โรงเตี๊ยมหลงฟางนั้นไม่ใช่โรงเตี๊ยมหรูหรา เต็มไปด้วยความเรียบง่าย ผู้คนที่สัญจรไปมาแม้จะดูธรรมดา แต่สายตาและการก้าวย่างล้วนผิดแผกจากชาวเมืองทั่วไป
เซียวลี่อินเดินทางมาถึงตามเวลานัดหมาย ท่าทางสงบนิ่งของนางดึงดูดสายตาของผู้คนเพียงครู่ ก่อนจะถูกมองข้ามไปในทันที นั่นคือสิ่งที่นางต้องการ
“ข้าไม่จำเป็นต้องโดดเด่น เพียงแต่ต้องไม่ไร้ตัวตนในสายตาของบุคคลที่ใช่”
นางก้าวขึ้นสู่ชั้นสองของโรงเตี๊ยมตามคำสั่งที่จิ้งอ๋องฝากไว้เมื่อคืน และทันทีที่เปิดบานประตูห้องชั้นบนสุด ก็พบเข้ากับชายหนุ่มวัยประมาณสามสิบ ผู้มีท่าทางสุขุมและแววตาคมกริบดั่งเหยี่ยว
“เจ้าคือแม่นางผู้นั้นใช่หรือไม่?” ชายผู้นั้นกล่าวโดยไม่ลุกขึ้นจากโต๊ะ
ลี่อินพยักหน้า “ใช่ ข้าเอง”
ชายผู้นั้นจ้องนางนิ่ง ก่อนลุกขึ้นและปิดประตูตามหลังอย่างแนบเนียน
“ข้า หลี่หาน รับใช้ท่านอ๋องมาหลายปี หากเจ้าไม่มีสิ่งใดที่คู่ควรต่อการสนทนา เราจะไม่พบกันอีก”
ลี่อินยื่นห่อผ้าผืนบางที่แนบกายมาตลอดทาง ภายในนั้นคือสำเนาบันทึกรายจ่ายแปลกประหลาดจากกรมคลังของจวนเสนาบดีเซียว ที่นางเคยเห็นโดยบังเอิญในชาติก่อน ขณะถูกใช้ให้ไปเก็บลายมือชื่อเจินซูเม่ย
บันทึกพวกนี้นางจำได้ขึ้นใจ ทั้งวัน เดือน ปี รายจ่าย และลายมือชื่อคนรับเงิน
หลี่หานเปิดดูเนื้อความในเอกสารเงียบ ๆ ก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง สีหน้าของเขาฉายแววครุ่นคิด
“เจ้าได้สำเนาบันทึกพวกนี้มาจากไหน”
“ของพวกนี้ ข้าไม่เคยลืม แม้ตายมันก็จะอยู่ในสมองข้า” ลี่อินตอบ
ผ่านไปไม่นาน หลี่หานก็ลุกขึ้น หยิบซองหนึ่งส่งให้นาง
“นี่คือสัญลักษณ์ที่แสดงว่าเจ้ากำลังรับใช้ใต้เงาท่านอ๋อง เจ้าจะไม่สามารถใช้มันเพื่อเรียกความช่วยเหลือ เว้นแต่ยามจำเป็น”
ลี่อินรับไว้ด้วยความเคารพ “ข้าเข้าใจ”
ก่อนจากไป หลี่หานเหลือบมองนางอีกครั้ง
“เจ้าคิดหรือว่าเป้าหมายของเจ้าจะไม่ชนกับศัตรูของท่านอ๋อง?”
“ข้าก็หวังว่า มันจะชนกันทั้งหมด” ลี่อินยิ้มบาง ๆ ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว
“เพราะข้าจะใช้เปลวเพลิง เผาให้พวกมันล้มทั้งแผง!”
เมื่อกลับจากโรงเตี๊ยมถึงเรือนหลังของจวนสกุลเซียว ลี่อินรีบซ่อนสัญลักษณ์และจัดเอกสารทุกชิ้นแยกไว้ใต้แผ่นไม้ในพื้นห้อง เสี่ยวจูมองท่าทางเคร่งขรึมของนางด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนู ข้ารู้สึกกลัวนัก ท่านจะไม่เป็นอันตรายใช่ไหมเจ้าคะ?”
