เซียวลี่อินเดินถอยกลับออกมาท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทา หากแต่นางไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เมื่อพ้นจากบริเวณงานเลี้ยง นางเดินกลับมายังมุมเงาที่เรือนหลังของจวน ขณะนั้น เสี่ยวจูก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณหนู! ข้าเห็นนะเจ้าคะ! ท่าน…ท่านเข้าไปในเรือนใหญ่ แล้วยังทำถาดตกต่อหน้าท่านอ๋องอีก!”
“อืม” ลี่อินพยักหน้ารับเบา ๆ ขณะถอดผ้าคลุมออกจากไหล่
“ท่านบ้าไปแล้วหรือเจ้าคะ?! ถ้าฮูหยินรองรู้เข้าล่ะก็...”
“นางจะรู้ก็ช่าง” เสียงของลี่อินเยือกเย็นจนเสี่ยวจูชะงัก
“ข้ากำลังจะเปลี่ยนทุกอย่าง ต่อไปข้าจะไม่ใช่คุณหนูผู้น่าเวทนาที่อยู่แต่ในเรือนหลังอีกต่อไป”
ขณะเดียวกันนั้น ภายในงาน เซียวถิงฮวานั่งตัวตรง ดวงตาวาวโรจน์อย่างไม่อาจปิดบังความไม่พอใจได้
“ท่านแม่ นังนั่นกล้าทำให้ข้าต้องขายหน้าเช่นนี้! หากข้าได้แต่งเข้าวังไปอยู่ข้างกายท่านอ๋อง ข้าจะทำให้นางไม่มีทางได้โผล่หน้ามาเป็นเสี้ยนหนามตำใจพวกเราอีก!”
เจินซูเม่ยเอื้อมมือบีบมือลูกสาวเบา ๆ สีหน้าเคร่งเครียด
“อย่าลืมว่าครานี้เป็นครั้งแรกที่จิ้งอ๋องเหยียบย่างมาที่จวนของเรา ข้ายังไม่อาจวางหมากได้เต็มที่”
“เจ้าจงนิ่งไว้ก่อน จับตาดูนังลี่อินให้ดี”
“ข้ามั่นใจ ที่มันมาเรือนใหญ่ในวันนี้ ต้องเป้าหมายแน่”
คืนนั้น แสงจันทร์ทอแสงผ่านบานหน้าต่างเรือนเล็ก ลี่อินนั่งพิงหมอนในความเงียบ ดวงตาจ้องมองเงาจันทร์อย่างแน่นิ่ง แต่ในใจ กลับหวนคิดถึงภาพในอดีตชาติที่ผุดขึ้นมาราวกับคลื่นซัดฝั่ง
ในอดีตก่อนได้ชีวิตใหม่ นางนั่งกอดร่างไร้วิญญาณของมารดาที่เย็นเฉียบ มือสั่นเทาไม่อาจปล่อยให้จากไป
เจินซูเม่ยยืนมองด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“จะร้องไห้ไปใย นางตายแล้ว ไม่มีใครโง่พอจะเสียใจให้นางหรอก!”
น้ำตาที่ไหลริน กลับไร้เสียงสะอื้น เพราะมันเจ็บปวดจนเกินกว่าจะเปล่งเสียงได้
ลี่อินกำหมัดแน่น ริมฝีปากเอ่ยออกมาในความเงียบ
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว...”
“ครานี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครพรากท่านไปอีก”
“ข้าจะคิดบัญชีกับพวกมันทุกคน ด้วยมือของข้าเอง”
เช้าวันรุ่งขึ้น แสงอรุณส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้เก่าแก่ เรือนเล็กยังคงเงียบสงบเช่นเดิม ทว่าในหัวใจของเซียวลี่อินกลับเร่งเร้าดุจเปลวเพลิง
“สิ่งที่ข้าต้องทำ คือสร้างจุดยืนให้ตัวเอง”
“เริ่มต้นด้วยการให้เขาจดจำข้า ไม่ใช่ในฐานะบ่าว แต่ในฐานะคุณหนูใหญ่สกุลเซียว!”
สายลมยามเช้าเย็นสบาย แต่ในจวนสกุลเซียวกลับครึกครื้นอย่างไม่ปกติ เหล่าบ่าวไพร่ต่างตื่นตัวกว่าทุกวัน เนื่องด้วยจิ้งอ๋องยังคงประทับพักค้างแรมในเรือนรับรองอีกหนึ่งคืน ก่อนจะเดินทางกลับวังหลวงในพรุ่งนี้
โอกาสนี้ ลี่อินจะไม่ปล่อยให้เสียเปล่า!
