เขาเถาซาน เป็นภูเขาที่ค่อนข้างโล่ง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว จึงทำให้ต้นไม้ต่าง ๆ ดูไม่สดใสเท่าที่ควร บนพื้นแทบจะไม่มีหญ้าขึ้น
หิมะปรอยลงมาบ้างเล็กน้อย ทำให้ถนนที่เป็นเพียงแค่ร่องทางเดินน้อยนิดนั้นออกจะลื่นและเฉอะแฉะ ผู้ที่จะสัญจรทางนี้ก็ต้องเดินด้วยความระมัดระวัง
ในเวลานี้อากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็นทำให้บรรยากาศบนเขาลูกนี้ออกจะน่าขนลุกอยู่บ้าง สายลมฤดูหนาวพัดมาเอื่อย ๆ คนเจ็ดคนบนไหล่เขาเถาซาน กำลังเดินขึ้นเขาไปชมวิว ต่างพูดคุยกันไปอย่างสนุกสนาน
จุดหมายของพวกเขานั้น คือจะไปให้ถึงจุดชมวิวก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เพื่อไปสัมผัสบรรยากาศสวยงามของดวงอาทิตย์กลมโตสีสวยก่อนที่จะลาลับขอบฟ้าบนที่นั่น
ฟู่หลินหลิน ลูกสาวคนกลางของตระกูล เธอมัวแต่ชมธรรมชาติอยู่ จึงเดินรั้งท้ายทุกคน ทุกครั้งที่ออกนอกบ้านมา นางจะเป็นอย่างนี้เสมอ ก็คือเล่นซนและมัวแต่สนใจสิ่งรอบข้าง จนตามคนอื่นเขาไม่ทัน
ฟู่จั๋วเฉิง ลูกชายคนสุดท้องที่ชอบทำตัวมั่งคั่ง เพิ่งจะได้กล้องถ่ายรูปมาใหม่ เป็นกล้องถ่ายรูปฟิล์มขาวดำขนาดใหญ่พอสมควร แต่เขาก็ยังแบกมาด้วย เพื่อที่จะไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินให้ได้
ฟู่เหว่ยกวงและฟู่หวั่นอิ๋น พี่ชายของเขากำลังเดินนำหน้า ส่วนน้องสาวคนเล็กฟู่จื่ออี้ ก็เดินไปร้องเพลงไปอย่างมีความสุข ตรงกลางขบวนเป็นท่านฟู่กับหลินฮวา ผู้ซึ่งเป็นปู่กับแม่ของพวกเขา
“พี่หลินหลินเจ้าเดินให้เร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม เดี๋ยวจะไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินเอาน่ะ” ฟู่จั๋วเฉิงที่คิดว่าจะถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินนั้นใจร้อนเป็นอย่างยิ่ง
ฟู่หลินหลินหันหน้ามาแล้วตะโกนตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้ารีบนักก็ไปคนเดียวก่อนเลย แหมจะอะไรกันนักหนาเล่า มาเที่ยวนะ ไม่ได้มาแข่งกันเดินเร็ว”
“แม่ ดูพี่หลินหลินสิชักช้าแล้วยังจะไม่สนใจคนอื่นอีก” ผู้เป็นน้องชายหันไปฟ้องแม่ตามเคย หลินฮวาเมื่อเห็นว่าลูกทั้งสองเริ่มจะทะเลาะกัน ก็รีบห้ามไว้
“หลินหลิน ลูกก็เดินให้เร็วขึ้นหน่อยเถอะน่า ทุกคนจะได้ไปถึงพร้อมกัน ส่วนลูก... จั๋วเฉิงก็ช่วยใจเย็น ๆ ลงสักนิด อย่างไรพวกเราก็ไปทันอยู่แล้ว”
หลังจากที่หลินฮวาพูดจบ ฟู่หลินหลินก็รีบวิ่งมาเพื่อที่จะให้ทันผู้อื่น แต่ทันใดนั้นเองขาข้างหนึ่งของนางก็เหยียบพลาดลื่นไถล ทำให้เธอตกลงไปในเหวเบื้องล่าง
“กรี๊ด...” ฟู่หลินหลินกรีดร้องเสียงดังลั่น
ฟู่เหว่ยกวงและฟู่หวั่นอิ๋น พี่ชายทั้งสองของเธอรีบยื่นมือออกไป เพื่อจะคว้าฟู่หลินหลินเอาไว้ แต่ว่าก็ไม่ทัน
ฟู่หลินหลินตกลงไปเสียแล้ว...
