Mag-log inหลี่อันอันหมอหญิงผู้ได้รับชื่อว่าเป็นหัตถ์เทวะ สิ้นใจในป่าลึกเพราะพลัดตกเขาในขณะที่กำลังจะเก็บสมุนไพรเพียงต้นเดียว นางเตรียมพร้อมจะจากไปอย่างสงบ ทว่ากลับมีโฉมสะคราญผู้หนึ่งมาดึงรั้งนางไว้ พร้อมยื่นข้อเสนอยกร่างให้ แลกกับการที่หลี่อันอันต้องรักษาขาให้สามีพิการของนางกลับมาเดินได้ หลี่อันอันตอบรับอย่างเสียไม่ได้ วิญญาณดวงนั้นจึงจากไปโดยสงบ ทิ้งหนึ่งร่างไว้ให้ใช้ กับสามีขาพิการปากร้ายอีกหนึ่งคนที่ร่ำร้องหาการหย่า หากเป็นหานลั่วอิงคนเก่าคงร่ำไห้ แต่พอเป็นหานลั่วอิงคนนี้ก็มีแต่รับข้อเสนอพร้อมเงื่อนไขที่ว่า หากรักษาขาของสามีอย่างถานอวิ๋นซีให้หายขาดได้ รางวัลของนางคือใบหย่า แล้วเหตุใดวันที่ถานอวิ๋นซีกลับมาเดินได้ เขาจึงไม่ยอมให้นางหย่าดังที่รับปากเอาไว้เล่า!
view moreผืนปฐพีกว้างใหญ่ สายนทีหลั่งไหลไม่เคยหยุดนิ่ง ตะวันขึ้นตรงดิ่งทำหน้าที่อยู่ไม่รู้วาย จันทร์สกาวส่องแสงล้อดาวกลางเมืองไม่ซ่อนเร้นจางหาย
เมืองหลวงอันกว้างใหญ่และหรูหรามั่งคั่งของแคว้นจิ่นซู บนถนนทุกสายยามนี้คลาคล่ำเต็มไปด้วยฝูงชน ถนนเส้นใหญ่ใจกลางเมืองหลวงนั้นเป็นแหล่งรวมของร้านค้ามากมาย
ดังเช่นร้านเครื่องทองหย่งชิน ที่สตรีในสกุลชนชั้นสูงจะต้องมาสั่งทำเครื่องประดับกันไม่เว้นแต่ละวัน แม้ราคาจะสูง แต่สตรีทั้งหลายกลับกัดฟันทำใจกล้าควักเงินก้อนโตจ่ายโดยไม่เสียดาย เพราะต้องการเครื่องประดับคุณภาพชั้นหนึ่ง ที่ลวดลายต้องออกแบบไม่ซ้ำใคร
ขอเพียงตนโดดเด่นกว่าใคร มากเท่าใดก็ยอมจ่ายจริงแท้
ถัดไปไม่ไกลเป็นร้านเสื้อสกุลเหลา ซึ่งมีแพรพรรณคุณภาพดีจากทั่วแคว้นมารวมกันอยู่ที่นี่ ร้านเสื้อสกุลเหลาไม่ใช่ร้านที่ชาวบ้านทั่วไปจะกล้าก้าวขาเข้าไป เพราะแม้ผ้าคุณภาพด้อยที่สุดเพียงหนึ่งฉื่อ [1] ก็มีราคามากถึง 2 ตำลึงเสียแล้ว
ด้วยเงินจำนวนนี้สำหรับชาวบ้านทั่วไป ก็สามารถใช้กินอยู่ได้นานถึงสองเดือน เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเข้าไปร้านเสื้อสกุลเหลาได้ ก็จะเป็นผู้มีฐานะขั้นต้นอย่างน้อยคือเศรษฐีไปถึงบรรดาขุนนางชั้นสูง
