เสียงฆ้องจากประตูหน้าจวนก็ดังขึ้น
ตึ้ง—! ตึ้ง—!
เสี่ยวจูสะดุ้งเฮือก “อ๊ะ ใครมากันหรือเจ้าคะ?”
ลี่อินไม่ได้ตอบในทันที แต่สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันหวนคิดถึงสิ่งหนึ่ง
“ช่วงเวลานี้ในอดีต ใช่แล้ว…”
“วันนี้ คือวันแรกที่จิ้งอ๋อง หวังจิ้งเหยียน เสด็จกลับจากศึกชายแดน”
หัวใจนางเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น แต่เป็นแรงแห่งการคำนวณชะตา
ชายผู้นั้น คือคนเดียวที่ในอดีตเคยยื่นมือช่วยนางเพียงครั้งเดียว แต่กลับเปลี่ยนชีวิตนางได้ทั้งชีวิต
ในชีวิตก่อน เขาคืออ๋องเจ็ด ผู้เย็นชาและไม่เคยไว้ใจผู้ใด ทว่าในคราวที่นางบังเอิญได้ช่วยชีวิตเขาจากการลอบสังหาร นั่นทำให้เขาส่งสายลับมาคอยเฝ้าดูและยื่นโอกาสให้นางโดยไม่เอ่ยวาจาใด
แต่ข้า กลับพลาดโอกาสนั้นไป…
ในชาตินี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้มันหลุดลอยไปอีก
นางขบคิดแล้วลุกขึ้นจากฟูก “เสี่ยวจู วันนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับท่านอ๋องเจ็ดใช่ไหม?”
สาวใช้พยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ! วันนี้ท่านอ๋องจะเสด็จมาที่จวนสกุลเซียว ข้าได้ยินมาจากพ่อครัวในห้องครัวใหญ่ว่าในคืนนี้จะมีแขกสำคัญมามากมาย”
ลี่อินพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ
“ดี เช่นนั้นข้าต้องหาทางไปที่นั่นให้ได้”
เสี่ยวจูตกใจ “มะ..ไม่ได้นะเจ้าคะ! พวกเราถูกห้ามมิให้เข้าใกล้เรือนใหญ่ แล้วคุณหนูก็ยังไม่หายดี!”
ลี่อินยิ้มเย็น แววตาดุจน้ำแข็ง “เจ้าคิดว่าข้าจะยังเป็น ‘คุณหนูที่ถูกเหยียบย่ำ’ เหมือนในอดีตหรือ?”
ยามเย็น จวนสกุลเซียวประดับไฟประทีปทั่วทั้งเรือนใหญ่ กลิ่นหอมของอาหารตลบอบอวล ผู้คนในอาภรณ์หรูหราเดินเข้าออกอย่างคึกคัก บ่าวไพร่ต่างเร่งจัดเตรียมทุกอย่างอย่างเร่งรีบ
ลี่อินสวมชุดผ้าฝ้ายเก่าที่ย้อมสีหม่น ยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นเหมยที่อยู่ห่างจากเรือนเล็ก นางมองเห็นเรือนรับรองด้านหน้า ซึ่งอีกไม่นานเขาผู้นั้นจะมาถึง
“หวังจิ้งเหยียน…” เสียงชื่อนั้นผ่านลมหายใจออกมาแผ่วเบา
นางยังจำได้ดี ชายผู้นั้นสวมอาภรณ์ดำขลิบทอง ใบหน้าคมเข้ม แววตาเยือกเย็นราวน้ำแข็ง
หากต้องการขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ก็ต้องพึ่งพาอำนาจของเขา
“ข้าจะเข้าหาท่าน และทำให้ท่านเลือกข้าให้ได้”
เสียงพิณแผ่วเบาเคล้าคลอไปกับกลิ่นสุรารสเลิศ บรรยากาศภายในเรือนรับรองของจวนเสนาบดีเซียวในค่ำคืนนี้งดงามดุจฉากในฝัน โคมแดงแขวนเรียงรายล้อแสงกับผิวน้ำในสระจนแลดูดั่งหยกส่องประกาย
“ท่านอ๋องเสด็จ!”
