จวนสกุลเซียว เวลายามสายของวันที่ฟ้าโปร่ง แม้แสงแดดจะสาดส่องไปทั่ว แต่ในห้องโถงกลางของเรือนใหญ่กลับเย็นยะเยือกราวกับมีกระแสพายุแทรกอยู่ทุกอณูเจินซูเม่ยนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้แกะสลักอย่างผู้มีอำนาจ ใบหน้าแต่งแต้มด้วยแป้งนวล แต่อารมณ์ในดวงตากลับขุ่นมัว“ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าเหตุใดเซียวลี่อินถึงกล้าหยามหน้าข้าขนาดนี้ หรือแท้จริงแล้วนางไปพึ่งใบบุญของใครมา?”เซียวถิงฮวาที่นั่งอยู่ด้านข้างขมวดคิ้วแน่น“ท่านแม่ บ่าวในเรือนพูดกันว่านอกจากนางจะได้รับป้ายโองการจากในวังแล้ว จิ้งอ๋องทรงมีรับสั่งให้ดูแลความปลอดภัยของนางด้วยตัวเองด้วย!”เจินซูเม่ยกัดฟันแน่น มือที่เคยสงบนิ่งบีบพัดในมือตนเองจนพับแหลกเสียงดัง“นังแพศยา มันใช้เสน่ห์แบบไหน ถึงหลอกล่อจิ้งอ๋องได้เพียงนี้!”ถิงฮวาลอบมองมารดาแล้วหลุบตาลงต่ำ ความอิจฉาริษยาไหลวนในใจนางดั่งน้ำหมักพิษ“ในเมื่อจิ้งอ๋องทรงเริ่มสนใจเซียวลี่อิน เช่นนั้นก็ต้องมีแผนหลอกล่อออกมา”เจินซูเม่ยหรี่ตาลง แววตาวาววับขึ้นในทันใด“ฟังให้ดี ถิงฮวา เจ้าจะต้องเข้าใกล้จิ้งอ๋องให้มากที่สุด ชิงสายตาของเขากลับมาให้ได้ ในเมื่อพวกเราสู้ด้วยฐานะไม่ได้ ก็ต้องสู้ด้วยกลอุบาย!”อีกมุมของจ
ลี่อินยืนอยู่หน้าประตูเรือนหลังเล็กที่นางเคยใช้ชีวิตอยู่กับมารดาสายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านชายแขนเสื้อยาวจนพริ้วไหว เงาจันทร์ทอดทาบลงบนพื้นกรวดเบื้องหน้าดวงตาของนางทอดมองเรือนเก่าเงียบ ๆ แม้จะถูกทิ้งร้าง แต่ทุกแง่มุมในเรือนยังคงกลิ่นอายของมารดาไม่จางหาย“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”เสียงแผ่วเบานั้นเอ่ยขึ้นในความเงียบ ราวกับคำสัญญาถูกกล่าวซ้ำอีกครั้งนางก้าวเข้าไปช้า ๆ มือแตะประตูไม้เก่า ก่อนเปิดออกภายในเรือนยังคงเป็นเช่นเดิม ราวกับไม่มีใครกล้ารุกล้ำเข้ามาหลังจากที่หลี่ฟางเยว่จากไปบนโต๊ะยังมีเบาะนั่งผืนเดิม มุมหนึ่งยังมีตะเกียงน้ำมันที่ใช้ในคืนสุดท้ายก่อนท่านแม่สิ้นใจดวงตาของลี่อินไหววูบ น้ำตาที่นางเก็บกลั้นตลอดทั้งวันเริ่มไหลลงเงียบ ๆ“ท่านคงหนาวมากสินะ…ท่านแม่ ครั้งนี้ ข้าจะไม่ให้อะไรพรากท่านไปจากข้าอีก ข้าจะไม่ยอมให้ใคร มาฆ่าท่านซ้ำอีก!”เงาไฟจากตะเกียงส่องสะท้อนแก้วตานาง มือเรียวหยิบตะเกียงน้ำมันขึ้นมา สะบัดมืออีกครั้งจนเปลวเพลิงลุกโชนนางหันมองรอบเรือนอีกครา คล้ายจะกล่าวคำอำลา“เรือนนี้…ไม่มีอีกแล้ว จงเผาทุกความเจ็บปวดเสียที่นี่!”นางเหวี่ยงตะเกียงลงพื้น!เพลิงลุกพรึ่บ! ไฟแดง