บรรยากาศรอบตัวที่สดใสเมื่อสักครู่ ตอนนี้เหมือนจะค่อย ๆ ดับมืดจนแทบไม่เห็นอะไร ตัวของฟู่หลินหลินหล่นกระแทกอะไรบางอย่างดังตุบแล้วกระเด้งออก
ก่อนที่ร่างของเธอจะตกลงไปเบื้องล่าง ฟู่หลินหลินก็มองไม่เห็นอะไรอีกเลย ทุกอย่างเหมือนถูกกลืนด้วยสีดำหม่นหมองไปหมด ราวกับว่านางฟู่หลินหลินตกอยู่ในห้วงของความฝัน
ความฝัน… ความฝัน… ความฝัน…
ฉันกำลังฝันไป...
‘สีดำ มืด ดำจริง ๆ มองไม่เห็นอะไรเลย ฉันอยู่ที่ไหน’
พรึบ... ทุกอย่างสงบนิ่ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้ยินเสียงใคร หรือสรรพสัตว์ต่าง ๆ ที่เคยได้ยินก่อนหน้า ไม่มีอะไรเลย…
ขวับ...
ในที่สุดฟู่หลินหลินก็ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ดวงตาทั้งสองข้างยังไม่เปิดออกกว้างดี จึงทำให้นางมองเห็นอะไรไม่ชัด ทุกอย่างมันดูมัวหมองและหม่น ๆ
แต่ทว่า... ‘เหตุใดร่างกายส่วนล่างของฉัน’
“อื้อ อื้อ อื้อ...” เสียงที่เผลอคราง ฟู่หลินหลินรู้สึกว่ามีอะไรขยับเข้า ๆ ออก ๆ อยู่ตรงกลางลำตัว
และกำลังมีใครสักคนแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างปลีน่องทั้งสองข้าง เริ่มมีความรู้สึกว่าพื้นผิวบริเวณนั้นก็ชุ่มแฉะไปหมด ถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่มันก็ให้ความรู้สึกสุขสมอย่างบอกไม่ถูก
‘เอ๊ะ... อย่างนี้ไม่ถูกต้องสิ’ ฟู่หลินหลินกำลังคิดทบทวน และนึกว่า... มันเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ และฉันอยู่ที่ไหน
‘ฟู่หลินหลินควรจะอยู่ที่เขาเถาซานกับครอบครัวมิใช่หรือ เหตุใดจึงได้จึง...’ ฟู่หลินหลินเปิดตาเบิกกว้าง นางลืมตาโพลงมองบุคคลที่กำลังขยับเขยื้อนอยู่บนร่างกายของตนเอง
และเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า... ภาพที่ปรากฏอยู่...