ตอนนี้แคว้นจิ่นซูสงบรุ่งเรืองมาหลายสิบปี ไร้วี่แววจะเกิดสงคราม ในตอนที่ปฐมฮ่องเต้พระองค์แรกขึ้นครองราชย์ ผู้คนทุกหมู่เหล่าจึงมีคำกล่าวติดปากกันว่า ‘ผืนปฐพีกว้างใหญ่ สายนทีหลั่งไหลไม่เคยหยุดนิ่ง ตะวันขึ้นตรงดิ่งทำหน้าที่อยู่ไม่รู้วาย จันทร์สกาวส่องแสงล้อดาวกลางเมืองไม่ซ่อนเร้นจางหาย’
ซึ่งหมายถึงองค์ปฐมฮ่องเต้ที่ทรงปกครองบ้านเมืองแคว้นจิ่นซูให้ประชาชนอยู่อย่างผาสุก ความเจริญรุ่งเรืองของแคว้นนั้นราวกับดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้า ทั้งการค้าก็เฟื่องฟู เหล่านักปราชญ์หลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง สร้างความเจริญให้แคว้นจิ่นซูไม่หยุดนิ่งดั่งสายน้ำที่กำลังไหลไป ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจทำหน้าที่แข็งขันประหนึ่งดวงตะวัน
‘หอชมจันทร์’นั้นเป็นร้านอาหารเลื่องชื่อที่สุดในเมืองหลวง เหล่าผู้มีฐานะต่างแวะเวียนเข้าออกกันไม่ขาดสาย เพื่อลิ้มลองอาหารเลิศรสจากพ่อครัวฝีมือดี ที่ร่ำลือกันว่าเมื่อเทียบชั้นกับพ่อครัวในวังหลวงแล้ว รสชาติไม่ได้ด้อยกว่าเลยสักนิด
แน่นอนว่าเมื่อวัตถุดิบชั้นเลิศมารวมกันอยู่ที่นี่ ราคาอาหารแต่ละจานจึงไม่ธรรมดา แต่เก้าอี้ของหอชมจันทร์ก็ไม่เคยว่างได้นาน เพราะมีลูกค้าเข้าร้านอยู่เสมอ จนหลงจู๊เจ้าของกิจการยิ้มไม่หุบ
บนชั้นสามของหอชมจันทร์ถูกจัดเป็นชั้นพิเศษ มีห้องรับรองลูกค้าแค่เพียงห้าห้องเท่านั้น เป็นที่นิยมสำหรับขุนนางหรือพ่อค้าระดับเศรษฐีที่ต้องการมาสังสรรค์กันที่นี่ เพราะแต่ละห้องนั้นถูกออกแบบให้สามารถเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี ราคาค่าเปิดห้องจึงเป็นเงินมากถึง 30 ตำลึง
แต่ไม่ว่าค่าใช้จ่ายในหอชมจันทร์จะแพงสักเท่าใด ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับบุตรีคนโตของ ‘มหาเสนาบดีหานจง’ อย่าง ‘หานลั่วอิง’ เลยแม้แต่น้อยเด็กสาววัยสิบเจ็ดปีผู้นี้มีรูปโฉมงดงามโดดเด่นจนผู้คนที่มองเห็นนางครั้งแรก ต้องมองซ้ำอีกครั้ง ผิวขาวราวหิมะดูเนียนนุ่มไปทั่วร่าง เส้นผมยาวดำสลวย ริมฝีปากแดงเหมือนผลอิงเถา [2] ใบหน้างดงามราวกับเทพธิดา นัยน์ตาวาวใสคู่นั้นมักจะปรากฏแววถือตัวอยู่จาง ๆ ยามเมื่อนางไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา
แต่...นั่นคือความรู้สึกของคนที่พบนางในครั้งแรกเท่านั้น!