นางเขียนจดหมายฉบับหนึ่งใส่ซองผ้ากำมะหยี่ ให้เสี่ยวจูทำทีเป็นสาวใช้ยกของว่างเข้าไปเรือนพักของจิ้งอ๋องพร้อมจดหมาย ในจดหมายนั้น นางเขียนเพียงไม่กี่บรรทัด แต่ทุกคำถูกคัดสรรอย่างพิถีพิถัน
“หม่อมฉันมิใช่หญิงต่ำศักดิ์ที่ทำถาดน้ำชาล้มต่อหน้าท่านด้วยความเผอเรอ
หากแต่เป็นผู้มีสิ่งที่ท่านควรรู้หากท่านอ๋องเมตตาโปรดให้โอกาสมาพบหม่อมฉันเพียงครู่ใต้ต้นหลิวหลังเรือนประทับในยามโหย่ว หม่อมฉันจะรอ...”ลี่อิน
เสี่ยวจูแม้จะกลัวแทบสิ้นสติ แต่สุดท้ายก็ส่งซองผ้าต่อให้ขันทีประจำข้างกายจิ้งอ๋องได้สำเร็จ
“ขอแค่เขาอ่าน” ลี่อินพึมพำกับตนเอง ขณะยืนใต้ต้นหลิวในยามตะวันคล้อยต่ำ
เวลาล่วงผ่านไปจนเกือบพลบค่ำ แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์กำลังลาลับหลังภูผา ลี่อินยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เสื้อคลุมผ้าฝ้ายบาง ๆ สะบัดไหวตามแรงลม
นางรอเขา…
“หากเขาไม่มา นั่นคือการปฏิเสธ และข้าจะเดินเส้นทางอื่น…”
“แต่หากเขามา ทุกอย่างจะเริ่มต้นจากจุดนี้”
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น ลี่อินหันกลับไปทันที และภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าก็ทำให้หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
บุรุษในอาภรณ์สีดำขลิบทองผู้สงบนิ่งดั่งเงาแห่งรัตติกาล ยืนอยู่ใต้ร่มเงาต้นหลิว ห่างจากนางเพียงไม่กี่ก้าว
หวังจิ้งเหยียน จิ้งอ๋อง แห่งต้าหลิง เขามาจริง ๆ...
“ข้าให้เวลาเจ้า ห้าประโยค” เขาเอ่ยเสียงเรียบ สายตาไร้ความอ่อนโยน แต่สำหรับลี่อิน นั่นก็เกินพอแล้ว
นางประสานมือคำนับอย่างงดงาม ก่อนจะเงยหน้าขึ้น สบตาเขาอย่างมั่นคง
“หนึ่ง…หม่อมฉันมิใช่บ่าวของจวนนี้ แต่เป็นคุณหนูใหญ่ บุตรสาวผู้ถูกทอดทิ้งของเสนาบดีเซียว”
“สอง…หม่อมฉันรู้ความลับบางอย่างในกรมคลังหลวง ที่ท่านอ๋องควรล่วงรู้”
“สาม…หากท่านอ๋องเมตตาเปิดทาง หม่อมฉันจะมอบสิ่งนั้นให้เป็นของกำนัล”
“สี่…หม่อมฉันไม่ใช่สตรีอ่อนแอ หากแต่คือผู้ที่มีใจยึดมั่นในเป้าหมาย”
“ห้า…หม่อมฉันขอเพียงได้เป็นหมากเล็ก ๆ ในกระดานของท่านอ๋อง”
จิ้งอ๋องเงียบไปชั่วครู่ สายตาคู่นั้นลึกและเย็นเยียบ
“เจ้าเชื่อว่าตัวมีค่าพอให้ข้าลดตัวไปฟังคำเจรจาเช่นนั้นหรือ?”