‘ผู้ชาย? เขา? เขาเป็นใคร?’ คำถามวนเวียนอยู่เต็มหัว มึนงง และไม่รู้จักเขาคนนี้
ที่น่าตกใจที่สุด ก็คือร่างกายของตนเองกำลังอยู่ในสภาพที่เปล่าเปลือย และมีบุรุษผู้หนึ่งกำลังโยกแกนกายเข้า ๆ ออก ๆ อยู่
ฟู่หลินหลินตกใจแทบสิ้นสติลงไปอีกครั้ง
“กรี๊ด...” ฟู่หลินหลินอ้าปากร้องส่งเสียงดังออกมา แต่ว่าบุรุษผู้นั้นกลับใช้กลีบปากของเขาก้มลงมาปิดปากนางเอาไว้อย่างหยาบคาย ทั้งบดบี้ และดูดดุนปลายลิ้นของฟู่หลินหลิน
ร่างเล็ก ๆ สั่นส่ายสะท้านสะเทือน
‘นี่มันอะไร ฉันงงไปหมดแล้ว’
“อึก อื้อ อ้า...” คำที่เปล่งออกมาหลังจากที่เขาผละกลีบปากออก แล้วยังการกระทำการตอกโยกยกท่อนแข็งที่ขยับยัดเหยียดความเป็นสามี และสร้างความสำราญให้กับตนเอง
เขาอ้ากลีบปากของตนเอง และส่งเสียงครางขรมกระเส่าลั่นดังอยู่ในลำคอ และบางคราวเสียงทุ้มอย่างสุขใจก็เล็ดลอดออกจากริมฝีปาก
แล้วชายผู้นั้นยังเคลื่อนใบหน้าลงไปใช้กลีบปากร้อน ๆ ครอบครองยอดอิ่มของฟู่หลินหลินด้วย การดูดที่รุนแรงราวกับการดูดดื่มกินน้ำนมจากอกเหมือนกับเด็กน้อยทารกที่กระหายนมมารดา
“อึก อ้า... ซี้ด...” การกระทำดังกล่าวทำให้นางส่งเสียงน่ารังเกียจออกมาแบบควบคุมตัวเองไม่ได้
ฟู่หลินหลินยังแอ่นหน้าอกรับปลายลิ้นของเขา ที่ละเลงและดูดอยู่บนยอดสีหวานอย่างวาบหวามในหัวใจ น้ำตาของนางถึงกับซึมเอ่อท่วมทั้งสองนัยน์ตา
‘ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไม? ฉันยังไม่เคยนี่นา นี่มันครั้งแรก ช่วยเบา ๆ หน่อยได้ไหม’
ฟู่หลินหลินยังไม่เคยนอนกับใคร นางเป็นสาวบริสุทธิ์ นางไม่เคยเสียตัวให้ใคร แต่ตอนนี้ร่างหนายกสะโพกสอบและเบียดกายกำยำยวบยาบ แล้วท่อนรักแข็งแรงยังกระแทกกระทบสอดเสือกอัดเข้าไปใหญ่ดังปับๆ
ฟู่หลินหลินเริ่มตาลอย ๆ และปั่นป่วนชวนซ่านไปหมด ไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเองอีกแล้ว รู้แต่ว่าตนเองเริ่มเสียการควบคุม ฟู่หลินหลินเผลอไผลยกโหนกนูนขึ้นรับกับแกนแกร่งของเขา เหมือนว่าไม่อยากให้แกนรักของผู้ชายคนนี้หลุดออกจากช่องทางสุขสันต์
“แล้วถ้าท่านพี่ทายผิด”“อือ… ข้าจะลาออกจากราชการ และไปอยู่กับเจ้าที่นอกเมืองหลวง ไปอยู่ในชนบทดีไหม”“จริงหรือเจ้าคะ” หน้าตาของฟู่หลินหลินยินดีมาก นางรีบลุกขึ้น แล้ววิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทันที เพราะนางเปรยเรื่องนี้มาหลายครั้ง เพราะไม่อยากเห็นสามีตายในสนามรบ สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง“ลูกขอให้เป็นไปดั่งคำทายของข้า ให้ท่านพี่ทายผิด เราจะได้ไปอยู่นอกเมืองอย่างสงบเจ้าค่ะ”“ทำไมล่ะ เจ้าถึงต้องการมากถึงเพียงนี้”“ท่านพี่ ท่านน่ะไม่รู้ใจของข้าหรอก ตอนที่ท่านออกรบ ข้านอนไม่ได้ กินไม่ได้ เพราะเป็นห่วงท่าน ถ้าจะให้ดีเราไปเป็นเกษตรกรดีกว่า”แม่ทัพรั่วถึงกับหัวเราะเสียงใส“ข้าจะเก็บเอาไว้พิจารณานะ”แต่แล้วพอถึงวันคลอด ฟู่หลินหลินคลอดลูกสาว ทำให้แม่ทัพรั่วต้องทำงานรับใช้ราชสำนักต่อไป และเริ่มไว้หนวดเครา เพราะว่ารักลูกสาวตัวน้อยอย่างกับไข่ในหินและทั้งสองได้ตั้งชื่อลูกสาวว่า “ลูหลู้”ฟู่หลินหลิ