เพราะหากถามคนในเมืองหลวงแล้ว ผู้คนเกือบทั้งหมดล้วนส่ายหน้าในพฤติกรรมที่ไม่สมกับเป็นกุลสตรีของหานลั่วอิง เพราะนางสามารถควบอาชาได้องอาจเยี่ยงบุรุษ ยิงธนูได้แม่นยำ ส่วนนิสัยนั้นไม่มีความอ่อนหวานเลยสักนิด จึงมียอดบัณฑิตคนหนึ่งล้อเลียนว่า หากหานลั่วอิงได้เกิดเป็นบุรุษ มหาเสนาบดีหานจงคงจะผลักดันให้เป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเป็นแน่
แต่ถึงแม้จะมีผู้คนดูแคลน และวิพากษ์วิจารณ์บุตรีของมหาเสนาบดีหานจงลับหลังเรื่องการไม่ปฏิบัติตัวตามจารีตอันควรทำของสตรีอย่างไร หานลั่วอิงก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด นางเป็นสตรีที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก เหตุเพราะว่าหานลั่วอิงได้รับการตามใจจากบิดามาตั้งแต่แต่เด็ก
ไม่ว่าบุตรสาวอยากทำสิ่งใดก็ตาม บิดาก็ไม่เคยขัดใจแม้เพียงสักครั้ง หานลั่วอิงคือบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินเอกที่หานจงรักมากที่สุด เมื่อบุตรสาวมีอายุได้สองปี มารดาก็ตายจากไป ทิ้งความเศร้าไว้ในใจของหานจงอย่างไม่เสื่อมคลาย แม้เขาจะมีภรรยารองหลังจากนั้น แต่ก็แต่งโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหามารดาที่จะมาคอยช่วยดูแลหานลั่วอิงให้เท่านั้น ส่วนบุตรสาวคนเล็กที่เกิดจากภรรยารองนามว่า‘หานหนิงอัน’ วัยสิบห้าปี กลับไม่ค่อยได้รับความสนใจจากบิดาเท่ากับพี่สาวคนโต
แม้หานลั่วอิงจะมีชื่อเสียงด้านความไม่เป็นกุลสตรีก็ตาม แต่อย่างไรนางก็เป็นสตรีนางหนึ่ง ทั้งยังมีบุรุษในดวงใจแล้วด้วย!
คนผู้นั้นคือ ‘ถานอวิ๋นซี’แม่ทัพทิศอุดรวัยยี่สิบสามปี ทว่าอนิจจาฟ้าดินไม่เห็นใจ ความรักนี้กลายเป็นรักเพียงข้างเดียว เพราะถานอวินซีได้หมั้นหมายกับหานหนิงอันไปเมื่อสามปีก่อนแล้ว
แต่คนอย่างหานลั่วอิงกลับไม่ยอมแพ้ ในเมื่อนางรักมั่นปักใจกับเขามาตั้งแต่เยาว์วัย เรื่องอะไรจะให้นางยอมยกเขาให้กับหญิงอื่น แม้ว่าจะต้องแย่งชิงถานอวิ๋นซีมาจากน้องสาวของตนก็ตาม หานลั่วอิงก็จะทำ!
[1] * ฉื่อ คือหน่วยวัดของจีนแบบโบราณ มีความยาวประมาณ 33.3 เซนติเมตร หรือประมาณ 1 ฟุต
[2] * อิงเถา คือ เชอร์รี่
หานหนิงอันรู้สึกผิดหูกับคำเรียกขานของถานอวิ๋นซีที่เรียกพี่สาวว่า‘ลั่วอิง’ จึงหันไปมองซินจี๋ สองนายบ่าวรู้ใจกันดี แสดงละครปกปิดความผิดของตนออกมาอีกครั้งซินจี๋ชี้แจงความเท็จอย่างคล่องแคล่ว “เป็นซินจี๋ที่ไม่รู้ความ วันก่อนบ่าวมีโอกาสผ่านหอชมจันทร์อีกครั้ง ก็ไปถามเรื่องนี้เพื่อความแน่ใจ ปรากฏว่าคุณหนูใหญ่ไม่ได้ไปที่หอชมจันทร์นานมากแล้ว หญิงผู้นั้นเพียงหน้าตาคล้ายคุณหนูใหญ่ ท่านหลงจู๊บอกเช่นนั้นเจ้าค่ะ”ถานอวิ๋นซีพยักหน้ารับทราบ แม้ในใจจะรู้สึกแปลกอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่อยากคาดคั้นพวกนางสองคนอีกต่อไป นั่งค
