ค่ำคืนเงียบงันยิ่งกว่าที่เคย ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านแนวต้นหลิวที่ปลิดใบอย่างเชื่องช้า ในจวนสกุลเซียว แม้ภายนอกจะดูเงียบสงบ หากแต่ในความมืดของราตรีนั้น จิตใจของใครหลายคนต่างเต็มไปด้วยแรงเคลื่อนไหวที่ยากจะหยุดยั้ง
เรือนหลังที่เงียบเชียบของเซียวลี่อินกลับไม่มืดสนิทเหมือนเช่นทุกคืน ตะเกียงน้ำมันถูกจุดไว้ตรงกลางห้อง ราวกับนางตั้งใจ ‘เปิดทาง’ ให้ใครบางคนที่กำลังจะมา
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นหน้าประตูหลัง ลี่อินไม่แสดงท่าทีแปลกใจ นางลุกขึ้นอย่างสงบ แล้วเปิดประตูออกด้วยมือนิ่งมั่น
บุรุษในชุดผ้าฝ้ายสีขาวยืนอยู่ตรงหน้า รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมครึ่งหน้านั้นมีเพียงดวงตาคมลึกที่จ้องมองนางนิ่ง ๆ
“เจ้าคือผู้ที่จิ้งอ๋องส่งมาหรือ?” ลี่อินเอ่ยเสียงเบา
บุรุษชุดขาวพยักหน้า “ข้า ไป๋อวิ๋น เคยเป็นองครักษ์ลับประจำกรมคลัง เมื่อหกปีก่อนข้าเห็นสิ่งหนึ่ง แต่ไม่อาจกล่าวออกมาได้”
เสียงของเขานุ่มทุ้ม แต่ทว่าเย็นยะเยือกคล้ายลมภูผา
“และข้าจะไม่พูดกับใคร หากไม่มีเหตุผลพอ”
ลี่อินไม่ตอบในทันที นางเชื้อเชิญเขาเข้าไปนั่งในเรือนอย่างสงบ ตะเกียงสว่างเพียงพอให้เห็นเงาบนฝาผนังสั่นไหว แต่ไม่มากพอให้เห็นสีหน้าของทั้งสองชัดเจน นางเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
“หกปีก่อน มีการเบิกจ่ายเงินหลวงผ่านทางกรมคลังโดยตรง แต่กลับไม่มีใบตรายางประทับจากส่วนกลาง บิดาข้าเป็นผู้ลงนาม ขณะเดียวกัน เจินซูเม่ยกลับเป็นผู้ส่งบ่าวจากเรือนในไปติดต่อกับพ่อค้าอาวุธเถื่อน”
เสียงนั้นไม่ดุดัน ไม่กล่าวโทษ หากแต่มีพลังประหนึ่งคมดาบที่ลับจนคมกริบ ไป๋อวิ๋นยังคงนั่งเงียบก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยออกมา
“ข้าเห็นกระดาษแผ่นนั้น ข้าเคยล้วงมันมาจากโต๊ะของท่านเสนาบดีเซียว แต่วันรุ่งขึ้น บ่าวที่อยู่เวรกับข้าคืนนั้นก็หายไป ศพเขาถูกพบในคลองหลังเรือน พร้อมตราประทับปลอมในอกเสื้อ”
ลี่อินหลับตาลงชั่วครู่ ความคุ้นเคยบางอย่างพลันแทรกเข้ามาในหัว เสียงของเขา ท่วงท่า การวางตัว ดูไม่ใช่เพียงองครักษ์หลวงธรรมดา
“ไป๋อวิ๋น เจ้าเคยอยู่ในจวนนี้หรือไม่?” นางถามตรง ๆ
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา “เมื่อสิบปีก่อน ข้าเคยเป็นบ่าวในเรือนของฮูหยินใหญ่ หลี่ฟางเยว่”
คำตอบนั้น ทำให้นางชะงัก
ลี่อินจ้องเขม็งไปยังดวงตาเบื้องหลังผ้าปิดหน้า ริมฝีปากเม้มแน่นเล็กน้อย
“ข้าจำเจ้าไม่ได้ แต่ข้าจำได้ว่าท่านแม่เคยพูดถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เคยเฝ้าเดินตามนาง แม้เพียงถือกระบอกน้ำชา ก็ยืนห่างไม่เกินสามก้าว”
ไป๋อวิ๋นก้มหน้าลง “เพราะข้าไม่อาจช่วยฮูหยินได้ ข้าจึงไม่คู่ควรจะเปิดหน้าให้ท่านเห็น”
ภายในห้องเงียบลงไปอีกครั้ง ตะเกียงสั่นไหวหนักขึ้นตามแรงลมที่ลอดเข้าทางหน้าต่าง ทว่าไม่มีใครลุกขึ้นหรือเบือนหน้า ต่างฝ่ายต่างจมอยู่กับอดีตที่ไม่กล้าแตะต้อง
ในความมืด เงาของใครบางคนที่หายไปจากความทรงจำ กำลังกลับมา และครานี้ เขาจะมิใช่เงาอีกต่อไป...