“ข้าอยู่กลางอันตรายมาหลายปี มาถึงวันนี้ ข้าไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีก” ลี่อินพูด
กลางคืนวันนั้น ลมหนาวเริ่มแรงขึ้น แม้เพิ่งเข้าปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่สำหรับเรือนหลังของจวนสกุลเซียวที่ขาดเครื่องกันหนาวใด ๆ แล้ว อากาศในยามราตรีย่อมโหดร้ายเสมอ
เซียวลี่อินนั่งอยู่หน้าตะเกียงน้ำมันในชุดบางคลุมผ้าฝ้ายซีดจาง หญิงสาวจดจ้องแผ่นกระดาษเก่าเบื้องหน้า ขีดเขียนข้อความลงด้วยหมึกที่เจือจางจนแทบซีด
“คนผู้นี้ ในชีวิตก่อนเป็นผู้ดูแลบัญชีประจำกรมคลังสาขาย่อย เคยบ่นเรื่องยอดเงินแปลก ๆ กับคนข้างกายจากนั้นก็หายตัวไป”
นางค่อย ๆ เขียนชื่อลงในกระดาษเล็ก ๆ แล้วพับเก็บเข้าถุงผ้าขนาดเล็กสำหรับส่งต่อ
“เป้าหมายแรก…มิใช่พ่อตัวเอง”
“แต่คือเบี้ยตัวเล็กที่ข้าเคยเพิกเฉย ซึ่งหากชักใยถูก จะกระชากความลับใหญ่โตกว่าที่พวกมันคิด”
รุ่งเช้า วันใหม่มาเยือน
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของบ่าวไพร่ในเรือนใหญ่คึกคักกว่าทุกวัน ข่าวลือเรื่อง “บ่าวสาวปริศนาในงานเลี้ยงที่ทำถาดตกใส่ท่านอ๋อง” แพร่ไปทั่วทุกมุม
เจินซูเม่ยนั่งแต่งหน้าอยู่หน้าโต๊ะหยกขาว ในขณะที่เซียวถิงฮวาเดินวนไปมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ท่านแม่ ข้าว่านังลี่อินนั่นต้องมีแผน!” ถิงฮวาพูด
เจินซูเม่ยยิ้มเย็น ไม่ได้หยุดปัดแป้งบนแก้ม
“นางจะวางแผนสิ่งใด ก็ปล่อยให้นางไปเถิด ในเมื่อท่านพ่อเจ้าก็ไม่เคยสนใจนางมาตลอดสิบกว่าปี”
“มีหรือที่ใครในจวนนี้จะกล้าช่วยเหลือนาง?”
ทว่าในมุมหนึ่งของจวน ขันทีจากวังหลวงผู้หนึ่งในชุดสีเทาน้ำหมึก เดินเข้าสู่ประตูจวนอย่างเงียบเชียบ ในมือมีตราประทับทองแดงของฝ่ายกรมบัญชีกลางแห่งวังหลวง เขาเดินผ่านประตูมาได้โดยไร้การสกัด ด้วยคำสั่งลับจากจิ้งอ๋อง
เย็นวันเดียวกันนั้นเอง เสียงเอะอะวุ่นวายก็ดังขึ้นจากหน้าจวน
“ข้าน้อยเป็นขุนนางกรมคลัง! มาตรวจสอบบัญชีและความโปร่งใสในการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือราษฎร ตามคำสั่งตรวจสอบจากเบื้องบน!”
เสียงชายผู้นั้นดังก้อง จนถึงหูของเซียวเฟิงเฉิน ผู้เป็นเสนาบดีกรมคลัง
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนทันที “ตรวจสอบ?”
“เหตุใดจึงไม่มีหนังสือแจ้งล่วงหน้า!”
ขันทีผู้นั้นชูตราให้ดู “นี่คือคำสั่งลับ มิอาจแจ้งล่วงหน้าได้”
ในมุมหนึ่งของเรือนหลัง ลี่อินแย้มยิ้มพลางยืนดูเหตุการณ์อยู่จากเงาต้นไม้
“ข้าเพียงโยนหินลงสู่ผิวน้ำ แต่ระลอกคลื่นกลับกลายเป็นพายุในจวนเสียแล้ว เซียวเฟิงเฉิน!”
เสียงบ่าวสาวแตกตื่นดังขึ้นไม่ขาดสาย
“ได้ยินหรือไม่! พวกเขาพบบัญชีที่ลายมือชื่อไม่ตรงกันในหลายเดือนก่อน!”
“ว่ากันว่าเงินที่ควรจะถึงมือชาวบ้าน กลับไหลไปทางเรือนฮูหยินรอง!”