เสียงขันทีประกาศก้องพร้อมจังหวะเสียงฆ้องเบา ๆ ขุนนางระดับสูงและแขกเหรื่อต่างลุกขึ้นประสานมือทำความเคารพ
ในยามนั้น ร่างสูงในอาภรณ์ดำขลิบทองก็ก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามทุกฝีก้าว เขาเป็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบปลาย ใบหน้าเยือกเย็นน่าเกรงขาม แววตาดำสนิทดุจน้ำลึกไร้ก้นบึ้ง
หวังจิ้งเหยียน จิ้งอ๋องแห่งต้าหลิง
ผู้บัญชาการทัพพิฆาตเหนือ ผู้เยือกเย็นเด็ดขาด และผู้ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องชั่งใจทุกถ้อยคำเมื่อสนทนา
ในมุมต้นหลิวข้างสระน้ำ เซียวลี่อินสวมเสื้อผ้าธรรมดาเดินเบา ๆ ท่ามกลางกลุ่มบ่าวไพร่ นางซ่อนเร้นตนได้อย่างแนบเนียน ลอบเข้ามาโดยอาศัยความโกลาหลของงานเฉลิมฉลอง
“ครานี้ ข้าจะไม่เพียงแค่มองจากเงา แต่ข้าจะเป็นผู้ปักหมุดบนกระดานหมากนี้ด้วยมือของข้าเอง”
สายตาของลี่อินมองผ่านม่านโปร่งเข้าสู่ห้องโถง ที่นั่งกลางของจิ้งอ๋องถูกจัดอย่างหรูหรา เจินซูเม่ยนั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายกับเซียวเฟิงเฉินผู้เป็นสามี ขณะที่เซียวถิงฮวาสวมชุดงามระยับนั่งอยู่ไม่ห่าง ทำทีส่งสายตาอ่อนหวานต่อจิ้งอ๋อง
“นี่คือบุตรสาวของหม่อมฉัน นามว่าถิงฮวา นิสัยอ่อนโยน เรียบร้อย รู้กาละเทศะยิ่ง”
เสียงเจินซูเม่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเสแสร้ง แฝงไว้ด้วยความหวังจะยัดเยียดบุตรสาวเข้าวัง
ลี่อินหัวเราะเย็นอยู่ในใจ
“หึ! ในชาติก่อน ข้าเห็นเจ้าพยายามส่งถิงฮวาเข้าวังหลวงเพื่อเลียแข้งเลียขาจิ้งอ๋องทุกวิธีทาง สุดท้าย จิ้งอ๋องกลับไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ”
ขณะที่นางกำลังมองบุรุษในความทรงจำผู้นั้น สายตาของจิ้งอ๋องก็พลันกวาดผ่านออกมานอกม่านโปร่ง
ลี่อินสะดุ้งเล็กน้อย ชั่วขณะหนึ่ง สายตาทั้งคู่สบประสานกันอย่างไม่ตั้งใจ
เขานิ่ง…
นางนิ่ง...
ทว่ในดวงตาของเขากลับมีความประหลาดใจบางอย่างแวบผ่าน
“สายตานั้นมัน…”
“หรือว่าเขาจะจำข้าไม่ได้แล้ว?”
แน่นอนสิ จะจำได้อย่างไรเล่า ในชาติก่อนเขาเพียงเห็นนางจากเหตุการณ์ลอบสังหารที่สวนหลังวังหลวง นั่นเกิดขึ้นหลังจากเวลานี้อีกหลายปี
ครานี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้จุดเริ่มต้นอยู่ในมือของโชคชะตาอีก
เสียงขับร้องจากนางรำดังขึ้น เมื่อถึงช่วง “บวงสรวงชัยชนะ” ที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่อ๋องเจ็ด ผู้ชนะศึก
ลี่อินค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้ พร้อมถือถาดน้ำชาที่แอบลอบหยิบจากบ่าวผู้หนึ่ง นางเดินตรงไปยังบริเวณด้านข้างที่จัดวางเครื่องดื่ม
เป้าหมายคือ ใกล้เขาให้มากพอ
ทันใดนั้น…
“อ๊ะ!”
