าวการที่สมุนไพรปนเปื้อนถูกตรวจพบก่อนถูกส่งเข้าวังหลุดรอดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ชื่อของตระกูลเซียวถูกซุบซิบนินทาตามตลาด ร้านน้ำชา โรงเตี๊ยม และแม้แต่ในหมู่ขุนนางของราชสำนักภายในเรือนใหญ่ของจวนสกุลเซียว เจินซูเม่ยขว้างถ้วยชาจนแตกกระจาย“ผู้ใด! ผู้ใดมันกล้าใส่ร้ายข้าเช่นนี้!”เซียวถิงฮวารีบเข้ามาปลอบผู้เป็นมารดา“ท่านแม่ ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ หากเราร้อนรน ผู้คนก็จะยิ่งสงสัยนะเจ้าคะ”แต่แววตาของเซียวถิงฮวาเองก็กังวลไม่น้อย เพราะในใจนางเริ่มหวาดระแวงว่าผู้ที่ทำทั้งหมดนี้ อาจจะเป็นเซียวลี่อินขณะเดียวกัน เซียวลี่อินกำลังนั่งจิบชาเงียบ ๆ ในเรือนเล็ก ใบหน้าเรียบสงบ แต่ภายในเต็มไปด้วยเพลิงเย็นของความพึงพอใจนี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น หลังจากนี้ยังจะมีอีกหลายก้าวที่เจินซูเม่ยไม่มีทางหนีรอด!จังหวะนั้นเอง จิ้งอ๋องก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ส่งข่าวล่วงหน้า เขาก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะทอดสายตามองนาง“ครั้งนี้เจ้าทำได้เด็ดขาดยิ่งนักจนแม้แต่ข้าเองก็เกือบไม่ทันตั้งตัว”ลี่อินยกยิ้มบาง “เพราะหม่อมฉันไม่อยากให้ศัตรูมีเวลาหายใจเพคะ หากศัตรูมีเวลาได้หายใจ ก็อาจจะไหวตัวทัน”เซียวลี่อินหันไปมองจิ้ง
เซียวลี่อินกลับถึงเรือนเล็กในยามสนธยา แสงตะวันย้อมผนังเรือนเป็นสีส้มหม่น แต่ในหัวใจนางกลับไม่อุ่นเลยสักนิดข่าวลือแผ่ว ๆ จากพวกบ่าวไพร่ทำให้นางหยุดฟังอย่างตั้งใจ“ว่าแต่คุณหนูใหญ่นี่นางช่างดวงแข็งนัก ถึงกลับมามีชีวิตอยู่ได้”“เงียบปากเสีย! หากฮูหยินรองได้ยินเข้าเจ้าจะถูกโบย”บ่าวสาวสองคนรีบก้มหน้าก้มตาเมื่อเห็นเซียวลี่อินเดินผ่าน นางเพียงปรายตาเย็นชามองเล็กน้อยแล้วเดินต่อไปเจินซูเม่ย เจ้ากำลังคิดจะทำสิ่งใดอีกกันไม่นาน เสี่ยวจู สาวใช้คนสนิทของลี่อินก็เข้ามารายงาน“คุณหนูเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินรองเรียกพ่อบ้านไปหารืออย่างลับ ๆ ทั้งยังสั่งให้คนออกไปนอกเมืองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างอีกด้วยเจ้าค่ะ”ลี่อินเลิกคิ้วเล็กน้อย“ไปนอกเมือง? ไปเพื่อติดต่อผู้ใดกัน”เสี่ยวจูส่ายหน้า“ข้าไม่อาจเข้าใกล้ได้ แต่จากที่ได้ยิน คราวนี้ดูเหมือนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสมุนไพรบางชนิดเจ้าค่ะ”เซียวลี่อินนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนดวงตาจะวาวขึ้นสมุนไพร...ใช่แล้ว หากข้าจำไม่ผิด ในชาติก่อนมีคดีทุจริตส่งสมุนไพรปนเปื้อนเข้าวัง และหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องก็คือเจินซูเม่ยริมฝีปากของนางยกยิ้มเย็น“ดี เสี่ยวจู เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า
บ่ายวันนั้น เซียวลี่อินออกจากจวนสกุลเซียวเพื่อตรงไปยังตลาดใหญ่ นางตั้งใจจะไปหาซื้อสมุนไพรหายากเพื่อนำไปให้ท่านหมอเทวดาที่ช่วยรักษาผู้ป่วยยากไร้ ได้ยินมาว่าหากได้สมุนไพรนี้ไว้ จะมีค่าราวกับทองคำในยามจำเป็นผู้คนในตลาดคึกคัก เสียงตะโกนเรียกลูกค้าสลับกับกลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากแผงลอย เซียวลี่อินก้าวเดินไปตามตรอกแคบด้วยท่าทีระวัง จนกระทั่งเสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วตึก ตึก ตึก!นางเงยหน้าขึ้นทันที เห็นขบวนทหารม้าสวมเกราะดำมุ่งตรงมาทางตรอก ผู้คนรีบหลบลี้กันจ้าละหวั่น แต่เพราะช่องทางแคบนัก ลี่อินจึงถูกเบียดจนเกือบล้มก่อนที่ร่างจะกระแทกพื้น มือใหญ่แข็งแรงกลับคว้าข้อมือนางไว้มั่น แรงดึงพานางให้ซบเข้าสู่อ้อมอกที่อบอุ่นและมั่นคง“เหตุใดถึงเดินอยู่ตรงนี้คนเดียว”เสียงทุ้มเย็นนั้นดังขึ้นชิดข้างหูเซียวลี่อินเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าคมคายที่นางจำได้ดี เป็นเขา จิ้งอ๋อง หวังจิ้งเหยียนแววตาคมกริบของเขามองนางอย่างจับจ้อง จนหัวใจของนางเต้นสะดุดไปชั่วขณะ“หม่อมฉันมีธุระ”นางตอบสั้น ๆ พลางพยายามถอยห่าง แต่ฝ่ามือเขายังจับมั่นไม่ปล่อยหวังจิ้งเหยียนเหลือบตามองขบวนทหารที่เคลื่อนผ่านอย่างเร่งรีบ ก่อน