เซียวเฟิงเฉินหน้าเครียด แต่ยังกล่าวเสียงดังกลบเกลื่อน
“เรื่องนี้อาจมีการเข้าใจผิด ข้าจะตรวจสอบด้วยตนเองในภายหลัง!”
แม้จะกล่าวเสียงกร้าว แต่แววตากลับเริ่มหวั่นไหว
คืนนั้น ลี่อินนั่งอยู่บนตั่งไม้เล็ก พิงฝาอย่างสงบ ดวงตาจ้องเปลวตะเกียงที่ไหววูบในลมเบา เสี่ยวจูนั่งพับเพียบอยู่ไม่ไกล
“คุณหนู ท่านกำลังยิ้มหรือเจ้าคะ”
“ใช่สิ เพราะข้าพิสูจน์ได้แล้วว่า ไม่จำเป็นต้องตะโกนให้ดังก็มีคนเชื่อ บางครั้ง แค่ปล่อยให้ความจริงมันเดินทางของมันเองก็พอ”
ภายในห้องหนังสือของจวนเสนาบดี เซียวเฟิงเฉินเดินวนไปมาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง บนโต๊ะเบื้องหน้าเขามีกองเอกสารการเบิกจ่ายเงินหลวงซ้อนทับกันแน่นหนา
มือของเขากำเอกสารจนยับ ขณะที่เสียงเจินซูเม่ยเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านยังไม่รู้อีกหรือว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของใคร?”
เซียวเฟิงเฉินไม่ตอบในทันที เพียงขบฟันแน่น
“มันเร็วเกินไป…” เขาพึมพำ “ข้อมูลที่หลุดออกไปนี้ มีเพียงคนในบ้านเท่านั้นที่จะรู้”
เจินซูเม่ยขมวดคิ้ว ก่อนสายตานางจะเปล่งประกายเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที
“เซียวลี่อิน ต้องเป็นนางแน่”
“จะเป็นนางได้อย่างไร” เขาโพล่งขึ้นทันที “นางเป็นแค่หญิงโง่เขลาที่เอาแต่ก้มหน้าเช็ดพื้น!”
ขณะเดียวกัน ที่เรือนพักรับรองฝั่งตะวันตก หวังจิ้งเหยียนนั่งอยู่ในห้อง ใต้แสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างไม้ฉลุลาย ชายหนุ่มถือกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ในมือ เป็นรายชื่อขุนนางที่เกี่ยวข้องกับเงินหลวงที่ถูกยักยอก และที่ปลายกระดาษ มีลายมือเขียนอย่างประณีต
“สตรีผู้นี้ใช้สติวางหมากได้อย่างแม่นยำ” เขาเอ่ยขึ้น
หลี่หาน ขันทีผู้ติดตามใกล้ชิดเดินเข้ามาคำนับ “ท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านเดินทางกลับวังในวันพรุ่งนี้”
จิ้งอ๋องพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนวางแผ่นกระดาษลงอย่างแผ่วเบา
“ก่อนกลับวัง จัดให้ข้าได้พบเซียวลี่อินอีกครั้ง”
เรือนหลังของจวนสกุลเซียวในค่ำคืนนั้น เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะ มีทหารจากวังหลวงส่งจดหมายมา” เสี่ยวจูพูดเสียงแผ่ว สีหน้าตื่นตกใจ
ลี่อินรับมาด้วยมืออันมั่นคง พอเปิดอ่าน แววตาของนางกลับทอแววพึงพอใจ
“มาพบข้า ยามโฉ่ว ที่เรือนรับรองฝั่งตะวันตก”
ใต้เงาต้นหลิว ณ ที่นัดหมาย ลี่อินก้าวเข้าสู่ลานที่เงียบเชียบของเรือนรับรอง จิ้งอ๋องนั่งอยู่ใต้ศาลาหิน เอนกายพิงเสาไม้เรียบ ราวกับกำลังรอใครบางคนมาเล่นกระดานหมาก เขาไม่ได้หันมาในทันที แต่เอ่ยขึ้นเบา ๆ
“เจ้ามาเร็วกว่าที่คิด”
“เวลาเป็นสิ่งมีค่า หม่อมฉันไม่ชอบให้ใครต้องรอนาน” นางตอบอย่างสงบ
จิ้งอ๋องหันกลับมา แววตาของเขาไร้ความอ่อนโยนเช่นเดิม
“ข้าได้อ่านสิ่งที่เจ้าส่งมาแล้ว และข้ารู้ว่าเจ้ามีค่าพอที่จะร่วมกระดานนี้”
“เช่นนั้นท่านอ๋องจะเริ่มจากตรงที่ใด”
“ข้าจะให้คนมาเฝ้าสังเกตจวนสกุลเซียว และให้เจ้ารายงานความเคลื่อนไหวของเจินซูเม่ย หากนางมีส่วนกับการยักยอกจริง ไม่เพียงจวนสกุลเซียวจะล่ม แต่ข้าจะลากพรรคพวกในวังหลวงของนางลงมาด้วย”
ลี่อินประสานมือคำนับอย่างงดงาม ดวงตาของนางส่องประกายแน่วแน่ใต้แสงจันทร์
“เจ้าคือดาบ ข้าคือเงา”
“เราจะฆ่าโดยไร้ผู้ใดล่วงรู้...”