รถม้าสีดำวิ่งฝ่าหิมะโปรยปรายเคลื่อนเข้าสู่ประตูจวนสกุลเซียวอย่างเชื่องช้า เสียงล้อบดกับพื้นศิลาและเสียงม้าสะบัดลมหายใจเป็นจังหวะ ดั่งต้อนรับการกลับมาของใครบางคนในยามเช้าที่แสงอาทิตย์ยังไม่แรงนัก ผู้คนในจวนต่างออกมาต้อนรับแขกผู้มีบรรดาศักดิ์สูงศักดิ์ มิใช่ผู้ใดอื่น หากแต่เป็น เซียวลี่อิน บุตรสาวคนโตที่เคยถูกมองข้ามจนสิ้นศักดิ์ศรีทว่าวันนี้ การกลับมามิใช่เพื่อตามหาความเมตตา หากแต่คือการ “นับถอยหลังสู่การล้างแค้น”ประตูรถม้าเปิดออก หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีอ่อน ก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างาม ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ดวงตาเยือกเย็นและทรงพลังกว่าครั้งไหน ๆบ่าวไพร่ที่เคยหัวเราะเยาะนาง ต่างก้มหน้าหลบสายตาราวกับรู้ตัวว่ากำลังยืนอยู่ต่อหน้าหญิงที่ไม่ใช่เซียวลี่อินคนเดิม“เรือนหลังเล็กที่ข้าเคยอยู่ ข้าจะไม่ย่ำกลับไปอีกเป็นครั้งที่สอง”เสียงรองเท้ากระทบหินดังอย่างมั่นคงขณะนางเดินตรงเข้าสู่โถงกลาง ไม่แม้แต่จะปรายตามองซุ้มต้นเหมยที่เคยเป็นที่โปรดปรานของมารดานางในห้องโถง เจินซูเม่ยกำลังจิบชาอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลัก ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มอ่อนโยนตามมารยาทของฮูหยินขุนนางเซียวถิงฮวาผู้นั่งข้าง ๆ ในชุดผ้าไหมสีชมพ
เรือนรับรองหลังใหญ่ในตำหนักชินอ๋องเปิดต้อนรับหญิงสาวด้วยความเงียบสงบหลังพิธีการเมื่อคืน พระชายามีรับสั่งให้นางพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว เพื่อเตรียมตัวรับตำแหน่งดูแลงานพิธีในวังหลวงบ่าวรับใช้ในตำหนักชินอ๋องต่างลอบมองลี่อินด้วยสีหน้าปั้นยาก บางคนยิ้มรับ แต่ในแววตากลับแฝงความหมั่นไส้ บางคนถึงกับกระซิบกระซาบนินทา“คุณหนูจากจวนสกุลเซียวหรือ ข้าจำได้ว่าเป็นแค่สตรีเรือนเล็ก”“ใครกันแน่ที่ผลักให้นางมาอยู่ตรงนี้? หรือว่ามีผู้หนุนหลัง”ลี่อินนั่งอยู่หน้าโต๊ะกลม ลูบกล่องเครื่องหอมไม้มะเกลือสีดำสนิทที่ประทับตราของตำหนักชินอ๋องกล่องนี้พระชายาชินอ๋องเป็นผู้มอบให้โดยตรง หลังจากที่นางได้รับเลือกด้านในมีผงหอมชั้นดี กลิ่นหอมเย็น คล้ายใบสนผสมเกสรดอกไม้จากเทือกเขาทางเหนือหากแต่นางกลับไม่จุดกลิ่นหอมนั้นเลยแม้แต่น้อย“กลิ่นแบบนี้…ข้าจำได้ดี”“หกปีก่อน คืนที่ท่านแม่ตาย ผ้าห่มที่วางบนร่างท่านแม่ ก็มีกลิ่นเช่นนี้…”ดวงตาของลี่อินเยือกเย็นขึ้นทันที“คิดจะล่อข้าด้วยของเช่นนี้หรือชายาชินอ๋อง?”นางเอ่ยเบา ๆ ราวกระซิบกับกล่องไม้แล้วนางก็เปิดถุงบางอย่างที่พกติดตัวมา หยิบขวดยาทดลองพิษขนาดเล็กออกมา หยดผงหอมในกล่องล