หลังจากเหตุการณ์มีปากเสียงกันวันนั้น หานลั่วอิงก็ไม่โผล่หน้ามาให้เขาเห็นอีกเลยอาหารและยาก็ล้วนเป็นบ่าวที่ยกเข้ามา คนสั่งไม่ยอมออกหน้า เรียกได้ว่านางทำตัวห่างเหินกับเขาอย่างเปิดเผยโดยแท้ก่อนหน้านี้หานลั่วอิงเข้าครัวบ่อยครั้ง ถานอวิ๋นซีไม่ใช่ไม่รู้ถึงความจริงในข้อที่ว่าหากหานลั่วอิงรู้ว่าเขาชอบกินอะไร นางก็จะเข้าครัวไปปรุงอาหารด้วยตนเอง จนตอนนี้เขาติดรสมือของนางไปเสียแล้วยามนี้เขาไม่เห็นนางมาสองวันแล้ว แต่ก็ปากหนักไม่ยอมเอ่ยปากถามกับบ่าวรับใช้ ฝืนทนกินกับข้าวที่ไม่คุ้นลิ้นต่อไป ตอนนั้นเองที่ถานอวิ๋
สีหน้าของผู้ฟังเหมือนจะสำนึกขึ้นได้ จึงหัวเราะแก้เก้อ“ใช่! ใช่! ต้องเรียกว่าถานฮูหยิน เอาล่ะ หากข้าเจอต้นกระดิ่งสวรรค์ ก็จะนำมันมาเป็นของกำนัลให้กับถานฮูหยินอีกหลาย ๆ ต้น”หานลั่วอิงยอบกายลงแสดงความขอบคุณอย่างอ่อนน้อม ทำให้สายตาของหวังเซียวจิ้นเหม่อลอยอีกครั้ง หลังจากกลุ่มสหายทั้งหมดลากลับไปแล้ว ถานอวิ๋นซีก็ให
หานลั่วอิงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่เรือนส่วนตัวของตนเอง ในแต่ละวันนอกจากอ่านตำราทางการแพทย์แล้ว นางก็ไปเล่นหมากรุกกับถานอวิ๋นซีเกือบทุกวัน แต่ก่อนเขามักจะหงุดหงิดที่ต้องแพ้นาง แต่ตอนนี้ดูเป็นคนอารมณ์เย็นขึ้นมากและทุกเดือนนางต้องปลอมตัวเป็นท่านหมอหลี่ เข้ามาที่จวนตระกูลถานเพื่อฝังเข็มและจ่ายยา จากที่ในตอนแรกหน้าตาของถานอวิ๋นซีดูไม่เชื่อถือสักเท่าไหร่
ใบหน้าถานอวิ๋นซีตึงขึ้นมาทันที ขณะที่มองหานลั่วอิงเรียงตัวหมากบนกระดาน“เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าคิดว่ามีประโยชน์คืออะไร ข้าอยากรู้นัก”“การเอาเวลามาคิดช่วยเหลือชาวบ้านที่กำลังประสบภัยแล้งทางตอนใต้น่ะสิ”“เจ้าว่าอะไรนะ!” ถานอวิ๋นซีถามซ้ำอีกครั้งสุ้มเสียงแปลกใจอย่างชัดเจน ราวกับว่าคำพูดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินจากปากของหานลั่วอิง“ตอนที่ข้าออกไปข้างนอก ได้ยินมาว่าพื้นที่ทางตอนใต้ของแคว้นนั้นเกิดเหตุภัยแล้ง แม้จะเกิดทุกปี แต่ปีนี้หนักที่สุด”หา
ทุกเช้าหานลั่วอิงจะเข้ามาดูแลถานอวิ๋นซีด้วยตนเอง ในเรื่องของของการทำความสะอาดร่างกายนางก็ปล่อยให้บ่าวชายจัดการไป ส่วนเรื่องอาหารและยารักษารวมถึงการนวดขานั้น นางยังคงทำให้เช่นเดิมในช่วงแรกนั้นถานอวิ๋นซีไม่ยอมแม้จะมองหน้านางสักนิด แต่หานลั่วอิงก็รู้เหตุผลของเขาดี นางจึงไม่ได้เซ้าซี้และทำเท่าที่ต้องทำ นอกเหนือกว่านั้นก็ไม่แสดงอาการอะไรใด






Mga Comments