นางเพียงก้าวออกมาจากห้องเรื่อย ๆ แม้ลมที่พัดมาจะวูบพัดพาความเย็นมามากเพียงใด ทว่าใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่แตกพลั่ก ๆแล้วขาที่อ่อนแรงก็ทำให้นางลื่นล้มและไถลไปกับพื้น ก้นและหลังกระแทกเข้ากับก้อนหินก้อนใหญ่ที่วางประดับอยู่ใกล้ ๆ ตรงนั้น“โอ๊ย!” เสียงร้องอย่างตกใจ และร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น ฟู่หลินหลินที่กำลังเดินมา เพื่อจะมาหารั่วฮูหยิน“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านอยู่ที่ไหน”“ข้าอยู่นี่ ช่วยด้วย ช่วยด้วย” พยายามเปล่งเสียงออกมาให้ดังที่สุดฟู่หลินหลินเดินตามเสียง จนพบว่าแม่สามีกำลังนอนอยู่กับพื้นร้องโอดโอย นางจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยทันที“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่” ฟู่หลินหลินรีบยกหัวของท่านขึ้นมา“โอ๊ย!”“ข้าถูกวางยา”“ใครกันทำท่านแม่”ยังไม่ได้คำตอบ รั่วฮูหยินหมดสติไปแล้วฟู่หลินหลินวางท่านลง แล้ววิ่งไปตามบ่าวไพร่ และให้คนไปตามหมอลมที่พัดแรงอากาศรอบตัวดูเวิ้งว้าง ฟู่หลินหลินใจหา
“ก็มีความจริงอยู่นิดหนึ่งนั่นแหละ แต่ตอนนี้ข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว”“แน่นอนอยู่แล้วหลินหลิน ก็เจ้ากำลังจะเป็นแม่คนแล้วนี่นา”“ข้าตื่นเต้นจริง ๆ เจ้าค่ะ”“พี่หาหมอที่ดีที่สุดมาทำคลอดให้เจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไปยิ่งใกล้คลอดข้าจะให้แม่หมอมาอยู่กับเจ้าเลย”แค่นี้ฟู่หลินหลินก็อบอุ่นในหัวใจแล้วแม่ทัพรั่วจึงพานางไปจับจ่ายซื้อของในตลาด พอได้ กินขนม และชมการละเล่นต่าง ๆ จนนางพอใจ ก็ชวนกลับ“หลินหลิน เจ้าลองคิดดูสิว่าเจ้าได้ลืมสิ่งใดไปหรือไม่” แม่ทัพรั่วเอ่ยถามในขณะที่พานางออกมาชมดอกบัวที่สระว่ายน้ำใหญ่น่าจวน“ข้าลืมอะไรไปหรือเจ้าคะ”ฟู่หลินหลินมองเขาอย่างประหลาดใจ พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าตนเองลืมอะไรนางก็นึกไม่ออกแม่ทัพรั่วใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในแขนเสื้อแล้วหยิบพู่ห้อยเอวที่ทำจากไม้อันหนึ่งออกมา“เจ้าจำสิ่งนี้ได้หรือไม่” “นี่คือพู่ห้อยเอวที่ข้าคล้องห่วงได้วัน
แม้ฟู่หลินหลินจะมีความรู้ด้านการถอนพิษติดตัวมาจากชาติที่แล้วบ้าง แต่ในเมื่อฮ่องเต้ส่งหมอที่เก่งที่สุดมาถึงแล้ว จำต้องหลีกทาง“เจียงอ่าวเจ้าพานายหญิงออกไปที่ห้องรับรองเถอะ” นางจึงพาฟู่หลินหลินออกมาที่ห้องรับรอง และบังคับให้นอน“นายหญิงท่านต้องพักผ่อน เพื่อนายน้อยของเจียงอ่าวที่อยู่ในท้องนี้ด้วยนะเจ้าคะ แล้วนายหญิงไม่ต้องเป็นห่วงท่านแม่ทัพแล้ว เพราะอยู่ในมือของหมอหลวง มาทั้งสองคน และมีเครื่องมือและยาถอนพิษมาพร้อมสรรพ ท่านแม่ทัพจะหายในเร็ววันนี้เจ้าค่ะ”“อื้อ” ฟู่หลินหลินเอนตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า