รุ่งเช้าของวันถัดมา ท้องฟ้าปกคลุมด้วยหมอกจาง ใบเหมยสีขาวโปรยร่วงปะทะกับแผ่นศิลาทางเดินอย่างเงียบงัน ลี่อินยืนอยู่หน้าต่างเรือนหลัง เฝ้ามองเงาของใครบางคนที่เดินหายไปทางกำแพงหลังจวน
ไป๋อวิ๋นจากไปเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยคำลาทิ้งท้าย แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้ คือสมุดบันทึกเก่าเล่มหนึ่ง มีรอยเปื้อนหมึก และรอยเลือดจาง ๆ ตรงขอบกระดาษ
นางเปิดอ่านทีละหน้า เป็นลายมือที่ละเอียด ตรงทุกขีด ทุกย่อหน้าเหมือนถูกวัดด้วยไม้บรรทัด เนื้อหาในนั้น คือรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินหลวงในช่วงเวลาต้องห้าม รวมถึงบันทึกถึง “สตรีผู้หนึ่งที่นำของมาให้” และ “บุรุษที่ปลอมตราประทับของกรมวัง”
ทุกคำคือดาบที่พร้อมจะเฉือนเนื้อผู้ทรยศ เมื่อถึงเวลา...
เสี่ยวจูยกสำรับอาหารเช้ามาวางเงียบ ๆ พอเห็นสีหน้าของคุณหนูตนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามเบา ๆ
“คุณหนู บุรุษชุดขาวคนนั้น เขาเป็นผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
ลี่อินยังคงจ้องสมุดบันทึก “เขาคือคนในอดีต คนที่ข้าเคยมองข้าม และตอนนี้ เขากำลังเป็นอนาคตที่ข้าจะต้องวางใจ แม้เพียงครึ่งหนึ่งก็ตาม...”
บ่ายวันเดียวกัน ที่เรือนรับรองด้านตะวันตกของตำหนักอ๋อง เฉินอี้นำเอกสารทั้งหมดที่ไป๋อวิ๋นทิ้งไว้ ส่งให้จิ้งอ๋อง
ชายหนุ่มในชุดคลุมดำขลิบทองอ่านอย่างเงียบงัน ก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ
“ไป๋อวิ๋นคนนี้ รู้จักลี่อินมานานแล้วใช่หรือไม่?”
