โรงเตี๊ยมหลงฟางนั้นไม่ใช่โรงเตี๊ยมหรูหรา เต็มไปด้วยความเรียบง่าย ผู้คนที่สัญจรไปมาแม้จะดูธรรมดา แต่สายตาและการก้าวย่างล้วนผิดแผกจากชาวเมืองทั่วไป
เซียวลี่อินเดินทางมาถึงตามเวลานัดหมาย ท่าทางสงบนิ่งของนางดึงดูดสายตาของผู้คนเพียงครู่ ก่อนจะถูกมองข้ามไปในทันที นั่นคือสิ่งที่นางต้องการ
“ข้าไม่จำเป็นต้องโดดเด่น เพียงแต่ต้องไม่ไร้ตัวตนในสายตาของบุคคลที่ใช่”
นางก้าวขึ้นสู่ชั้นสองของโรงเตี๊ยมตามคำสั่งที่จิ้งอ๋องฝากไว้เมื่อคืน และทันทีที่เปิดบานประตูห้องชั้นบนสุด ก็พบเข้ากับชายหนุ่มวัยประมาณสามสิบ ผู้มีท่าทางสุขุมและแววตาคมกริบดั่งเหยี่ยว
“เจ้าคือแม่นางผู้นั้นใช่หรือไม่?” ชายผู้นั้นกล่าวโดยไม่ลุกขึ้นจากโต๊ะ
ลี่อินพยักหน้า “ใช่ ข้าเอง”
ชายผู้นั้นจ้องนางนิ่ง ก่อนลุกขึ้นและปิดประตูตามหลังอย่างแนบเนียน
“ข้า หลี่หาน รับใช้ท่านอ๋องมาหลายปี หากเจ้าไม่มีสิ่งใดที่คู่ควรต่อการสนทนา เราจะไม่พบกันอีก”
ลี่อินยื่นห่อผ้าผืนบางที่แนบกายมาตลอดทาง ภายในนั้นคือสำเนาบันทึกรายจ่ายแปลกประหลาดจากกรมคลังของจวนเสนาบดีเซียว ที่นางเคยเห็นโดยบังเอิญในชาติก่อน ขณะถูกใช้ให้ไปเก็บลายมือชื่อเจินซูเม่ย
บันทึกพวกนี้นางจำได้ขึ้นใจ ทั้งวัน เดือน ปี รายจ่าย และลายมือชื่อคนรับเงิน
หลี่หานเปิดดูเนื้อความในเอกสารเงียบ ๆ ก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง สีหน้าของเขาฉายแววครุ่นคิด
“เจ้าได้สำเนาบันทึกพวกนี้มาจากไหน”
“ของพวกนี้ ข้าไม่เคยลืม แม้ตายมันก็จะอยู่ในสมองข้า” ลี่อินตอบ
ผ่านไปไม่นาน หลี่หานก็ลุกขึ้น หยิบซองหนึ่งส่งให้นาง
“นี่คือสัญลักษณ์ที่แสดงว่าเจ้ากำลังรับใช้ใต้เงาท่านอ๋อง เจ้าจะไม่สามารถใช้มันเพื่อเรียกความช่วยเหลือ เว้นแต่ยามจำเป็น”
ลี่อินรับไว้ด้วยความเคารพ “ข้าเข้าใจ”
ก่อนจากไป หลี่หานเหลือบมองนางอีกครั้ง
“เจ้าคิดหรือว่าเป้าหมายของเจ้าจะไม่ชนกับศัตรูของท่านอ๋อง?”
“ข้าก็หวังว่า มันจะชนกันทั้งหมด” ลี่อินยิ้มบาง ๆ ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว
“เพราะข้าจะใช้เปลวเพลิง เผาให้พวกมันล้มทั้งแผง!”
เมื่อกลับจากโรงเตี๊ยมถึงเรือนหลังของจวนสกุลเซียว ลี่อินรีบซ่อนสัญลักษณ์และจัดเอกสารทุกชิ้นแยกไว้ใต้แผ่นไม้ในพื้นห้อง เสี่ยวจูมองท่าทางเคร่งขรึมของนางด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนู ข้ารู้สึกกลัวนัก ท่านจะไม่เป็นอันตรายใช่ไหมเจ้าคะ?”