และได้แต่ภาวนาให้หมอหลวงรักษาหมอท่านจะต้องหาทางช่วยชีวิตของเขาให้ได้ ตอนนี้ทุกคนทำได้แต่เพียงรอความหวังจากการรักษาของหมอหลวงเท่านั้น จากที่จับชีพจรของแม่ทัพรั่วดู และทดสอบเล็กน้อย หมอหลวงก็สามารถตอบได้ทันที“ท่านแม่ทัพถูกพิษของเจิ้นตู๋ เป็นพิษที่ได้มาจากนกเจิ้นเหนี่ยว”“ถ้าอย่างนั้นไม่น่าจะยาก” ว่าแล้วท่านหมอหลวงก็สั่งให้ผู้ช่วยของเขาหยิบนอแรดที่อยู่ในล่วมยาออกมาทำการฝนสองสามทีแล้วเทผงที่ได้
ด้านนอกจวน คนดูแลรถม้าใช้เวลาเตรียมตัวไม่ถึงหนึ่งชั่วยามขบวนรถม้าที่มีเพียงฟู่หลินหลิน เจียงอ่าว แล้วก็องครักษ์อีกสองนาย ก็ออกเดินทางมุ่งสู่เมืองซุยโจวถึงแม้ว่าการนำองครักษ์ไปเพียงแค่ไม่กี่นายนั้นออกจะเสี่ยงมากเกินไปหน่อยแต่ทว่าฟู่หลินหลินไม่อยากให้การเดินทางล่าช้าไปกว่านี้อีกแล้วในใจนางอยากจะไปให้ถึงเมืองซุยโจวในวันนี้พรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำไปจนกระทั่ง…กำแพงเมืองซุยโจวตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ฟู่หลินหลินมองไปก็รู้สึกว่ากำแพงเมืองนี้ช่างขัดขวางหัวใจของนางยิ่งนัก ใจจริงแล้วอยากที่จะเดินทะลุฝ่ากำแพงเมืองไปเพื่อเจอสามีของตนเองให้เร็ว ๆ การรออยู่ที่ด่านตรวจตรงประตูเมืองเพียงชั่วเวลาแค่ครึ่งก้านธูปนั้น ก็ยาวนานราวกับว่าเป็นเวลาร่วมสิบวัน “เจ้าช่วยไปบอกให้พวกเขาปล่อยให้พวกเราเข้าไปก่อนได้หรือไม่ บอกเขาไปว่านี่เป็นรถม้าของภรรยาท่านแม่ทัพ” เจียงอ่าวกระซิบบอกองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างองครักษ์ผู้นั้นยิ้มตอบอย่างลำบา
แต่ว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แม่ทัพรั่วมีความทรหดอดทนมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้ แทนที่เขาจะถูกพิษแล้วล้มลงไปกลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้แสดงท่าทีว่าเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังควบม้าพุ่งใส่เขาได้อีก หรือว่าธนูอาบยาพิษของเขาจะเกิดการผิดพลาดเสียงทวนกระทบกับดาบดังสะท้อนไปทั่วป่า ทั้งแม่ทัพรั่วและซื่อเล่อต่างก็โจมตีโรมรันกันไม่หยุดซื่อเล่อถึงแม้จะฝีมือด้อยกว่า ประสบการณ์น้อยกว่า แต่ทว่าเจอกับแม่ทัพรั่วที่มีลูกธนูปักอยู่ที่ไหล่ ก็เรียกได้ว่าไม่ทิ้งห่างกันมาก พวกทหารของซื่อเล่อพยายามยิงธนูเข้าใส่แม่ทัพรั่ว แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าจะพลาดไปโดนแม่ทัพของตัวเอง อย่างไรแล้วพญาอินทรีก็ยังคงเป็นพญาอินทรี ซื่อเล่อถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือของชนเผ่าเร่ร่อน แต่เมื่อเจอกับแม่ทัพรั่ว ก็ยังคงเป็นเพียงนกอินทรีตัวผู้ที่บังอาจผยองอยากเป็นพญาอินทรีเท่านั้นซื่อเล่อถูกทวนของแม่ทัพรั่วแทงเข้าที่ท้องจนได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าด้วยความว่องไวของเขา ทำให้หลบหนีไปได้ หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้ถอยทัพกลับไป