ลี่อินยิ้มบาง ๆ ไม่ใช่ยิ้มของหญิงสาวไร้เดียงสา หากแต่เป็นรอยยิ้มของผู้ที่กล้าเสี่ยง
“หากท่านอ๋องไม่ลดตัวลงมามองบ้าง หม่อมฉันเชื่อว่า ท่านอ๋องจะพลาดสิ่งสำคัญไป”
สายลมยามราตรีพัดเอื่อย ผ้าแพรปลิวไหว จิ้งอ๋องไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาเพียงหมุนกายกลับไปอย่างเงียบงัน ทิ้งเพียงวาจาหนึ่งไว้เบื้องหลัง
“พรุ่งนี้ เจ้าไปพบคนของข้าที่โรงเตี๊ยมหลงฟางทางตะวันตก”
“หากสิ่งที่เจ้าพูดนั้นจริง ข้าจะพิจารณาวางหมากร่วมกับเจ้า”
ลี่อินเฝ้าดูเงาหลังของเขาจนลับตา ใจที่เคยร้อนรนกลับเยือกเย็นขึ้นมาอย่างประหลาด
“จิ้งอ๋อง ท่านคือพยัคฆ์ร้าย”
“ส่วนข้า จะเป็นพิษร้ายที่อยู่เคียงข้างพยัคฆ์เช่นท่าน และเป็นพิษที่ท่านคาดไม่ถึง...”
เสียงกระจกหน้าต่างฝั่งตรงข้ามแตกดังแกรก นักฆ่าคนที่สองพุ่งตัวเข้ามาพร้อมควันไฟที่ถูกจุดล่อเบี่ยงความสนใจ แต่นางยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม นั่นเพราะเงาร่างสีขาวเคลื่อนผ่านแสงตะเกียงด้วยความเร็วราววิหคเหิน เขายกตะเกียงในมือโบกขึ้น เป่าดับไฟ แล้วแทงคมมีดกลับไปยังต้นเสียงโดยไม่ต้องมอง เสียงร่างกระแทกพื้นดังตึง ร่างที่สามลอบเข้ามาจากประตูหลัง หยุดกึกกลางทางเงาของไป๋อวิ๋นยืนนิ่งอยู่ตรงกลางห้อง และเสียงของลี่อินก็เอ่ยขึ้นเบื้องหลังเขา“ถ้าเจ้าไม่ถอยออกไป จะไม่มีโอกาสได้ตายดี”นักฆ่าคนสุดท้ายลังเลชั่วครู่ ก่อนจะโยนอะไรบางอย่างลงพื้น มันคือกระบอกไม้ไผ่ที่มีตราสัญลักษณ์ลบลายบนปลอก“จงส่งสาส์นนี้คืนไปยังผู้ส่งมันมา…” ลี่อินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “…และบอกมันว่า นับแต่นี้ ข้าจะไม่ยอมทนอยู่เงียบ ๆ อีก!”รุ่งเช้าในวันถัดมา เสี่ยวจูเปิดประตูเรือนก็พบว่าหน้าประตูถูกกวาดเรียบจนไม่มีแม้ร่องรอยของการต่อสู้ ไป๋อวิ๋นจากไปแล้วเช่นทุกครั้ง ไม่เอ่ยคำร่ำลา ไม่ปล่อยแรอยเท้าไว้เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เหลืออยู่คือลายมือสั้น ๆ บนกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งที่วางใต้หม้อน้ำชา“ครั้งหนึ่งข้าเคยพลาด ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมพลาด
ค่ำคืนเงียบงันยิ่งกว่าที่เคย ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านแนวต้นหลิวที่ปลิดใบอย่างเชื่องช้า ในจวนสกุลเซียว แม้ภายนอกจะดูเงียบสงบ หากแต่ในความมืดของราตรีนั้น จิตใจของใครหลายคนต่างเต็มไปด้วยแรงเคลื่อนไหวที่ยากจะหยุดยั้งเรือนหลังที่เงียบเชียบของเซียวลี่อินกลับไม่มืดสนิทเหมือนเช่นทุกคืน ตะเกียงน้ำมันถูกจุดไว้ตรงกลางห้อง ราวกับนางตั้งใจ ‘เปิดทาง’ ให้ใครบางคนที่กำลังจะมาเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นหน้าประตูหลัง ลี่อินไม่แสดงท่าทีแปลกใจ นางลุกขึ้นอย่างสงบ แล้วเปิดประตูออกด้วยมือนิ่งมั่นบุรุษในชุดผ้าฝ้ายสีขาวยืนอยู่ตรงหน้า รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมครึ่งหน้านั้นมีเพียงดวงตาคมลึกที่จ้องมองนางนิ่ง ๆ“เจ้าคือผู้ที่จิ้งอ๋องส่งมาหรือ?” ลี่อินเอ่ยเสียงเบาบุรุษชุดขาวพยักหน้า “ข้า ไป๋อวิ๋น เคยเป็นองครักษ์ลับประจำกรมคลัง เมื่อหกปีก่อนข้าเห็นสิ่งหนึ่ง แต่ไม่อาจกล่าวออกมาได้”เสียงของเขานุ่มทุ้ม แต่ทว่าเย็นยะเยือกคล้ายลมภูผา“และข้าจะไม่พูดกับใคร หากไม่มีเหตุผลพอ”ลี่อินไม่ตอบในทันที นางเชื้อเชิญเขาเข้าไปนั่งในเรือนอย่างสงบ ตะเกียงสว่างเพียงพอให้เห็นเงาบนฝาผนังสั่นไหว แต่ไม่มากพอให้เห็นสีหน้าของทั้งสองช
วังหลวงแห่งแคว้นต้าหลิงยามย่ำค่ำยิ่งดูเงียบสงบงดงาม โคมแก้วหินลอยเหนือคูน้ำทอดยาวรอบตำหนัก เงาสะท้อนของดวงจันทร์สาดลงบนพื้นศิลาหยกขาวนวล แต่ภายใต้เงาสว่างนั้น มีบางอย่างเคลื่อนไหวในความมืดอย่างเงียบงันภายในตำหนักซ่างอิงขององค์หญิงจ้าวฮุ่ย บ่าวรับใช้ก้มหน้าอย่างเคารพเมื่อหญิงสาวในชุดเรียบหรูเดินตามขันทีเข้ามาเซียวลี่อิน ถูกเชิญให้มาเข้าเฝ้าองค์หญิงอย่างเป็นทางการครั้งแรกนางน้อมคำนับอย่างงดงาม “หม่อมฉัน เซียวลี่อิน ถวายบังคมองค์หญิงเพคะ”บนบัลลังก์หยกขาวกลางตำหนัก องค์หญิงจ้าวฮุ่ยทอดพระเนตรหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยสายตาที่คมดุจหอก“เจ้าคือบุตรสาวคนโตของเซียวเฟิงเฉินหรือ?” น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่ง ทว่าหนักแน่น“เพคะ” ลี่อินตอบโดยไม่ลังเล “หม่อมฉันเป็นบุตรภรรยาเอก แต่ถูกถอนชื่อจากทะเบียนเรือนตอนอายุสิบสาม”ดวงตาขององค์หญิงหรี่ลง “เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?”ลี่อินเงยหน้าขึ้น สบตากับองค์หญิงอย่างสงบนิ่ง“เพราะหม่อมฉันเป็นลูกของภรรยาที่ไม่ชื่นชอบ และไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อในสายตาผู้เป็นบิดา”คำตอบนั้นทำให้องค์หญิงนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนแย้มพระโอษฐ์“เจ้าพูดอย่างสงบนิ่งทั้งที่ความจริงนั้นราวกับน้ำก
สามวันถัดมา ภายในตำหนักซ่างอิงของวังหลวง ที่ประทับขององค์หญิงจ้าวฮุ่ย พระธิดาองค์โตของฮ่องเต้ ผู้มีอำนาจทั้งในวังหน้าและวังใน เป็นสตรีมากบารมีแห่งแคว้นต้าหลิงภายนอกตำหนักนั้นเงียบสงบด้วยมารยาทแห่งราชสำนัก แต่ภายใน สายตาขององค์หญิงกลับเต็มไปด้วยความคมกล้า เจินซูเม่ยนั่งชูคอขณะที่เข้าเฝ้าองค์หญิงร่วมกับฮูหยินขุนนางอีกหลายคน“เซียวเฟิงเฉิน เป็นผู้ดูแลกรมการคลังมานานปี ข้าได้ยินมาว่า เขามีบุตรสาวคนโตชื่อเซียวลี่อิน แต่กลับไม่ปรากฏนามในบรรดารายชื่อหญิงงามในงานราชพิธีใด ๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”ขันทีข้างกายรายงานด้วยเสียงเบา “ทูลองค์หญิง กระหม่อมได้ยินมาว่านางเป็นบุตรีที่ไม่ได้รับความสนใจจากเสนาบดีเซียว เนื่องจากเป็นคนแข็งกร้าวไม่เชื่อฟังพะยะค่ะ”“งั้นหรือ บางครั้งข่าวลือที่ได้ยินมาก็มิอาจเชื่อถือได้ เจ้าว่าเช่นไรเล่า เจินซูเม่ย”“ทูลองค์หญิง สกุลเซียวให้ความใส่ใจกับบุตรทุกคน ข่าวลือนั้นไม่จริงเลยเพคะ”“เช่นนั้นหรือ ซูกงกง เจ้ายังได้ยินเรื่องใดมาอีก ว่าต่อสิ”“ทูลองค์หญิง กระหม่อมยังได้ยินมาอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูเซียวผู้นี้ถูกฮูหยินรองเซียวกักขังในห้องตำรา แต่แล้วก็หายตัวออกมาได้เอ