เสียงกระจกหน้าต่างฝั่งตรงข้ามแตกดังแกรก นักฆ่าคนที่สองพุ่งตัวเข้ามาพร้อมควันไฟที่ถูกจุดล่อเบี่ยงความสนใจ แต่นางยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม นั่นเพราะเงาร่างสีขาวเคลื่อนผ่านแสงตะเกียงด้วยความเร็วราววิหคเหิน เขายกตะเกียงในมือโบกขึ้น เป่าดับไฟ แล้วแทงคมมีดกลับไปยังต้นเสียงโดยไม่ต้องมอง เสียงร่างกระแทกพื้นดังตึง ร่างที่สามลอบเข้ามาจากประตูหลัง หยุดกึกกลางทางเงาของไป๋อวิ๋นยืนนิ่งอยู่ตรงกลางห้อง และเสียงของลี่อินก็เอ่ยขึ้นเบื้องหลังเขา“ถ้าเจ้าไม่ถอยออกไป จะไม่มีโอกาสได้ตายดี”นักฆ่าคนสุดท้ายลังเลชั่วครู่ ก่อนจะโยนอะไรบางอย่างลงพื้น มันคือกระบอกไม้ไผ่ที่มีตราสัญลักษณ์ลบลายบนปลอก“จงส่งสาส์นนี้คืนไปยังผู้ส่งมันมา…” ลี่อินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “…และบอกมันว่า นับแต่นี้ ข้าจะไม่ยอมทนอยู่เงียบ ๆ อีก!”รุ่งเช้าในวันถัดมา เสี่ยวจูเปิดประตูเรือนก็พบว่าหน้าประตูถูกกวาดเรียบจนไม่มีแม้ร่องรอยของการต่อสู้ ไป๋อวิ๋นจากไปแล้วเช่นทุกครั้ง ไม่เอ่ยคำร่ำลา ไม่ปล่อยแรอยเท้าไว้เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เหลืออยู่คือลายมือสั้น ๆ บนกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งที่วางใต้หม้อน้ำชา“ครั้งหนึ่งข้าเคยพลาด ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมพลาด
ค่ำคืนเงียบงันยิ่งกว่าที่เคย ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านแนวต้นหลิวที่ปลิดใบอย่างเชื่องช้า ในจวนสกุลเซียว แม้ภายนอกจะดูเงียบสงบ หากแต่ในความมืดของราตรีนั้น จิตใจของใครหลายคนต่างเต็มไปด้วยแรงเคลื่อนไหวที่ยากจะหยุดยั้งเรือนหลังที่เงียบเชียบของเซียวลี่อินกลับไม่มืดสนิทเหมือนเช่นทุกคืน ตะเกียงน้ำมันถูกจุดไว้ตรงกลางห้อง ราวกับนางตั้งใจ ‘เปิดทาง’ ให้ใครบางคนที่กำลังจะมาเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นหน้าประตูหลัง ลี่อินไม่แสดงท่าทีแปลกใจ นางลุกขึ้นอย่างสงบ แล้วเปิดประตูออกด้วยมือนิ่งมั่นบุรุษในชุดผ้าฝ้ายสีขาวยืนอยู่ตรงหน้า รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมครึ่งหน้านั้นมีเพียงดวงตาคมลึกที่จ้องมองนางนิ่ง ๆ“เจ้าคือผู้ที่จิ้งอ๋องส่งมาหรือ?” ลี่อินเอ่ยเสียงเบาบุรุษชุดขาวพยักหน้า “ข้า ไป๋อวิ๋น เคยเป็นองครักษ์ลับประจำกรมคลัง เมื่อหกปีก่อนข้าเห็นสิ่งหนึ่ง แต่ไม่อาจกล่าวออกมาได้”เสียงของเขานุ่มทุ้ม แต่ทว่าเย็นยะเยือกคล้ายลมภูผา“และข้าจะไม่พูดกับใคร หากไม่มีเหตุผลพอ”ลี่อินไม่ตอบในทันที นางเชื้อเชิญเขาเข้าไปนั่งในเรือนอย่างสงบ ตะเกียงสว่างเพียงพอให้เห็นเงาบนฝาผนังสั่นไหว แต่ไม่มากพอให้เห็นสีหน้าของทั้งสองช