ลี่อินแสร้งสะดุดชายผ้าของนางรำ ล้มลงกับพื้น ถาดในมือลั่นกระแทกจนชิ้นหนึ่งกระเด็นไปตกใกล้เท้าของจิ้งอ๋อง เสียงโกลาหลดังขึ้นทันที
“นังบ่าวโง่เง่า! กล้าทำให้ท่านอ๋องตกพระทัยหรือ!”
เจินซูเม่ยตะโกนก้อง พร้อมสายตาเหี้ยมเกรียม
ลี่อินยังไม่ลุก นางก้มศีรษะลงค้างไว้อย่างรู้ตำแหน่ง ร่างแนบกับพื้นหินเย็นเฉียบ แต่ริมฝีปากกลับแย้มยิ้มบาง ๆ ออกมา
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันต่ำต้อย สะเพร่าเกินไป…”
เสียงของนางเจือแววสั่น แต่ไม่ใช่ความกลัว หากแต่เป็นเสียงที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี
จิ้งอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย ก้มลงมองหญิงสาวผู้นั้นก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ลุกขึ้นเถิด มิใช่เรื่องใหญ่”
ประโยคนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั้งงาน โดยเฉพาะเจินซูเม่ยกับเซียวเฟิงเฉิน
ลี่อินค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นจนเห็นปลายผ้าคลุมอาภรณ์สีดำทองของชายผู้นั้น
“หากท่านคือบันไดสู่จุดสูงสุด ข้าก็จะเป็นเงาที่เท่านไม่มีวันละสายตาได้...”
เสียงฮือฮายังไม่ทันซาลง แววตาของเหล่าขุนนางและบ่าวไพร่ต่างเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
“ท่านอ๋องบอกให้นางลุกขึ้น มิได้ลงโทษ?!”
“แปลกนัก”
เจินซูเม่ยกัดฟันแน่น แม้จะยังคงแสร้งยิ้มประจบออกมา แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางลอบเหลือบมองเซียวถิงฮวา ซึ่งตอนนี้กำลังเชิดคางขึ้นเล็กน้อยด้วยความไม่สบอารมณ์
“นังลี่อินนี่ ทุกทีมุดหัวอยู่ในเรือนหลังจวน ยังกล้าโผล่หัวมาในงานใหญ่ แล้วยังได้สายตาท่านอ๋องอีก”
“ข้าจะปล่อยให้เจ้าเฉิดฉายไม่ได้เด็ดขาด!”
ลี่อินประสานมือ ก้มศีรษะอย่างถ่อมตน แม้หัวใจจะเต้นระรัวจากแรงกดดันรอบด้าน แต่สีหน้าของนางกลับสงบนิ่ง
“ขอบพระทัยที่ท่านอ๋องเมตตาต่อบ่าวต่ำต้อยเช่นหม่อมฉันเพคะ”
จิ้งอ๋องเหลือบมองเพียงครู่หนึ่ง ก่อนเบนสายตาออกไปทางอื่นอย่างไร้ความสนใจ
ลี่อินรับรู้ได้ทันที…
“สายตาของเขา แม้จะไม่หยุดอยู่ที่ข้า แต่ข้าก็กลายเป็นคนแรกที่เขาพูดด้วยในงานนี้”
นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเริ่มต้น...
