ค่ำคืนเงียบงันยิ่งกว่าที่เคย ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านแนวต้นหลิวที่ปลิดใบอย่างเชื่องช้า ในจวนสกุลเซียว แม้ภายนอกจะดูเงียบสงบ หากแต่ในความมืดของราตรีนั้น จิตใจของใครหลายคนต่างเต็มไปด้วยแรงเคลื่อนไหวที่ยากจะหยุดยั้ง
เรือนหลังที่เงียบเชียบของเซียวลี่อินกลับไม่มืดสนิทเหมือนเช่นทุกคืน ตะเกียงน้ำมันถูกจุดไว้ตรงกลางห้อง ราวกับนางตั้งใจ ‘เปิดทาง’ ให้ใครบางคนที่กำลังจะมา
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นหน้าประตูหลัง ลี่อินไม่แสดงท่าทีแปลกใจ นางลุกขึ้นอย่างสงบ แล้วเปิดประตูออกด้วยมือนิ่งมั่น
บุรุษในชุดผ้าฝ้ายสีขาวยืนอยู่ตรงหน้า รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมครึ่งหน้านั้นมีเพียงดวงตาคมลึกที่จ้องมองนางนิ่ง ๆ
“เจ้าคือผู้ที่จิ้งอ๋องส่งมาหรือ?” ลี่อินเอ่ยเสียงเบา
บุรุษชุดขาวพยักหน้า “ข้า ไป๋อวิ๋น เคยเป็นองครักษ์ลับประจำกรมคลัง เมื่อหกปีก่อนข้าเห็นสิ่งหนึ่ง แต่ไม่อาจกล่าวออกมาได้”
เสียงของเขานุ่มทุ้ม แต่ทว่าเย็นยะเยือกคล้ายลมภูผา
“และข้าจะไม่พูดกับใคร หากไม่มีเหตุผลพอ”
ลี่อินไม่ตอบในทันที นางเชื้อเชิญเขาเข้าไปนั่งในเรือนอย่างสงบ ตะเกียงสว่างเพียงพอให้เห็นเงาบนฝาผนังสั่นไหว แต่ไม่มากพอให้เห็นสีหน้าของทั้งสองชัดเจน นางเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
“หกปีก่อน มีการเบิกจ่ายเงินหลวงผ่านทางกรมคลังโดยตรง แต่กลับไม่มีใบตรายางประทับจากส่วนกลาง บิดาข้าเป็นผู้ลงนาม ขณะเดียวกัน เจินซูเม่ยกลับเป็นผู้ส่งบ่าวจากเรือนในไปติดต่อกับพ่อค้าอาวุธเถื่อน”
เสียงนั้นไม่ดุดัน ไม่กล่าวโทษ หากแต่มีพลังประหนึ่งคมดาบที่ลับจนคมกริบ ไป๋อวิ๋นยังคงนั่งเงียบก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยออกมา
“ข้าเห็นกระดาษแผ่นนั้น ข้าเคยล้วงมันมาจากโต๊ะของท่านเสนาบดีเซียว แต่วันรุ่งขึ้น บ่าวที่อยู่เวรกับข้าคืนนั้นก็หายไป ศพเขาถูกพบในคลองหลังเรือน พร้อมตราประทับปลอมในอกเสื้อ”
ลี่อินหลับตาลงชั่วครู่ ความคุ้นเคยบางอย่างพลันแทรกเข้ามาในหัว เสียงของเขา ท่วงท่า การวางตัว ดูไม่ใช่เพียงองครักษ์หลวงธรรมดา
“ไป๋อวิ๋น เจ้าเคยอยู่ในจวนนี้หรือไม่?” นางถามตรง ๆ
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา “เมื่อสิบปีก่อน ข้าเคยเป็นบ่าวในเรือนของฮูหยินใหญ่ หลี่ฟางเยว่”
คำตอบนั้น ทำให้นางชะงัก
ลี่อินจ้องเขม็งไปยังดวงตาเบื้องหลังผ้าปิดหน้า ริมฝีปากเม้มแน่นเล็กน้อย
“ข้าจำเจ้าไม่ได้ แต่ข้าจำได้ว่าท่านแม่เคยพูดถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เคยเฝ้าเดินตามนาง แม้เพียงถือกระบอกน้ำชา ก็ยืนห่างไม่เกินสามก้าว”
ไป๋อวิ๋นก้มหน้าลง “เพราะข้าไม่อาจช่วยฮูหยินได้ ข้าจึงไม่คู่ควรจะเปิดหน้าให้ท่านเห็น”
ภายในห้องเงียบลงไปอีกครั้ง ตะเกียงสั่นไหวหนักขึ้นตามแรงลมที่ลอดเข้าทางหน้าต่าง ทว่าไม่มีใครลุกขึ้นหรือเบือนหน้า ต่างฝ่ายต่างจมอยู่กับอดีตที่ไม่กล้าแตะต้อง
ในความมืด เงาของใครบางคนที่หายไปจากความทรงจำ กำลังกลับมา และครานี้ เขาจะมิใช่เงาอีกต่อไป...