เฉินอี้พยักหน้า “ขอรับ เขาเคยอยู่ในเรือนของฮูหยินหลี่มาก่อน จะว่าไปอาจเป็นคนเดียวที่เคยภักดีต่อครอบครัวนางอย่างแท้จริง”
จิ้งอ๋องมองออกนอกหน้าต่าง ดวงตานิ่งลึก
“ถ้าเช่นนั้น เขาจะเป็นสิ่งที่ทดสอบความใจแข็งนางได้ดีที่สุด คนที่ข้าใช้ได้ ต้องไม่หวั่นไหวต่อเรื่องใดทั้งสิ้น”
ค่ำวันนั้น ฝนหลงฤดูโปรยปรายลงมาเบา ๆ เหนือจวนสกุลเซียว ลี่อินนั่งซ้อนมืออยู่ตรงชานไม้ เสียงหยดฝนกระทบพื้นแผ่วเบาแต่ชัดเจนยิ่งกว่าความคิดของนาง
“ไป๋อวิ๋น…”
ชื่อหนึ่งที่เคยเลือนรางในอดีต ตอนนี้กลับชัดเจนในความทรงจำยิ่งกว่าภาพบิดาผู้ให้กำเนิดเสียอีก
นางเคยวิ่งเล่นอยู่ในเรือนเดียวกับเขา เคยหัวเราะตอนเขาที่สะดุดรากไม้ตอนวิ่งเล่น เคยให้ซาลาเปาแป้งหยาบลูกสุดท้ายที่เหลือในถาด…
“ท่านแม่ ไม่ว่าก็ตามที่มันเคยทำให้ท่านเจ็บปวดทรมาน ข้าจะให้มันได้ชดใช้อย่างสาสมแน่นอน”
แสงสายฟ้าแลบผ่านฟ้าคืนฝนตก ลี่อินลุกขึ้นจากตั่ง หยิบผ้ามาคลุมไหล่ เสียงในใจดังชัดยิ่งกว่าสายลม
“ครั้งนี้ ข้าจะไม่หันหลังให้ใครอีก แต่หากใครคืออุปสรรค ข้าก็พร้อมจะแทงคนผู้นั้นด้วยมือข้าเอง...”
ค่ำคืนนี้เงียบกว่าคืนใด ๆ ในตรอกแคบหลังโรงเก็บผ้าของจวนสกุลเซียว เงาดำสามร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไร้เสียง มือหนึ่งถือกระบี่ อีกคนมีธนูสั้นติดหลัง อีกคนแอบอยู่บนหลังคาพร้อมมีดสั้นคมกริบ เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่จวนใหญ่ แต่เป็นเรือนหลังเล็กที่ซึ่งไม่มีใครใส่ใจ
ในห้องของลี่อิน แสงตะเกียงริบหรี่แทบจะดับ นางนั่งสงบนิ่งในความมืด หูฟังเสียงก้าวย่างที่ไม่ใช่ของคนรับใช้ เสียงที่ดังขึ้นใกล้เรื่อย ๆ จากด้านข้างเรือน เสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังขึ้นจากเงามืดมุมห้อง เงานั้นเคลื่อนตัวออกมาช้า ๆ เผยให้เห็นชายชุดขาวที่ยืนพิงผนังมาตั้งแต่เมื่อใดมิอาจทราบได้
“เจ้ารู้ตัวนานแล้วใช่หรือไม่” ลี่อินเอ่ยขึ้น
“ก่อนข้าก้าวเข้ามาในรั้วเรือนในคืนนี้ คุณหนูเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างไร้สาเหตุถึงสามครั้ง” ไป๋อวิ๋นกล่าวเรียบ ๆ
เสียงหน้าต่างฝั่งตะวันตกถูกแง้มเบา ๆ หนึ่งในนักฆ่ากระโจนเข้ามาอย่างเงียบกริบ แต่ไม่ทันที่ฝ่าเท้าจะเหยียบพื้น กระบี่ในมือของไป๋อวิ๋นก็ฟาดออกไปอย่างแม่นยำ
ฉัวะ!
ร่างหนึ่งร่วงลงกับพื้นอย่างไร้เสียงร้อง
“พวกมันส่งนักฆ่ามาไม่ใช่เพื่อลอบสังหารท่าน” เสียงของไป๋อวิ๋นแผ่วต่ำแต่หนักแน่น
“แต่เป้าหมายคือเผาทำลายเอกสารในเรือนนี้ และจับตัวท่านไปให้ใครบางคน”
ลี่อินไม่ถามว่าคนผู้นั้นคือใคร เพราะนางรู้ดีว่า คนที่ทำถึงขนาดนี้ได้มีเพียง...
เจินซูเม่ย!
หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปไม่กี่วัน ข่าวลือเรื่องเซียวลี่อินเดินเคียงจิ้งอ๋องเข้าร่วมงานเลี้ยงในหอเลี้ยงยังคงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงเหล่าสตรีน้อยใหญ่ต่างเอ่ยถึงเรื่องของนางด้วยทั้งความอิจฉาและเกรงขามขุนนางหลายคนเริ่มจับตามองนางในฐานะ ผู้ที่อ๋องเจ็ดยกย่องแต่ภายในจวนสกุลเซียว กลับเงียบงันราวกับพายุที่กำลังสะสมแรงเจินซูเม่ยนั่งอยู่หน้าโต๊ะบูชา ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ“นางกล้าหักหน้าข้าต่อหน้าผู้คน ข้าจะไม่มีวันปล่อยไปแน่!”เซียวถิงฮวารีบเข้ามา“ท่านแม่ เราจะทำอย่างไรต่อดี”เจินซูเม่ยยกผงยาสีขาวขึ้นจากกล่องไม้เล็ก ๆ“เพียงแค่โรยสิ่งนี้ในน้ำชา ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางก็จะอับอายต่อหน้าผู้คน”ในอีกฟากหนึ่ง เซียวลี่อินนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ในเรือนเล็ก สายลมพัดเส้นผมปลิวไหว แววตาของนางสงบนิ่ง แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มเย็น“เจินซูเม่ย เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ทันเล่ห์กลกระจอก ๆ ของเจ้าเช่นนั้นหรือ”จังหวะนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นก็ดังขึ้น หวังจิ้งเหยียนก้าวเข้ามาพร้อมกับองครักษ์สองคน“ข้าได้ข่าวว่ามีคนเคลื่อนไหวใกล้เรือนเจ้าอีกแล้ว”เซียวลี่อินหันไปสบตากับเขา“เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะรอดู ว่าเล่ห์กลภายใต้เ
ค่ำคืนวันนั้น จวนเจ้ากรมพิธีการจัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อต้อนรับคณะทูตจากแคว้นเหนือเหล่าขุนนางและสตรีผู้สูงศักดิ์ต่างแต่งกายหรูหรา เสียงดนตรีและกลิ่นสุรารินไหลเคล้าบรรยากาศเซียวลี่อินก้าวเข้าสู่หอจัดงานเลี้ยงพร้อมกับจิ้งอ๋องที่เดินเคียงข้างเพียงแค่ปรากฏตัว ทั้งห้องโถงก็เหมือนเงียบลงไปชั่วขณะสายตานับไม่ถ้วนหันมามอง มีทั้งความตกตะลึงและเสียงซุบซิบแผ่วเบา“นั่นคุณหนูใหญ่สกุลเซียวไม่ใช่หรือ นางมาพร้อมกับท่านอ๋องเจ็ดเชียวหรือนั่น”“ท่าทีดูสง่างามนัก ต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิงเลยนะ”“ก็นั่นน่ะสิ”เจินซูเม่ยและเซียวถิงฮวาที่นั่งอยู่เบื้องหน้า แววตาแทบลุกเป็นไฟการที่เซียวลี่อินเดินเข้าสู่หอจัดงานเลี้ยงพร้อมกับจิ้งอ๋องเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าสองแม่ลูกนั้นตรง ๆ ต่อหน้าผู้คนเซียวถิงฮวากัดฟันกระซิบ“ท่านแม่ นางจงใจ! นางจงใจเย้ยหยันข้า นางจงใจทำให้คนทั้งเมืองหลวงรู้ว่าท่านอ๋องอยู่ข้างนาง”เจินซูเม่ยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น แต่ก็ยังฝืนยิ้มไว้จิ้งอ๋องกวาดสายตาไปทั่วห้องโถงก่อนเอ่ยเสียงทุ้มเรียบ“วันนี้ข้ามาเพื่อร่วมดื่มสักจอก มิได้มาเพื่อฟังเสียงซุบซิบนินทาของใคร”เพียงคำพูดเดียว เสียงพูดคุยทั้งห