“ข้าอยู่กลางอันตรายมาหลายปี มาถึงวันนี้ ข้าไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีก” ลี่อินพูด
กลางคืนวันนั้น ลมหนาวเริ่มแรงขึ้น แม้เพิ่งเข้าปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่สำหรับเรือนหลังของจวนสกุลเซียวที่ขาดเครื่องกันหนาวใด ๆ แล้ว อากาศในยามราตรีย่อมโหดร้ายเสมอ
เซียวลี่อินนั่งอยู่หน้าตะเกียงน้ำมันในชุดบางคลุมผ้าฝ้ายซีดจาง หญิงสาวจดจ้องแผ่นกระดาษเก่าเบื้องหน้า ขีดเขียนข้อความลงด้วยหมึกที่เจือจางจนแทบซีด
“คนผู้นี้ ในชีวิตก่อนเป็นผู้ดูแลบัญชีประจำกรมคลังสาขาย่อย เคยบ่นเรื่องยอดเงินแปลก ๆ กับคนข้างกายจากนั้นก็หายตัวไป”
นางค่อย ๆ เขียนชื่อลงในกระดาษเล็ก ๆ แล้วพับเก็บเข้าถุงผ้าขนาดเล็กสำหรับส่งต่อ
“เป้าหมายแรก…มิใช่พ่อตัวเอง”
“แต่คือเบี้ยตัวเล็กที่ข้าเคยเพิกเฉย ซึ่งหากชักใยถูก จะกระชากความลับใหญ่โตกว่าที่พวกมันคิด”
รุ่งเช้า วันใหม่มาเยือน
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของบ่าวไพร่ในเรือนใหญ่คึกคักกว่าทุกวัน ข่าวลือเรื่อง “บ่าวสาวปริศนาในงานเลี้ยงที่ทำถาดตกใส่ท่านอ๋อง” แพร่ไปทั่วทุกมุม
เจินซูเม่ยนั่งแต่งหน้าอยู่หน้าโต๊ะหยกขาว ในขณะที่เซียวถิงฮวาเดินวนไปมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ท่านแม่ ข้าว่านังลี่อินนั่นต้องมีแผน!” ถิงฮวาพูด
เจินซูเม่ยยิ้มเย็น ไม่ได้หยุดปัดแป้งบนแก้ม
“นางจะวางแผนสิ่งใด ก็ปล่อยให้นางไปเถิด ในเมื่อท่านพ่อเจ้าก็ไม่เคยสนใจนางมาตลอดสิบกว่าปี”
“มีหรือที่ใครในจวนนี้จะกล้าช่วยเหลือนาง?”
ทว่าในมุมหนึ่งของจวน ขันทีจากวังหลวงผู้หนึ่งในชุดสีเทาน้ำหมึก เดินเข้าสู่ประตูจวนอย่างเงียบเชียบ ในมือมีตราประทับทองแดงของฝ่ายกรมบัญชีกลางแห่งวังหลวง เขาเดินผ่านประตูมาได้โดยไร้การสกัด ด้วยคำสั่งลับจากจิ้งอ๋อง
เย็นวันเดียวกันนั้นเอง เสียงเอะอะวุ่นวายก็ดังขึ้นจากหน้าจวน
“ข้าน้อยเป็นขุนนางกรมคลัง! มาตรวจสอบบัญชีและความโปร่งใสในการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือราษฎร ตามคำสั่งตรวจสอบจากเบื้องบน!”
เสียงชายผู้นั้นดังก้อง จนถึงหูของเซียวเฟิงเฉิน ผู้เป็นเสนาบดีกรมคลัง
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนทันที “ตรวจสอบ?”
“เหตุใดจึงไม่มีหนังสือแจ้งล่วงหน้า!”
ขันทีผู้นั้นชูตราให้ดู “นี่คือคำสั่งลับ มิอาจแจ้งล่วงหน้าได้”
ในมุมหนึ่งของเรือนหลัง ลี่อินแย้มยิ้มพลางยืนดูเหตุการณ์อยู่จากเงาต้นไม้
“ข้าเพียงโยนหินลงสู่ผิวน้ำ แต่ระลอกคลื่นกลับกลายเป็นพายุในจวนเสียแล้ว เซียวเฟิงเฉิน!”
เสียงบ่าวสาวแตกตื่นดังขึ้นไม่ขาดสาย
“ได้ยินหรือไม่! พวกเขาพบบัญชีที่ลายมือชื่อไม่ตรงกันในหลายเดือนก่อน!”
“ว่ากันว่าเงินที่ควรจะถึงมือชาวบ้าน กลับไหลไปทางเรือนฮูหยินรอง!”