รุ่งเช้าของวันถัดมา ท้องฟ้าปกคลุมด้วยหมอกจาง ใบเหมยสีขาวโปรยร่วงปะทะกับแผ่นศิลาทางเดินอย่างเงียบงัน ลี่อินยืนอยู่หน้าต่างเรือนหลัง เฝ้ามองเงาของใครบางคนที่เดินหายไปทางกำแพงหลังจวน
ไป๋อวิ๋นจากไปเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยคำลาทิ้งท้าย แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้ คือสมุดบันทึกเก่าเล่มหนึ่ง มีรอยเปื้อนหมึก และรอยเลือดจาง ๆ ตรงขอบกระดาษ
นางเปิดอ่านทีละหน้า เป็นลายมือที่ละเอียด ตรงทุกขีด ทุกย่อหน้าเหมือนถูกวัดด้วยไม้บรรทัด เนื้อหาในนั้น คือรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินหลวงในช่วงเวลาต้องห้าม รวมถึงบันทึกถึง “สตรีผู้หนึ่งที่นำของมาให้” และ “บุรุษที่ปลอมตราประทับของกรมวัง”
ทุกคำคือดาบที่พร้อมจะเฉือนเนื้อผู้ทรยศ เมื่อถึงเวลา...
เสี่ยวจูยกสำรับอาหารเช้ามาวางเงียบ ๆ พอเห็นสีหน้าของคุณหนูตนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามเบา ๆ
“คุณหนู บุรุษชุดขาวคนนั้น เขาเป็นผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
ลี่อินยังคงจ้องสมุดบันทึก “เขาคือคนในอดีต คนที่ข้าเคยมองข้าม และตอนนี้ เขากำลังเป็นอนาคตที่ข้าจะต้องวางใจ แม้เพียงครึ่งหนึ่งก็ตาม...”
บ่ายวันเดียวกัน ที่เรือนรับรองด้านตะวันตกของตำหนักอ๋อง เฉินอี้นำเอกสารทั้งหมดที่ไป๋อวิ๋นทิ้งไว้ ส่งให้จิ้งอ๋อง
ชายหนุ่มในชุดคลุมดำขลิบทองอ่านอย่างเงียบงัน ก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ
“ไป๋อวิ๋นคนนี้ รู้จักลี่อินมานานแล้วใช่หรือไม่?”