เสียงกระจกหน้าต่างฝั่งตรงข้ามแตกดังแกรก นักฆ่าคนที่สองพุ่งตัวเข้ามาพร้อมควันไฟที่ถูกจุดล่อเบี่ยงความสนใจ แต่นางยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม นั่นเพราะเงาร่างสีขาวเคลื่อนผ่านแสงตะเกียงด้วยความเร็วราววิหคเหิน เขายกตะเกียงในมือโบกขึ้น เป่าดับไฟ แล้วแทงคมมีดกลับไปยังต้นเสียงโดยไม่ต้องมอง เสียงร่างกระแทกพื้นดังตึง ร่างที่สามลอบเข้ามาจากประตูหลัง หยุดกึกกลางทางเงาของไป๋อวิ๋นยืนนิ่งอยู่ตรงกลางห้อง และเสียงของลี่อินก็เอ่ยขึ้นเบื้องหลังเขา“ถ้าเจ้าไม่ถอยออกไป จะไม่มีโอกาสได้ตายดี”นักฆ่าคนสุดท้ายลังเลชั่วครู่ ก่อนจะโยนอะไรบางอย่างลงพื้น มันคือกระบอกไม้ไผ่ที่มีตราสัญลักษณ์ลบลายบนปลอก“จงส่งสาส์นนี้คืนไปยังผู้ส่งมันมา…” ลี่อินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “…และบอกมันว่า นับแต่นี้ ข้าจะไม่ยอมทนอยู่เงียบ ๆ อีก!”รุ่งเช้าในวันถัดมา เสี่ยวจูเปิดประตูเรือนก็พบว่าหน้าประตูถูกกวาดเรียบจนไม่มีแม้ร่องรอยของการต่อสู้ ไป๋อวิ๋นจากไปแล้วเช่นทุกครั้ง ไม่เอ่ยคำร่ำลา ไม่ปล่อยแรอยเท้าไว้เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เหลืออยู่คือลายมือสั้น ๆ บนกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งที่วางใต้หม้อน้ำชา“ครั้งหนึ่งข้าเคยพลาด ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมพลาด
ค่ำคืนเงียบงันยิ่งกว่าที่เคย ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านแนวต้นหลิวที่ปลิดใบอย่างเชื่องช้า ในจวนสกุลเซียว แม้ภายนอกจะดูเงียบสงบ หากแต่ในความมืดของราตรีนั้น จิตใจของใครหลายคนต่างเต็มไปด้วยแรงเคลื่อนไหวที่ยากจะหยุดยั้งเรือนหลังที่เงียบเชียบของเซียวลี่อินกลับไม่มืดสนิทเหมือนเช่นทุกคืน ตะเกียงน้ำมันถูกจุดไว้ตรงกลางห้อง ราวกับนางตั้งใจ ‘เปิดทาง’ ให้ใครบางคนที่กำลังจะมาเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นหน้าประตูหลัง ลี่อินไม่แสดงท่าทีแปลกใจ นางลุกขึ้นอย่างสงบ แล้วเปิดประตูออกด้วยมือนิ่งมั่นบุรุษในชุดผ้าฝ้ายสีขาวยืนอยู่ตรงหน้า รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมครึ่งหน้านั้นมีเพียงดวงตาคมลึกที่จ้องมองนางนิ่ง ๆ“เจ้าคือผู้ที่จิ้งอ๋องส่งมาหรือ?” ลี่อินเอ่ยเสียงเบาบุรุษชุดขาวพยักหน้า “ข้า ไป๋อวิ๋น เคยเป็นองครักษ์ลับประจำกรมคลัง เมื่อหกปีก่อนข้าเห็นสิ่งหนึ่ง แต่ไม่อาจกล่าวออกมาได้”เสียงของเขานุ่มทุ้ม แต่ทว่าเย็นยะเยือกคล้ายลมภูผา“และข้าจะไม่พูดกับใคร หากไม่มีเหตุผลพอ”ลี่อินไม่ตอบในทันที นางเชื้อเชิญเขาเข้าไปนั่งในเรือนอย่างสงบ ตะเกียงสว่างเพียงพอให้เห็นเงาบนฝาผนังสั่นไหว แต่ไม่มากพอให้เห็นสีหน้าของทั้งสองช