ในยามสายวันรุ่งขึ้น ลี่อินได้รับคำสั่งจากฮูหยินรองเจินซูเม่ย ให้นางเข้าไปช่วยจัดของในห้องเก็บตำราสำคัญของจวน“ห้องเก็บตำรา?”“ในอดีต ข้าจำได้ว่าเคยถูกล่อเข้าไปที่นั่น แล้วถูกกล่าวหาว่าขโมยหยกของฮูหยินรอง”“คุณหนู อย่าไปนะเจ้าคะ” เสี่ยวจูเอ่ยอย่างร้อนรน“ห้องนั้น ข้าได้ยินว่าวันก่อนซูหรูเพิ่งให้คนเข้าไปทำความสะอาด ข้าเกรงว่ามันจะเป็นกับดัก”ลี่อินวางมือบนไหล่เสี่ยวจู บีบเบา ๆ“เจ้าเคยบอกข้าว่ากลัว หากต้องอยู่ในเงามืดเพียงลำพังใช่หรือไม่?”“ข้าเองก็กลัว แต่ข้าจะไม่หนีอีก ยิ่งพวกมันกล้าลงมือเร็ว ข้ายิ่งแน่ใจว่ามันเริ่มหวาดหวั่นแล้ว”ยามเฉินลี่อินก้าวเข้าสู่เรือนใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ภายในเรือนตกแต่งหรูหรา ทุกกระเบื้องและมุมเสาล้วนประณีตงดงาม แต่สำหรับนางแล้ว มันไม่ต่างจากคุกสีทองที่เคยกักขังนางนางเดินตามบ่าวรับใช้จนถึงหน้าห้องเก็บตำรา ซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของห้องปีกตะวันออก“เข้าไปได้เลยเจ้าค่ะ ฮูหยินรออยู่ข้างในแล้ว”เมื่อเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่ปรากฏกลับไม่ใช่เจินซูเม่ย หากแต่เป็นเพียงห้องที่ว่างเปล่า เงียบสงัด และมีกล่องเก็บผ้าโบราณซ้อนกันสูงจนบดบังแสง ทันใดนั้น ประตูไม้ก็ปิดดั
เสียงหัวเราะของเด็กชายดังขึ้นภายในสวนหลังเรือนใหญ่ เป็นเสียงที่สดใสเกินไปสำหรับสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบแห่งความชิงชังและการหลอกลวงเซียวเทียนหยู บุตรชายของเจินซูเม่ย เด็กชายในวัยสิบสามปีผู้เป็นที่รักของบิดายิ่งนักแม้ในชาติก่อนเขายังเยาว์วัยนัก แต่กลับเป็นผู้ที่กล่าวหานางว่าลอบขโมยของหลวง และเป็นผู้ที่ผลักดันให้บิดาสั่งลงโทษนางและแม่ในช่วงท้ายของชีวิตอย่างไร้เมตตา“ในชาติก่อน แม้จะยังเด็ก แต่ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เป็นอสรพิษในคราบเด็กน้อย”“ในชาตินี้ ข้าจะขุดรากเจ้า ก่อนที่เขี้ยวจะงอก!”บ่ายวันนั้น ลี่อินปรากฏตัวในสวน นางแต่งกายเรียบง่าย เอาผ้าบางคลุมศีรษะ ถือกระเช้าผลไม้เดินตรงเข้าไป“เทียนหยู ข้านำผลไม้มาให้เจ้า”เด็กชายชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยืดอกพูดด้วยท่าทีจองหอง“พี่หญิงใหญ่!”“ใช่ ข้าเอง”“วันนั้น ท่านคือคนที่ทำถาดหล่นใส่ท่านอ๋องใช่หรือไม่”เสียงหัวเราะเหี้ยม ๆ จากปากเด็กชายทำเอาคนรับใช้รอบตัวสะอึก แต่ลี่อินกลับยิ้มบาง ย่อตัวลงนอบน้อม“ข้าสะเพร่าไปหน่อย เพียงแค่อยากไปช่วยงาน”เซียวเทียนหยูเลิกคิ้วอย่างงุนงง ก่อนจะโบกมือ “วางไว้ตรงนั้น แล้วไปเถอะ”ทว่าก่อนนางจะผละไป