เฉินอี้พยักหน้า “ขอรับ เขาเคยอยู่ในเรือนของฮูหยินหลี่มาก่อน จะว่าไปอาจเป็นคนเดียวที่เคยภักดีต่อครอบครัวนางอย่างแท้จริง”
จิ้งอ๋องมองออกนอกหน้าต่าง ดวงตานิ่งลึก
“ถ้าเช่นนั้น เขาจะเป็นสิ่งที่ทดสอบความใจแข็งนางได้ดีที่สุด คนที่ข้าใช้ได้ ต้องไม่หวั่นไหวต่อเรื่องใดทั้งสิ้น”
ค่ำวันนั้น ฝนหลงฤดูโปรยปรายลงมาเบา ๆ เหนือจวนสกุลเซียว ลี่อินนั่งซ้อนมืออยู่ตรงชานไม้ เสียงหยดฝนกระทบพื้นแผ่วเบาแต่ชัดเจนยิ่งกว่าความคิดของนาง
“ไป๋อวิ๋น…”
ชื่อหนึ่งที่เคยเลือนรางในอดีต ตอนนี้กลับชัดเจนในความทรงจำยิ่งกว่าภาพบิดาผู้ให้กำเนิดเสียอีก
นางเคยวิ่งเล่นอยู่ในเรือนเดียวกับเขา เคยหัวเราะตอนเขาที่สะดุดรากไม้ตอนวิ่งเล่น เคยให้ซาลาเปาแป้งหยาบลูกสุดท้ายที่เหลือในถาด…
“ท่านแม่ ไม่ว่าก็ตามที่มันเคยทำให้ท่านเจ็บปวดทรมาน ข้าจะให้มันได้ชดใช้อย่างสาสมแน่นอน”
แสงสายฟ้าแลบผ่านฟ้าคืนฝนตก ลี่อินลุกขึ้นจากตั่ง หยิบผ้ามาคลุมไหล่ เสียงในใจดังชัดยิ่งกว่าสายลม
“ครั้งนี้ ข้าจะไม่หันหลังให้ใครอีก แต่หากใครคืออุปสรรค ข้าก็พร้อมจะแทงคนผู้นั้นด้วยมือข้าเอง...”
ค่ำคืนนี้เงียบกว่าคืนใด ๆ ในตรอกแคบหลังโรงเก็บผ้าของจวนสกุลเซียว เงาดำสามร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไร้เสียง มือหนึ่งถือกระบี่ อีกคนมีธนูสั้นติดหลัง อีกคนแอบอยู่บนหลังคาพร้อมมีดสั้นคมกริบ เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่จวนใหญ่ แต่เป็นเรือนหลังเล็กที่ซึ่งไม่มีใครใส่ใจ
ในห้องของลี่อิน แสงตะเกียงริบหรี่แทบจะดับ นางนั่งสงบนิ่งในความมืด หูฟังเสียงก้าวย่างที่ไม่ใช่ของคนรับใช้ เสียงที่ดังขึ้นใกล้เรื่อย ๆ จากด้านข้างเรือน เสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังขึ้นจากเงามืดมุมห้อง เงานั้นเคลื่อนตัวออกมาช้า ๆ เผยให้เห็นชายชุดขาวที่ยืนพิงผนังมาตั้งแต่เมื่อใดมิอาจทราบได้
“เจ้ารู้ตัวนานแล้วใช่หรือไม่” ลี่อินเอ่ยขึ้น
“ก่อนข้าก้าวเข้ามาในรั้วเรือนในคืนนี้ คุณหนูเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างไร้สาเหตุถึงสามครั้ง” ไป๋อวิ๋นกล่าวเรียบ ๆ
เสียงหน้าต่างฝั่งตะวันตกถูกแง้มเบา ๆ หนึ่งในนักฆ่ากระโจนเข้ามาอย่างเงียบกริบ แต่ไม่ทันที่ฝ่าเท้าจะเหยียบพื้น กระบี่ในมือของไป๋อวิ๋นก็ฟาดออกไปอย่างแม่นยำ
ฉัวะ!
ร่างหนึ่งร่วงลงกับพื้นอย่างไร้เสียงร้อง
“พวกมันส่งนักฆ่ามาไม่ใช่เพื่อลอบสังหารท่าน” เสียงของไป๋อวิ๋นแผ่วต่ำแต่หนักแน่น
“แต่เป้าหมายคือเผาทำลายเอกสารในเรือนนี้ และจับตัวท่านไปให้ใครบางคน”
ลี่อินไม่ถามว่าคนผู้นั้นคือใคร เพราะนางรู้ดีว่า คนที่ทำถึงขนาดนี้ได้มีเพียง...
เจินซูเม่ย!