เซียวเฟิงเฉินหน้าเครียด แต่ยังกล่าวเสียงดังกลบเกลื่อน
“เรื่องนี้อาจมีการเข้าใจผิด ข้าจะตรวจสอบด้วยตนเองในภายหลัง!”
แม้จะกล่าวเสียงกร้าว แต่แววตากลับเริ่มหวั่นไหว
คืนนั้น ลี่อินนั่งอยู่บนตั่งไม้เล็ก พิงฝาอย่างสงบ ดวงตาจ้องเปลวตะเกียงที่ไหววูบในลมเบา เสี่ยวจูนั่งพับเพียบอยู่ไม่ไกล
“คุณหนู ท่านกำลังยิ้มหรือเจ้าคะ”
“ใช่สิ เพราะข้าพิสูจน์ได้แล้วว่า ไม่จำเป็นต้องตะโกนให้ดังก็มีคนเชื่อ บางครั้ง แค่ปล่อยให้ความจริงมันเดินทางของมันเองก็พอ”
ภายในห้องหนังสือของจวนเสนาบดี เซียวเฟิงเฉินเดินวนไปมาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง บนโต๊ะเบื้องหน้าเขามีกองเอกสารการเบิกจ่ายเงินหลวงซ้อนทับกันแน่นหนา
มือของเขากำเอกสารจนยับ ขณะที่เสียงเจินซูเม่ยเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านยังไม่รู้อีกหรือว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของใคร?”
เซียวเฟิงเฉินไม่ตอบในทันที เพียงขบฟันแน่น
“มันเร็วเกินไป…” เขาพึมพำ “ข้อมูลที่หลุดออกไปนี้ มีเพียงคนในบ้านเท่านั้นที่จะรู้”
เจินซูเม่ยขมวดคิ้ว ก่อนสายตานางจะเปล่งประกายเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที
“เซียวลี่อิน ต้องเป็นนางแน่”
“จะเป็นนางได้อย่างไร” เขาโพล่งขึ้นทันที “นางเป็นแค่หญิงโง่เขลาที่เอาแต่ก้มหน้าเช็ดพื้น!”
ขณะเดียวกัน ที่เรือนพักรับรองฝั่งตะวันตก หวังจิ้งเหยียนนั่งอยู่ในห้อง ใต้แสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างไม้ฉลุลาย ชายหนุ่มถือกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ในมือ เป็นรายชื่อขุนนางที่เกี่ยวข้องกับเงินหลวงที่ถูกยักยอก และที่ปลายกระดาษ มีลายมือเขียนอย่างประณีต
“สตรีผู้นี้ใช้สติวางหมากได้อย่างแม่นยำ” เขาเอ่ยขึ้น
หลี่หาน ขันทีผู้ติดตามใกล้ชิดเดินเข้ามาคำนับ “ท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านเดินทางกลับวังในวันพรุ่งนี้”
จิ้งอ๋องพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนวางแผ่นกระดาษลงอย่างแผ่วเบา
“ก่อนกลับวัง จัดให้ข้าได้พบเซียวลี่อินอีกครั้ง”
เรือนหลังของจวนสกุลเซียวในค่ำคืนนั้น เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะ มีทหารจากวังหลวงส่งจดหมายมา” เสี่ยวจูพูดเสียงแผ่ว สีหน้าตื่นตกใจ
ลี่อินรับมาด้วยมืออันมั่นคง พอเปิดอ่าน แววตาของนางกลับทอแววพึงพอใจ
“มาพบข้า ยามโฉ่ว ที่เรือนรับรองฝั่งตะวันตก”
ใต้เงาต้นหลิว ณ ที่นัดหมาย ลี่อินก้าวเข้าสู่ลานที่เงียบเชียบของเรือนรับรอง จิ้งอ๋องนั่งอยู่ใต้ศาลาหิน เอนกายพิงเสาไม้เรียบ ราวกับกำลังรอใครบางคนมาเล่นกระดานหมาก เขาไม่ได้หันมาในทันที แต่เอ่ยขึ้นเบา ๆ
“เจ้ามาเร็วกว่าที่คิด”
“เวลาเป็นสิ่งมีค่า หม่อมฉันไม่ชอบให้ใครต้องรอนาน” นางตอบอย่างสงบ
จิ้งอ๋องหันกลับมา แววตาของเขาไร้ความอ่อนโยนเช่นเดิม
“ข้าได้อ่านสิ่งที่เจ้าส่งมาแล้ว และข้ารู้ว่าเจ้ามีค่าพอที่จะร่วมกระดานนี้”
“เช่นนั้นท่านอ๋องจะเริ่มจากตรงที่ใด”
“ข้าจะให้คนมาเฝ้าสังเกตจวนสกุลเซียว และให้เจ้ารายงานความเคลื่อนไหวของเจินซูเม่ย หากนางมีส่วนกับการยักยอกจริง ไม่เพียงจวนสกุลเซียวจะล่ม แต่ข้าจะลากพรรคพวกในวังหลวงของนางลงมาด้วย”
ลี่อินประสานมือคำนับอย่างงดงาม ดวงตาของนางส่องประกายแน่วแน่ใต้แสงจันทร์
“เจ้าคือดาบ ข้าคือเงา”
“เราจะฆ่าโดยไร้ผู้ใดล่วงรู้...”
หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปไม่กี่วัน ข่าวลือเรื่องเซียวลี่อินเดินเคียงจิ้งอ๋องเข้าร่วมงานเลี้ยงในหอเลี้ยงยังคงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงเหล่าสตรีน้อยใหญ่ต่างเอ่ยถึงเรื่องของนางด้วยทั้งความอิจฉาและเกรงขามขุนนางหลายคนเริ่มจับตามองนางในฐานะ ผู้ที่อ๋องเจ็ดยกย่องแต่ภายในจวนสกุลเซียว กลับเงียบงันราวกับพายุที่กำลังสะสมแรงเจินซูเม่ยนั่งอยู่หน้าโต๊ะบูชา ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ“นางกล้าหักหน้าข้าต่อหน้าผู้คน ข้าจะไม่มีวันปล่อยไปแน่!”เซียวถิงฮวารีบเข้ามา“ท่านแม่ เราจะทำอย่างไรต่อดี”เจินซูเม่ยยกผงยาสีขาวขึ้นจากกล่องไม้เล็ก ๆ“เพียงแค่โรยสิ่งนี้ในน้ำชา ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางก็จะอับอายต่อหน้าผู้คน”ในอีกฟากหนึ่ง เซียวลี่อินนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ในเรือนเล็ก สายลมพัดเส้นผมปลิวไหว แววตาของนางสงบนิ่ง แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มเย็น“เจินซูเม่ย เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ทันเล่ห์กลกระจอก ๆ ของเจ้าเช่นนั้นหรือ”จังหวะนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นก็ดังขึ้น หวังจิ้งเหยียนก้าวเข้ามาพร้อมกับองครักษ์สองคน“ข้าได้ข่าวว่ามีคนเคลื่อนไหวใกล้เรือนเจ้าอีกแล้ว”เซียวลี่อินหันไปสบตากับเขา“เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะรอดู ว่าเล่ห์กลภายใต้เ
ค่ำคืนวันนั้น จวนเจ้ากรมพิธีการจัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อต้อนรับคณะทูตจากแคว้นเหนือเหล่าขุนนางและสตรีผู้สูงศักดิ์ต่างแต่งกายหรูหรา เสียงดนตรีและกลิ่นสุรารินไหลเคล้าบรรยากาศเซียวลี่อินก้าวเข้าสู่หอจัดงานเลี้ยงพร้อมกับจิ้งอ๋องที่เดินเคียงข้างเพียงแค่ปรากฏตัว ทั้งห้องโถงก็เหมือนเงียบลงไปชั่วขณะสายตานับไม่ถ้วนหันมามอง มีทั้งความตกตะลึงและเสียงซุบซิบแผ่วเบา“นั่นคุณหนูใหญ่สกุลเซียวไม่ใช่หรือ นางมาพร้อมกับท่านอ๋องเจ็ดเชียวหรือนั่น”“ท่าทีดูสง่างามนัก ต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิงเลยนะ”“ก็นั่นน่ะสิ”เจินซูเม่ยและเซียวถิงฮวาที่นั่งอยู่เบื้องหน้า แววตาแทบลุกเป็นไฟการที่เซียวลี่อินเดินเข้าสู่หอจัดงานเลี้ยงพร้อมกับจิ้งอ๋องเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าสองแม่ลูกนั้นตรง ๆ ต่อหน้าผู้คนเซียวถิงฮวากัดฟันกระซิบ“ท่านแม่ นางจงใจ! นางจงใจเย้ยหยันข้า นางจงใจทำให้คนทั้งเมืองหลวงรู้ว่าท่านอ๋องอยู่ข้างนาง”เจินซูเม่ยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น แต่ก็ยังฝืนยิ้มไว้จิ้งอ๋องกวาดสายตาไปทั่วห้องโถงก่อนเอ่ยเสียงทุ้มเรียบ“วันนี้ข้ามาเพื่อร่วมดื่มสักจอก มิได้มาเพื่อฟังเสียงซุบซิบนินทาของใคร”เพียงคำพูดเดียว เสียงพูดคุยทั้งห