ข่าวสมุนไพรปนเปื้อนที่ถูกจับได้กลางทางแพร่สะพัดราวกับไฟลามทุ่ง จากตลาดเข้าสู่วังหลวง จากวังสู่หูเหล่าขุนนาง และสุดท้ายก็ย้อนกลับมาถึงจวนสกุลเซียวภายในเวลาไม่กี่วันเรือนใหญ่ภายในจวนบัดนี้เต็มไปด้วยบ่าวไพร่ที่ซุบซิบนินทา“ว่าแต่ฮูหยินรอง...เป็นนางจริงหรือไม่ที่อยู่เบื้องหลัง”“ชู่ว์! ระวังปากหน่อย หากนางได้ยินเข้า พวกเราจะซวยเอา”แต่ยิ่งห้าม เสียงเล่าลือก็ยิ่งดังไปทั่วภายในห้องโถง เจินซูเม่ยสีหน้าซีดขาว มือสั่นจนถ้วยชาร่วงแตกกับพื้น เซียวถิงฮวารีบคุกเข่าข้างกาย“ท่านแม่ อย่าหวาดหวั่นไป! เราต้องหาทางพลิกสถานการณ์ มิฉะนั้นเรื่องนี้จะกลายเป็นหลักฐานชัดเจนมัดตัวเรา”เจินซูเม่ยกัดฟันกรอด“ข้าไม่ยอมแพ้แน่ ข้าจะไม่ยอมให้นังเด็กนั่นมาทำให้ชีวิตข้าพัง!”ในอีกฟากหนึ่ง ลี่อินนั่งจิบชาในเรือนเล็กอย่างสงบ รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้างาม ยิ่งนางดิ้น ข่าวลือก็จะยิ่งมัดรอบคอนางเองเสียงฝีเท้าหนักดังขึ้นจากนอกโถง เซียวเฟิงเฉินก้าวเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ เขาได้รับฎีกาลับจากวังที่สอบถามเรื่องเกวียนสมุนไพรปนเปื้อน หากพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับจวนสกุลเซียว ชื่อเสียงและตำแหน่งเจ้ากรมคลังของเขาจะสั่นคลอนท
ข่าวการที่สมุนไพรปนเปื้อนถูกตรวจพบก่อนถูกส่งเข้าวังหลุดรอดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ชื่อของตระกูลเซียวถูกซุบซิบนินทาตามตลาด ร้านน้ำชา โรงเตี๊ยม และแม้แต่ในหมู่ขุนนางของราชสำนักภายในเรือนใหญ่ของจวนสกุลเซียว เจินซูเม่ยขว้างถ้วยชาจนแตกกระจาย“ผู้ใด! ผู้ใดมันกล้าใส่ร้ายข้าเช่นนี้!”เซียวถิงฮวารีบเข้ามาปลอบผู้เป็นมารดา“ท่านแม่ ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ หากเราร้อนรน ผู้คนก็จะยิ่งสงสัยนะเจ้าคะ”แต่แววตาของเซียวถิงฮวาเองก็กังวลไม่น้อย เพราะในใจนางเริ่มหวาดระแวงว่าผู้ที่ทำทั้งหมดนี้ อาจจะเป็นเซียวลี่อินขณะเดียวกัน เซียวลี่อินกำลังนั่งจิบชาเงียบ ๆ ในเรือนเล็ก ใบหน้าเรียบสงบ แต่ภายในเต็มไปด้วยเพลิงเย็นของความพึงพอใจนี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น หลังจากนี้ยังจะมีอีกหลายก้าวที่เจินซูเม่ยไม่มีทางหนีรอด!จังหวะนั้นเอง จิ้งอ๋องก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ส่งข่าวล่วงหน้า เขาก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะทอดสายตามองนาง“ครั้งนี้เจ้าทำได้เด็ดขาดยิ่งนักจนแม้แต่ข้าเองก็เกือบไม่ทันตั้งตัว”ลี่อินยกยิ้มบาง “เพราะหม่อมฉันไม่อยากให้ศัตรูมีเวลาหายใจเพคะ หากศัตรูมีเวลาได้หายใจ ก็อาจจะไหวตัวทัน”เซียวลี่อินหันไปมองจิ้ง