เสียงกระจกหน้าต่างฝั่งตรงข้ามแตกดังแกรก นักฆ่าคนที่สองพุ่งตัวเข้ามาพร้อมควันไฟที่ถูกจุดล่อเบี่ยงความสนใจ แต่นางยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม นั่นเพราะเงาร่างสีขาวเคลื่อนผ่านแสงตะเกียงด้วยความเร็วราววิหคเหิน เขายกตะเกียงในมือโบกขึ้น เป่าดับไฟ แล้วแทงคมมีดกลับไปยังต้นเสียงโดยไม่ต้องมอง เสียงร่างกระแทกพื้นดังตึง ร่างที่สามลอบเข้ามาจากประตูหลัง หยุดกึกกลางทางเงาของไป๋อวิ๋นยืนนิ่งอยู่ตรงกลางห้อง และเสียงของลี่อินก็เอ่ยขึ้นเบื้องหลังเขา“ถ้าเจ้าไม่ถอยออกไป จะไม่มีโอกาสได้ตายดี”นักฆ่าคนสุดท้ายลังเลชั่วครู่ ก่อนจะโยนอะไรบางอย่างลงพื้น มันคือกระบอกไม้ไผ่ที่มีตราสัญลักษณ์ลบลายบนปลอก“จงส่งสาส์นนี้คืนไปยังผู้ส่งมันมา…” ลี่อินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “…และบอกมันว่า นับแต่นี้ ข้าจะไม่ยอมทนอยู่เงียบ ๆ อีก!”รุ่งเช้าในวันถัดมา เสี่ยวจูเปิดประตูเรือนก็พบว่าหน้าประตูถูกกวาดเรียบจนไม่มีแม้ร่องรอยของการต่อสู้ ไป๋อวิ๋นจากไปแล้วเช่นทุกครั้ง ไม่เอ่ยคำร่ำลา ไม่ปล่อยแรอยเท้าไว้เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เหลืออยู่คือลายมือสั้น ๆ บนกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งที่วางใต้หม้อน้ำชา“ครั้งหนึ่งข้าเคยพลาด ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมพลาด
ค่ำคืนเงียบงันยิ่งกว่าที่เคย ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านแนวต้นหลิวที่ปลิดใบอย่างเชื่องช้า ในจวนสกุลเซียว แม้ภายนอกจะดูเงียบสงบ หากแต่ในความมืดของราตรีนั้น จิตใจของใครหลายคนต่างเต็มไปด้วยแรงเคลื่อนไหวที่ยากจะหยุดยั้งเรือนหลังที่เงียบเชียบของเซียวลี่อินกลับไม่มืดสนิทเหมือนเช่นทุกคืน ตะเกียงน้ำมันถูกจุดไว้ตรงกลางห้อง ราวกับนางตั้งใจ ‘เปิดทาง’ ให้ใครบางคนที่กำลังจะมาเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นหน้าประตูหลัง ลี่อินไม่แสดงท่าทีแปลกใจ นางลุกขึ้นอย่างสงบ แล้วเปิดประตูออกด้วยมือนิ่งมั่นบุรุษในชุดผ้าฝ้ายสีขาวยืนอยู่ตรงหน้า รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมครึ่งหน้านั้นมีเพียงดวงตาคมลึกที่จ้องมองนางนิ่ง ๆ“เจ้าคือผู้ที่จิ้งอ๋องส่งมาหรือ?” ลี่อินเอ่ยเสียงเบาบุรุษชุดขาวพยักหน้า “ข้า ไป๋อวิ๋น เคยเป็นองครักษ์ลับประจำกรมคลัง เมื่อหกปีก่อนข้าเห็นสิ่งหนึ่ง แต่ไม่อาจกล่าวออกมาได้”เสียงของเขานุ่มทุ้ม แต่ทว่าเย็นยะเยือกคล้ายลมภูผา“และข้าจะไม่พูดกับใคร หากไม่มีเหตุผลพอ”ลี่อินไม่ตอบในทันที นางเชื้อเชิญเขาเข้าไปนั่งในเรือนอย่างสงบ ตะเกียงสว่างเพียงพอให้เห็นเงาบนฝาผนังสั่นไหว แต่ไม่มากพอให้เห็นสีหน้าของทั้งสองช