ข่าวสมุนไพรปนเปื้อนที่ถูกจับได้กลางทางแพร่สะพัดราวกับไฟลามทุ่ง จากตลาดเข้าสู่วังหลวง จากวังสู่หูเหล่าขุนนาง และสุดท้ายก็ย้อนกลับมาถึงจวนสกุลเซียวภายในเวลาไม่กี่วันเรือนใหญ่ภายในจวนบัดนี้เต็มไปด้วยบ่าวไพร่ที่ซุบซิบนินทา“ว่าแต่ฮูหยินรอง...เป็นนางจริงหรือไม่ที่อยู่เบื้องหลัง”“ชู่ว์! ระวังปากหน่อย หากนางได้ยินเข้า พวกเราจะซวยเอา”แต่ยิ่งห้าม เสียงเล่าลือก็ยิ่งดังไปทั่วภายในห้องโถง เจินซูเม่ยสีหน้าซีดขาว มือสั่นจนถ้วยชาร่วงแตกกับพื้น เซียวถิงฮวารีบคุกเข่าข้างกาย“ท่านแม่ อย่าหวาดหวั่นไป! เราต้องหาทางพลิกสถานการณ์ มิฉะนั้นเรื่องนี้จะกลายเป็นหลักฐานชัดเจนมัดตัวเรา”เจินซูเม่ยกัดฟันกรอด“ข้าไม่ยอมแพ้แน่ ข้าจะไม่ยอมให้นังเด็กนั่นมาทำให้ชีวิตข้าพัง!”ในอีกฟากหนึ่ง ลี่อินนั่งจิบชาในเรือนเล็กอย่างสงบ รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้างาม ยิ่งนางดิ้น ข่าวลือก็จะยิ่งมัดรอบคอนางเองเสียงฝีเท้าหนักดังขึ้นจากนอกโถง เซียวเฟิงเฉินก้าวเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ เขาได้รับฎีกาลับจากวังที่สอบถามเรื่องเกวียนสมุนไพรปนเปื้อน หากพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับจวนสกุลเซียว ชื่อเสียงและตำแหน่งเจ้ากรมคลังของเขาจะสั่นคลอนท
ข่าวการที่สมุนไพรปนเปื้อนถูกตรวจพบก่อนถูกส่งเข้าวังหลุดรอดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ชื่อของตระกูลเซียวถูกซุบซิบนินทาตามตลาด ร้านน้ำชา โรงเตี๊ยม และแม้แต่ในหมู่ขุนนางของราชสำนักภายในเรือนใหญ่ของจวนสกุลเซียว เจินซูเม่ยขว้างถ้วยชาจนแตกกระจาย“ผู้ใด! ผู้ใดมันกล้าใส่ร้ายข้าเช่นนี้!”เซียวถิงฮวารีบเข้ามาปลอบผู้เป็นมารดา“ท่านแม่ ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ หากเราร้อนรน ผู้คนก็จะยิ่งสงสัยนะเจ้าคะ”แต่แววตาของเซียวถิงฮวาเองก็กังวลไม่น้อย เพราะในใจนางเริ่มหวาดระแวงว่าผู้ที่ทำทั้งหมดนี้ อาจจะเป็นเซียวลี่อินขณะเดียวกัน เซียวลี่อินกำลังนั่งจิบชาเงียบ ๆ ในเรือนเล็ก ใบหน้าเรียบสงบ แต่ภายในเต็มไปด้วยเพลิงเย็นของความพึงพอใจนี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น หลังจากนี้ยังจะมีอีกหลายก้าวที่เจินซูเม่ยไม่มีทางหนีรอด!จังหวะนั้นเอง จิ้งอ๋องก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ส่งข่าวล่วงหน้า เขาก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะทอดสายตามองนาง“ครั้งนี้เจ้าทำได้เด็ดขาดยิ่งนักจนแม้แต่ข้าเองก็เกือบไม่ทันตั้งตัว”ลี่อินยกยิ้มบาง “เพราะหม่อมฉันไม่อยากให้ศัตรูมีเวลาหายใจเพคะ หากศัตรูมีเวลาได้หายใจ ก็อาจจะไหวตัวทัน”เซียวลี่อินหันไปมองจิ้ง