เซียวลี่อินกลับถึงเรือนเล็กในยามสนธยา แสงตะวันย้อมผนังเรือนเป็นสีส้มหม่น แต่ในหัวใจนางกลับไม่อุ่นเลยสักนิดข่าวลือแผ่ว ๆ จากพวกบ่าวไพร่ทำให้นางหยุดฟังอย่างตั้งใจ“ว่าแต่คุณหนูใหญ่นี่นางช่างดวงแข็งนัก ถึงกลับมามีชีวิตอยู่ได้”“เงียบปากเสีย! หากฮูหยินรองได้ยินเข้าเจ้าจะถูกโบย”บ่าวสาวสองคนรีบก้มหน้าก้มตาเมื่อเห็นเซียวลี่อินเดินผ่าน นางเพียงปรายตาเย็นชามองเล็กน้อยแล้วเดินต่อไปเจินซูเม่ย เจ้ากำลังคิดจะทำสิ่งใดอีกกันไม่นาน เสี่ยวจู สาวใช้คนสนิทของลี่อินก็เข้ามารายงาน“คุณหนูเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินรองเรียกพ่อบ้านไปหารืออย่างลับ ๆ ทั้งยังสั่งให้คนออกไปนอกเมืองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างอีกด้วยเจ้าค่ะ”ลี่อินเลิกคิ้วเล็กน้อย“ไปนอกเมือง? ไปเพื่อติดต่อผู้ใดกัน”เสี่ยวจูส่ายหน้า“ข้าไม่อาจเข้าใกล้ได้ แต่จากที่ได้ยิน คราวนี้ดูเหมือนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสมุนไพรบางชนิดเจ้าค่ะ”เซียวลี่อินนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนดวงตาจะวาวขึ้นสมุนไพร...ใช่แล้ว หากข้าจำไม่ผิด ในชาติก่อนมีคดีทุจริตส่งสมุนไพรปนเปื้อนเข้าวัง และหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องก็คือเจินซูเม่ยริมฝีปากของนางยกยิ้มเย็น“ดี เสี่ยวจู เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า
บ่ายวันนั้น เซียวลี่อินออกจากจวนสกุลเซียวเพื่อตรงไปยังตลาดใหญ่ นางตั้งใจจะไปหาซื้อสมุนไพรหายากเพื่อนำไปให้ท่านหมอเทวดาที่ช่วยรักษาผู้ป่วยยากไร้ ได้ยินมาว่าหากได้สมุนไพรนี้ไว้ จะมีค่าราวกับทองคำในยามจำเป็นผู้คนในตลาดคึกคัก เสียงตะโกนเรียกลูกค้าสลับกับกลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากแผงลอย เซียวลี่อินก้าวเดินไปตามตรอกแคบด้วยท่าทีระวัง จนกระทั่งเสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วตึก ตึก ตึก!นางเงยหน้าขึ้นทันที เห็นขบวนทหารม้าสวมเกราะดำมุ่งตรงมาทางตรอก ผู้คนรีบหลบลี้กันจ้าละหวั่น แต่เพราะช่องทางแคบนัก ลี่อินจึงถูกเบียดจนเกือบล้มก่อนที่ร่างจะกระแทกพื้น มือใหญ่แข็งแรงกลับคว้าข้อมือนางไว้มั่น แรงดึงพานางให้ซบเข้าสู่อ้อมอกที่อบอุ่นและมั่นคง“เหตุใดถึงเดินอยู่ตรงนี้คนเดียว”เสียงทุ้มเย็นนั้นดังขึ้นชิดข้างหูเซียวลี่อินเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าคมคายที่นางจำได้ดี เป็นเขา จิ้งอ๋อง หวังจิ้งเหยียนแววตาคมกริบของเขามองนางอย่างจับจ้อง จนหัวใจของนางเต้นสะดุดไปชั่วขณะ“หม่อมฉันมีธุระ”นางตอบสั้น ๆ พลางพยายามถอยห่าง แต่ฝ่ามือเขายังจับมั่นไม่ปล่อยหวังจิ้งเหยียนเหลือบตามองขบวนทหารที่เคลื่อนผ่านอย่างเร่งรีบ ก่อน