วังหลวงแห่งแคว้นต้าหลิงยามย่ำค่ำยิ่งดูเงียบสงบงดงาม โคมแก้วหินลอยเหนือคูน้ำทอดยาวรอบตำหนัก เงาสะท้อนของดวงจันทร์สาดลงบนพื้นศิลาหยกขาวนวล แต่ภายใต้เงาสว่างนั้น มีบางอย่างเคลื่อนไหวในความมืดอย่างเงียบงันภายในตำหนักซ่างอิงขององค์หญิงจ้าวฮุ่ย บ่าวรับใช้ก้มหน้าอย่างเคารพเมื่อหญิงสาวในชุดเรียบหรูเดินตามขันทีเข้ามาเซียวลี่อิน ถูกเชิญให้มาเข้าเฝ้าองค์หญิงอย่างเป็นทางการครั้งแรกนางน้อมคำนับอย่างงดงาม “หม่อมฉัน เซียวลี่อิน ถวายบังคมองค์หญิงเพคะ”บนบัลลังก์หยกขาวกลางตำหนัก องค์หญิงจ้าวฮุ่ยทอดพระเนตรหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยสายตาที่คมดุจหอก“เจ้าคือบุตรสาวคนโตของเซียวเฟิงเฉินหรือ?” น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่ง ทว่าหนักแน่น“เพคะ” ลี่อินตอบโดยไม่ลังเล “หม่อมฉันเป็นบุตรภรรยาเอก แต่ถูกถอนชื่อจากทะเบียนเรือนตอนอายุสิบสาม”ดวงตาขององค์หญิงหรี่ลง “เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?”ลี่อินเงยหน้าขึ้น สบตากับองค์หญิงอย่างสงบนิ่ง“เพราะหม่อมฉันเป็นลูกของภรรยาที่ไม่ชื่นชอบ และไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อในสายตาผู้เป็นบิดา”คำตอบนั้นทำให้องค์หญิงนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนแย้มพระโอษฐ์“เจ้าพูดอย่างสงบนิ่งทั้งที่ความจริงนั้นราวกับน้ำก
สามวันถัดมา ภายในตำหนักซ่างอิงของวังหลวง ที่ประทับขององค์หญิงจ้าวฮุ่ย พระธิดาองค์โตของฮ่องเต้ ผู้มีอำนาจทั้งในวังหน้าและวังใน เป็นสตรีมากบารมีแห่งแคว้นต้าหลิงภายนอกตำหนักนั้นเงียบสงบด้วยมารยาทแห่งราชสำนัก แต่ภายใน สายตาขององค์หญิงกลับเต็มไปด้วยความคมกล้า เจินซูเม่ยนั่งชูคอขณะที่เข้าเฝ้าองค์หญิงร่วมกับฮูหยินขุนนางอีกหลายคน“เซียวเฟิงเฉิน เป็นผู้ดูแลกรมการคลังมานานปี ข้าได้ยินมาว่า เขามีบุตรสาวคนโตชื่อเซียวลี่อิน แต่กลับไม่ปรากฏนามในบรรดารายชื่อหญิงงามในงานราชพิธีใด ๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”ขันทีข้างกายรายงานด้วยเสียงเบา “ทูลองค์หญิง กระหม่อมได้ยินมาว่านางเป็นบุตรีที่ไม่ได้รับความสนใจจากเสนาบดีเซียว เนื่องจากเป็นคนแข็งกร้าวไม่เชื่อฟังพะยะค่ะ”“งั้นหรือ บางครั้งข่าวลือที่ได้ยินมาก็มิอาจเชื่อถือได้ เจ้าว่าเช่นไรเล่า เจินซูเม่ย”“ทูลองค์หญิง สกุลเซียวให้ความใส่ใจกับบุตรทุกคน ข่าวลือนั้นไม่จริงเลยเพคะ”“เช่นนั้นหรือ ซูกงกง เจ้ายังได้ยินเรื่องใดมาอีก ว่าต่อสิ”“ทูลองค์หญิง กระหม่อมยังได้ยินมาอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูเซียวผู้นี้ถูกฮูหยินรองเซียวกักขังในห้องตำรา แต่แล้วก็หายตัวออกมาได้เอ