วังหลวงแห่งแคว้นต้าหลิงยามย่ำค่ำยิ่งดูเงียบสงบงดงาม โคมแก้วหินลอยเหนือคูน้ำทอดยาวรอบตำหนัก เงาสะท้อนของดวงจันทร์สาดลงบนพื้นศิลาหยกขาวนวล แต่ภายใต้เงาสว่างนั้น มีบางอย่างเคลื่อนไหวในความมืดอย่างเงียบงันภายในตำหนักซ่างอิงขององค์หญิงจ้าวฮุ่ย บ่าวรับใช้ก้มหน้าอย่างเคารพเมื่อหญิงสาวในชุดเรียบหรูเดินตามขันทีเข้ามาเซียวลี่อิน ถูกเชิญให้มาเข้าเฝ้าองค์หญิงอย่างเป็นทางการครั้งแรกนางน้อมคำนับอย่างงดงาม “หม่อมฉัน เซียวลี่อิน ถวายบังคมองค์หญิงเพคะ”บนบัลลังก์หยกขาวกลางตำหนัก องค์หญิงจ้าวฮุ่ยทอดพระเนตรหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยสายตาที่คมดุจหอก“เจ้าคือบุตรสาวคนโตของเซียวเฟิงเฉินหรือ?” น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่ง ทว่าหนักแน่น“เพคะ” ลี่อินตอบโดยไม่ลังเล “หม่อมฉันเป็นบุตรภรรยาเอก แต่ถูกถอนชื่อจากทะเบียนเรือนตอนอายุสิบสาม”ดวงตาขององค์หญิงหรี่ลง “เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?”ลี่อินเงยหน้าขึ้น สบตากับองค์หญิงอย่างสงบนิ่ง“เพราะหม่อมฉันเป็นลูกของภรรยาที่ไม่ชื่นชอบ และไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อในสายตาผู้เป็นบิดา”คำตอบนั้นทำให้องค์หญิงนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนแย้มพระโอษฐ์“เจ้าพูดอย่างสงบนิ่งทั้งที่ความจริงนั้นราวกับน้ำก
สามวันถัดมา ภายในตำหนักซ่างอิงของวังหลวง ที่ประทับขององค์หญิงจ้าวฮุ่ย พระธิดาองค์โตของฮ่องเต้ ผู้มีอำนาจทั้งในวังหน้าและวังใน เป็นสตรีมากบารมีแห่งแคว้นต้าหลิงภายนอกตำหนักนั้นเงียบสงบด้วยมารยาทแห่งราชสำนัก แต่ภายใน สายตาขององค์หญิงกลับเต็มไปด้วยความคมกล้า เจินซูเม่ยนั่งชูคอขณะที่เข้าเฝ้าองค์หญิงร่วมกับฮูหยินขุนนางอีกหลายคน“เซียวเฟิงเฉิน เป็นผู้ดูแลกรมการคลังมานานปี ข้าได้ยินมาว่า เขามีบุตรสาวคนโตชื่อเซียวลี่อิน แต่กลับไม่ปรากฏนามในบรรดารายชื่อหญิงงามในงานราชพิธีใด ๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”ขันทีข้างกายรายงานด้วยเสียงเบา “ทูลองค์หญิง กระหม่อมได้ยินมาว่านางเป็นบุตรีที่ไม่ได้รับความสนใจจากเสนาบดีเซียว เนื่องจากเป็นคนแข็งกร้าวไม่เชื่อฟังพะยะค่ะ”“งั้นหรือ บางครั้งข่าวลือที่ได้ยินมาก็มิอาจเชื่อถือได้ เจ้าว่าเช่นไรเล่า เจินซูเม่ย”“ทูลองค์หญิง สกุลเซียวให้ความใส่ใจกับบุตรทุกคน ข่าวลือนั้นไม่จริงเลยเพคะ”“เช่นนั้นหรือ ซูกงกง เจ้ายังได้ยินเรื่องใดมาอีก ว่าต่อสิ”“ทูลองค์หญิง กระหม่อมยังได้ยินมาอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูเซียวผู้นี้ถูกฮูหยินรองเซียวกักขังในห้องตำรา แต่แล้วก็หายตัวออกมาได้เอ