วังหลวงแห่งแคว้นต้าหลิงยามย่ำค่ำยิ่งดูเงียบสงบงดงาม โคมแก้วหินลอยเหนือคูน้ำทอดยาวรอบตำหนัก เงาสะท้อนของดวงจันทร์สาดลงบนพื้นศิลาหยกขาวนวล แต่ภายใต้เงาสว่างนั้น มีบางอย่างเคลื่อนไหวในความมืดอย่างเงียบงันภายในตำหนักซ่างอิงขององค์หญิงจ้าวฮุ่ย บ่าวรับใช้ก้มหน้าอย่างเคารพเมื่อหญิงสาวในชุดเรียบหรูเดินตามขันทีเข้ามาเซียวลี่อิน ถูกเชิญให้มาเข้าเฝ้าองค์หญิงอย่างเป็นทางการครั้งแรกนางน้อมคำนับอย่างงดงาม “หม่อมฉัน เซียวลี่อิน ถวายบังคมองค์หญิงเพคะ”บนบัลลังก์หยกขาวกลางตำหนัก องค์หญิงจ้าวฮุ่ยทอดพระเนตรหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยสายตาที่คมดุจหอก“เจ้าคือบุตรสาวคนโตของเซียวเฟิงเฉินหรือ?” น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่ง ทว่าหนักแน่น“เพคะ” ลี่อินตอบโดยไม่ลังเล “หม่อมฉันเป็นบุตรภรรยาเอก แต่ถูกถอนชื่อจากทะเบียนเรือนตอนอายุสิบสาม”ดวงตาขององค์หญิงหรี่ลง “เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?”ลี่อินเงยหน้าขึ้น สบตากับองค์หญิงอย่างสงบนิ่ง“เพราะหม่อมฉันเป็นลูกของภรรยาที่ไม่ชื่นชอบ และไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อในสายตาผู้เป็นบิดา”คำตอบนั้นทำให้องค์หญิงนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนแย้มพระโอษฐ์“เจ้าพูดอย่างสงบนิ่งทั้งที่ความจริงนั้นราวกับน้ำก
สามวันถัดมา ภายในตำหนักซ่างอิงของวังหลวง ที่ประทับขององค์หญิงจ้าวฮุ่ย พระธิดาองค์โตของฮ่องเต้ ผู้มีอำนาจทั้งในวังหน้าและวังใน เป็นสตรีมากบารมีแห่งแคว้นต้าหลิงภายนอกตำหนักนั้นเงียบสงบด้วยมารยาทแห่งราชสำนัก แต่ภายใน สายตาขององค์หญิงกลับเต็มไปด้วยความคมกล้า เจินซูเม่ยนั่งชูคอขณะที่เข้าเฝ้าองค์หญิงร่วมกับฮูหยินขุนนางอีกหลายคน“เซียวเฟิงเฉิน เป็นผู้ดูแลกรมการคลังมานานปี ข้าได้ยินมาว่า เขามีบุตรสาวคนโตชื่อเซียวลี่อิน แต่กลับไม่ปรากฏนามในบรรดารายชื่อหญิงงามในงานราชพิธีใด ๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”ขันทีข้างกายรายงานด้วยเสียงเบา “ทูลองค์หญิง กระหม่อมได้ยินมาว่านางเป็นบุตรีที่ไม่ได้รับความสนใจจากเสนาบดีเซียว เนื่องจากเป็นคนแข็งกร้าวไม่เชื่อฟังพะยะค่ะ”“งั้นหรือ บางครั้งข่าวลือที่ได้ยินมาก็มิอาจเชื่อถือได้ เจ้าว่าเช่นไรเล่า เจินซูเม่ย”“ทูลองค์หญิง สกุลเซียวให้ความใส่ใจกับบุตรทุกคน ข่าวลือนั้นไม่จริงเลยเพคะ”“เช่นนั้นหรือ ซูกงกง เจ้ายังได้ยินเรื่องใดมาอีก ว่าต่อสิ”“ทูลองค์หญิง กระหม่อมยังได้ยินมาอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูเซียวผู้นี้ถูกฮูหยินรองเซียวกักขังในห้องตำรา แต่แล้วก็หายตัวออกมาได้เอ