ในยามสายวันรุ่งขึ้น ลี่อินได้รับคำสั่งจากฮูหยินรองเจินซูเม่ย ให้นางเข้าไปช่วยจัดของในห้องเก็บตำราสำคัญของจวน“ห้องเก็บตำรา?”“ในอดีต ข้าจำได้ว่าเคยถูกล่อเข้าไปที่นั่น แล้วถูกกล่าวหาว่าขโมยหยกของฮูหยินรอง”“คุณหนู อย่าไปนะเจ้าคะ” เสี่ยวจูเอ่ยอย่างร้อนรน“ห้องนั้น ข้าได้ยินว่าวันก่อนซูหรูเพิ่งให้คนเข้าไปทำความสะอาด ข้าเกรงว่ามันจะเป็นกับดัก”ลี่อินวางมือบนไหล่เสี่ยวจู บีบเบา ๆ“เจ้าเคยบอกข้าว่ากลัว หากต้องอยู่ในเงามืดเพียงลำพังใช่หรือไม่?”“ข้าเองก็กลัว แต่ข้าจะไม่หนีอีก ยิ่งพวกมันกล้าลงมือเร็ว ข้ายิ่งแน่ใจว่ามันเริ่มหวาดหวั่นแล้ว”ยามเฉินลี่อินก้าวเข้าสู่เรือนใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ภายในเรือนตกแต่งหรูหรา ทุกกระเบื้องและมุมเสาล้วนประณีตงดงาม แต่สำหรับนางแล้ว มันไม่ต่างจากคุกสีทองที่เคยกักขังนางนางเดินตามบ่าวรับใช้จนถึงหน้าห้องเก็บตำรา ซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของห้องปีกตะวันออก“เข้าไปได้เลยเจ้าค่ะ ฮูหยินรออยู่ข้างในแล้ว”เมื่อเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่ปรากฏกลับไม่ใช่เจินซูเม่ย หากแต่เป็นเพียงห้องที่ว่างเปล่า เงียบสงัด และมีกล่องเก็บผ้าโบราณซ้อนกันสูงจนบดบังแสง ทันใดนั้น ประตูไม้ก็ปิดดั
เสียงหัวเราะของเด็กชายดังขึ้นภายในสวนหลังเรือนใหญ่ เป็นเสียงที่สดใสเกินไปสำหรับสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบแห่งความชิงชังและการหลอกลวงเซียวเทียนหยู บุตรชายของเจินซูเม่ย เด็กชายในวัยสิบสามปีผู้เป็นที่รักของบิดายิ่งนักแม้ในชาติก่อนเขายังเยาว์วัยนัก แต่กลับเป็นผู้ที่กล่าวหานางว่าลอบขโมยของหลวง และเป็นผู้ที่ผลักดันให้บิดาสั่งลงโทษนางและแม่ในช่วงท้ายของชีวิตอย่างไร้เมตตา“ในชาติก่อน แม้จะยังเด็ก แต่ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เป็นอสรพิษในคราบเด็กน้อย”“ในชาตินี้ ข้าจะขุดรากเจ้า ก่อนที่เขี้ยวจะงอก!”บ่ายวันนั้น ลี่อินปรากฏตัวในสวน นางแต่งกายเรียบง่าย เอาผ้าบางคลุมศีรษะ ถือกระเช้าผลไม้เดินตรงเข้าไป“เทียนหยู ข้านำผลไม้มาให้เจ้า”เด็กชายชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยืดอกพูดด้วยท่าทีจองหอง“พี่หญิงใหญ่!”“ใช่ ข้าเอง”“วันนั้น ท่านคือคนที่ทำถาดหล่นใส่ท่านอ๋องใช่หรือไม่”เสียงหัวเราะเหี้ยม ๆ จากปากเด็กชายทำเอาคนรับใช้รอบตัวสะอึก แต่ลี่อินกลับยิ้มบาง ย่อตัวลงนอบน้อม“ข้าสะเพร่าไปหน่อย เพียงแค่อยากไปช่วยงาน”เซียวเทียนหยูเลิกคิ้วอย่างงุนงง ก่อนจะโบกมือ “วางไว้ตรงนั้น แล้วไปเถอะ”ทว่าก่อนนางจะผละไป