เซียวลี่อินกลับถึงเรือนเล็กในยามสนธยา แสงตะวันย้อมผนังเรือนเป็นสีส้มหม่น แต่ในหัวใจนางกลับไม่อุ่นเลยสักนิดข่าวลือแผ่ว ๆ จากพวกบ่าวไพร่ทำให้นางหยุดฟังอย่างตั้งใจ“ว่าแต่คุณหนูใหญ่นี่นางช่างดวงแข็งนัก ถึงกลับมามีชีวิตอยู่ได้”“เงียบปากเสีย! หากฮูหยินรองได้ยินเข้าเจ้าจะถูกโบย”บ่าวสาวสองคนรีบก้มหน้าก้มตาเมื่อเห็นเซียวลี่อินเดินผ่าน นางเพียงปรายตาเย็นชามองเล็กน้อยแล้วเดินต่อไปเจินซูเม่ย เจ้ากำลังคิดจะทำสิ่งใดอีกกันไม่นาน เสี่ยวจู สาวใช้คนสนิทของลี่อินก็เข้ามารายงาน“คุณหนูเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินรองเรียกพ่อบ้านไปหารืออย่างลับ ๆ ทั้งยังสั่งให้คนออกไปนอกเมืองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างอีกด้วยเจ้าค่ะ”ลี่อินเลิกคิ้วเล็กน้อย“ไปนอกเมือง? ไปเพื่อติดต่อผู้ใดกัน”เสี่ยวจูส่ายหน้า“ข้าไม่อาจเข้าใกล้ได้ แต่จากที่ได้ยิน คราวนี้ดูเหมือนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสมุนไพรบางชนิดเจ้าค่ะ”เซียวลี่อินนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนดวงตาจะวาวขึ้นสมุนไพร...ใช่แล้ว หากข้าจำไม่ผิด ในชาติก่อนมีคดีทุจริตส่งสมุนไพรปนเปื้อนเข้าวัง และหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องก็คือเจินซูเม่ยริมฝีปากของนางยกยิ้มเย็น“ดี เสี่ยวจู เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า
บ่ายวันนั้น เซียวลี่อินออกจากจวนสกุลเซียวเพื่อตรงไปยังตลาดใหญ่ นางตั้งใจจะไปหาซื้อสมุนไพรหายากเพื่อนำไปให้ท่านหมอเทวดาที่ช่วยรักษาผู้ป่วยยากไร้ ได้ยินมาว่าหากได้สมุนไพรนี้ไว้ จะมีค่าราวกับทองคำในยามจำเป็นผู้คนในตลาดคึกคัก เสียงตะโกนเรียกลูกค้าสลับกับกลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากแผงลอย เซียวลี่อินก้าวเดินไปตามตรอกแคบด้วยท่าทีระวัง จนกระทั่งเสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วตึก ตึก ตึก!นางเงยหน้าขึ้นทันที เห็นขบวนทหารม้าสวมเกราะดำมุ่งตรงมาทางตรอก ผู้คนรีบหลบลี้กันจ้าละหวั่น แต่เพราะช่องทางแคบนัก ลี่อินจึงถูกเบียดจนเกือบล้มก่อนที่ร่างจะกระแทกพื้น มือใหญ่แข็งแรงกลับคว้าข้อมือนางไว้มั่น แรงดึงพานางให้ซบเข้าสู่อ้อมอกที่อบอุ่นและมั่นคง“เหตุใดถึงเดินอยู่ตรงนี้คนเดียว”เสียงทุ้มเย็นนั้นดังขึ้นชิดข้างหูเซียวลี่อินเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าคมคายที่นางจำได้ดี เป็นเขา จิ้งอ๋อง หวังจิ้งเหยียนแววตาคมกริบของเขามองนางอย่างจับจ้อง จนหัวใจของนางเต้นสะดุดไปชั่วขณะ“หม่อมฉันมีธุระ”นางตอบสั้น ๆ พลางพยายามถอยห่าง แต่ฝ่ามือเขายังจับมั่นไม่ปล่อยหวังจิ้งเหยียนเหลือบตามองขบวนทหารที่เคลื่อนผ่านอย่างเร่งรีบ ก่อน