ในยามสายวันรุ่งขึ้น ลี่อินได้รับคำสั่งจากฮูหยินรองเจินซูเม่ย ให้นางเข้าไปช่วยจัดของในห้องเก็บตำราสำคัญของจวน“ห้องเก็บตำรา?”“ในอดีต ข้าจำได้ว่าเคยถูกล่อเข้าไปที่นั่น แล้วถูกกล่าวหาว่าขโมยหยกของฮูหยินรอง”“คุณหนู อย่าไปนะเจ้าคะ” เสี่ยวจูเอ่ยอย่างร้อนรน“ห้องนั้น ข้าได้ยินว่าวันก่อนซูหรูเพิ่งให้คนเข้าไปทำความสะอาด ข้าเกรงว่ามันจะเป็นกับดัก”ลี่อินวางมือบนไหล่เสี่ยวจู บีบเบา ๆ“เจ้าเคยบอกข้าว่ากลัว หากต้องอยู่ในเงามืดเพียงลำพังใช่หรือไม่?”“ข้าเองก็กลัว แต่ข้าจะไม่หนีอีก ยิ่งพวกมันกล้าลงมือเร็ว ข้ายิ่งแน่ใจว่ามันเริ่มหวาดหวั่นแล้ว”ยามเฉินลี่อินก้าวเข้าสู่เรือนใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ภายในเรือนตกแต่งหรูหรา ทุกกระเบื้องและมุมเสาล้วนประณีตงดงาม แต่สำหรับนางแล้ว มันไม่ต่างจากคุกสีทองที่เคยกักขังนางนางเดินตามบ่าวรับใช้จนถึงหน้าห้องเก็บตำรา ซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของห้องปีกตะวันออก“เข้าไปได้เลยเจ้าค่ะ ฮูหยินรออยู่ข้างในแล้ว”เมื่อเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่ปรากฏกลับไม่ใช่เจินซูเม่ย หากแต่เป็นเพียงห้องที่ว่างเปล่า เงียบสงัด และมีกล่องเก็บผ้าโบราณซ้อนกันสูงจนบดบังแสง ทันใดนั้น ประตูไม้ก็ปิดดั
เสียงหัวเราะของเด็กชายดังขึ้นภายในสวนหลังเรือนใหญ่ เป็นเสียงที่สดใสเกินไปสำหรับสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบแห่งความชิงชังและการหลอกลวงเซียวเทียนหยู บุตรชายของเจินซูเม่ย เด็กชายในวัยสิบสามปีผู้เป็นที่รักของบิดายิ่งนักแม้ในชาติก่อนเขายังเยาว์วัยนัก แต่กลับเป็นผู้ที่กล่าวหานางว่าลอบขโมยของหลวง และเป็นผู้ที่ผลักดันให้บิดาสั่งลงโทษนางและแม่ในช่วงท้ายของชีวิตอย่างไร้เมตตา“ในชาติก่อน แม้จะยังเด็ก แต่ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เป็นอสรพิษในคราบเด็กน้อย”“ในชาตินี้ ข้าจะขุดรากเจ้า ก่อนที่เขี้ยวจะงอก!”บ่ายวันนั้น ลี่อินปรากฏตัวในสวน นางแต่งกายเรียบง่าย เอาผ้าบางคลุมศีรษะ ถือกระเช้าผลไม้เดินตรงเข้าไป“เทียนหยู ข้านำผลไม้มาให้เจ้า”เด็กชายชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยืดอกพูดด้วยท่าทีจองหอง“พี่หญิงใหญ่!”“ใช่ ข้าเอง”“วันนั้น ท่านคือคนที่ทำถาดหล่นใส่ท่านอ๋องใช่หรือไม่”เสียงหัวเราะเหี้ยม ๆ จากปากเด็กชายทำเอาคนรับใช้รอบตัวสะอึก แต่ลี่อินกลับยิ้มบาง ย่อตัวลงนอบน้อม“ข้าสะเพร่าไปหน่อย เพียงแค่อยากไปช่วยงาน”เซียวเทียนหยูเลิกคิ้วอย่างงุนงง ก่อนจะโบกมือ “วางไว้ตรงนั้น แล้วไปเถอะ”ทว่าก่อนนางจะผละไป