ในยามสายวันรุ่งขึ้น ลี่อินได้รับคำสั่งจากฮูหยินรองเจินซูเม่ย ให้นางเข้าไปช่วยจัดของในห้องเก็บตำราสำคัญของจวน“ห้องเก็บตำรา?”“ในอดีต ข้าจำได้ว่าเคยถูกล่อเข้าไปที่นั่น แล้วถูกกล่าวหาว่าขโมยหยกของฮูหยินรอง”“คุณหนู อย่าไปนะเจ้าคะ” เสี่ยวจูเอ่ยอย่างร้อนรน“ห้องนั้น ข้าได้ยินว่าวันก่อนซูหรูเพิ่งให้คนเข้าไปทำความสะอาด ข้าเกรงว่ามันจะเป็นกับดัก”ลี่อินวางมือบนไหล่เสี่ยวจู บีบเบา ๆ“เจ้าเคยบอกข้าว่ากลัว หากต้องอยู่ในเงามืดเพียงลำพังใช่หรือไม่?”“ข้าเองก็กลัว แต่ข้าจะไม่หนีอีก ยิ่งพวกมันกล้าลงมือเร็ว ข้ายิ่งแน่ใจว่ามันเริ่มหวาดหวั่นแล้ว”ยามเฉินลี่อินก้าวเข้าสู่เรือนใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ภายในเรือนตกแต่งหรูหรา ทุกกระเบื้องและมุมเสาล้วนประณีตงดงาม แต่สำหรับนางแล้ว มันไม่ต่างจากคุกสีทองที่เคยกักขังนางนางเดินตามบ่าวรับใช้จนถึงหน้าห้องเก็บตำรา ซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของห้องปีกตะวันออก“เข้าไปได้เลยเจ้าค่ะ ฮูหยินรออยู่ข้างในแล้ว”เมื่อเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่ปรากฏกลับไม่ใช่เจินซูเม่ย หากแต่เป็นเพียงห้องที่ว่างเปล่า เงียบสงัด และมีกล่องเก็บผ้าโบราณซ้อนกันสูงจนบดบังแสง ทันใดนั้น ประตูไม้ก็ปิดดั
เสียงหัวเราะของเด็กชายดังขึ้นภายในสวนหลังเรือนใหญ่ เป็นเสียงที่สดใสเกินไปสำหรับสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบแห่งความชิงชังและการหลอกลวงเซียวเทียนหยู บุตรชายของเจินซูเม่ย เด็กชายในวัยสิบสามปีผู้เป็นที่รักของบิดายิ่งนักแม้ในชาติก่อนเขายังเยาว์วัยนัก แต่กลับเป็นผู้ที่กล่าวหานางว่าลอบขโมยของหลวง และเป็นผู้ที่ผลักดันให้บิดาสั่งลงโทษนางและแม่ในช่วงท้ายของชีวิตอย่างไร้เมตตา“ในชาติก่อน แม้จะยังเด็ก แต่ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เป็นอสรพิษในคราบเด็กน้อย”“ในชาตินี้ ข้าจะขุดรากเจ้า ก่อนที่เขี้ยวจะงอก!”บ่ายวันนั้น ลี่อินปรากฏตัวในสวน นางแต่งกายเรียบง่าย เอาผ้าบางคลุมศีรษะ ถือกระเช้าผลไม้เดินตรงเข้าไป“เทียนหยู ข้านำผลไม้มาให้เจ้า”เด็กชายชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยืดอกพูดด้วยท่าทีจองหอง“พี่หญิงใหญ่!”“ใช่ ข้าเอง”“วันนั้น ท่านคือคนที่ทำถาดหล่นใส่ท่านอ๋องใช่หรือไม่”เสียงหัวเราะเหี้ยม ๆ จากปากเด็กชายทำเอาคนรับใช้รอบตัวสะอึก แต่ลี่อินกลับยิ้มบาง ย่อตัวลงนอบน้อม“ข้าสะเพร่าไปหน่อย เพียงแค่อยากไปช่วยงาน”เซียวเทียนหยูเลิกคิ้วอย่างงุนงง ก่อนจะโบกมือ “วางไว้ตรงนั้น แล้วไปเถอะ”ทว่าก่อนนางจะผละไป