เสียงขันพลันเงียบลงเมื่อขันทีอาวุโสประกาศด้วยเสียงกังวาน“ท่านอ๋องเจ็ด หวังจิ้งเหยียน เสด็จ!”ฝูงชนแหวกออกอย่างเป็นระเบียบ ชายหนุ่มในชุดมังกรสีดำเดินเข้ามาท่ามกลางสายตาทุกคู่รัศมีความสงบเยือกเย็นเปล่งออกมาจากกายของเขา ราวกับทุกสิ่งจะเงียบลงเพียงแค่การปรากฏตัวดวงตาคมคายใต้คิ้วดกเข้ม เหลือบมองลี่อินเพียงชั่วขณะ แล้วจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ“ฤดูหนาวนี้ ดูเหมือนจะมีดอกเหมยผลิบานเร็วกว่าที่คาดไว้”เสียงหัวใจของลี่อินเต้นสะท้อนอยู่ในอกนางประสานมือคารวะ “ถวายบังคมท่านอ๋องเจ็ด”หวังจิ้งเหยียนไม่ได้เอ่ยต่อ หากแต่เพียงพยักหน้าเบา ๆ และเดินขึ้นแท่นประทับ สายตานั้นยังคงเหลือบมองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองน้องชายของตน ท่านอ๋องเก้าหรือชินอ๋อง หวังชินเสวียน ที่นั่งอยู่อีกฝั่งในขณะที่เสียงดนตรีบรรเลงขึ้น กลิ่นหอมของอาหารและสุราอบอวลทั่วลานพิธี แต่เบื้องหลังความงดงามเหล่านั้น เงามืดบางอย่างก็กำลังเคลื่อนไหวเงียบ ๆภายในระเบียงด้านหลัง มีสตรีผู้หนึ่งในชุดคลุมหนา พูดกับบ่าวสาวอย่างลับ ๆ“คืนนี้ เราต้องทำให้ท่านอ๋องเจ็ดหันมาสนใจคุณหนูรองเซียวถิงฮวาให้ได้”“ตำแหน่งพระชายาแห่งตำหนักจิ้งอ๋อง ต้องเป็นของพวกเร
ทหารผู้นั้นค้อมศีรษะอีกครั้ง ก่อนกล่าวแผ่วเบา“ท่านอ๋องทรงมีบัญชาว่า ให้คุณหนูเริ่มงานแรกในอีกเจ็ดวัน ภายในงานเลี้ยงฤดูหนาวของพระชายาชินอ๋องที่ใกล้จะถึง ท่านอ๋องต้องการรู้ว่าในกลุ่มสตรีตระกูลขุนนางผู้ได้รับเชิญ ใครคือผู้ที่แอบช่วยเหลือเจินซูเม่ย”คำพูดนั้นหล่นลงเหมือนเหล็กกล้าที่ยกขึ้นจากเตาไฟ ลี่อินแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าฤดูหนาว แสงอาทิตย์อ่อนส่องผ่านกิ่งเหมยที่ยังไร้ดอก“ข้าจะไป เพื่อวางดอกเหมยดอกแรกของข้า ณ ที่แห่งนั้น และให้มันเบ่งบานจากเลือดของผู้ที่ควรถูกหักหลังเสียเอง…”ยามเย็น ลมหนาวพัดพาใบไม้แห้งปลิวผ่านเรือนหลังเล็กลี่อินนั่งอยู่หน้าต่าง มือถือพู่กันจุ่มหมึกดำ เขียนรายชื่อขุนนางสตรีจากตระกูลใหญ่ที่อาจได้รับเชิญเข้าสู่งานเลี้ยงฤดูหนาวของพระชายาชินอ๋องในอีกเจ็ดวัน“อู๋, หยาง, เจิ้ง, ฉู…สกุลใดเกี่ยวข้องกับแม่เลี้ยงของข้า?”เสี่ยวจูวางน้ำชาร้อนลงข้างกายก่อนถามเบา ๆ“คุณหนูจะเตรียมตัวอย่างไรเจ้าคะ?”ลี่อินวางพู่กัน แล้วพับกระดาษอย่างระมัดระวัง“ในเมื่อเราจะเข้าไปกลางรังเสือ เราต้องเป็นดอกเหมยที่ซ่อนหนามเอาไว้…”นางหันไปเปิดหีบผ้าเล็กที่เก็บของจากมารดาเอาไว้ เมื่อเปิดออกก็พบเครื่องประ