ชายวัยกลางคนในชุดชุดเชอร์วานีสีดำประดับลวดลายปักทองสะท้อนแสงไฟระยิบระยับจากโคมระย้าขนาดใหญ่กลางงาน ปราโมทย์ยิ้มทักทายแขกในงานอย่างเป็นมิตร
" ยินดีนะคะคุณปราโมทย์ " "ขอบคุณครับ ขอบคุณที่มางาน" เขายกมือไหว้แขกทุกคนอย่างให้เกียรติ ปรายตามองงานที่ตกแต่งด้วยมาลัยดอกมะลิและกุหลาบสีแดงสด เสียงดนตรีแบบคลาสสิกอินเดียจากวงดนตรีสดช่วยสร้างบรรยากาศให้รื่นเริง ของทุกชิ้นในงานเขาเป็นคนเลือกเองกับมือ แสงไฟสาดส่องลงมาบนทางเดิน ร่างบอบบางในชุดเลห์งาร์สีทองประดับด้วยดอกไม้มุกสีขาวนวล สวมใส่เครื่องประดับสีทองตัดกับชุด เข็มขัดประดับเพชรสวยงามคาดอยู่ที่เอวส่งเสริมให้เธอดูโดดเด่น กาญจีเดินมาพร้อมลูกสาวทั้งสองคอยประคองเดินลงบันไดมาอย่างช้าๆ เดินย่างกรายมายังเก้าอี้ตัวยาวประดับด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ชนิดอย่างสวยงาม ร่างงามหย่อนตัวลงนั่งโดยมีลูกสาวประคองเอาไว้ แขกที่รอมอบของขวัญต่างมองด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะทยอยเดินเข้ามามอบของขวัญและคำอวยพรให้เธอ เสียงของดนตรีพื้นเมืองดังขึ้นเป็นระยะสร้างบรรยากาศให้รื่นเริงและอบอุ่น " คุณนาย ขอให้มีความสุขนะคะ " รอยยิ้มสวยปรากฏบนใบหน้า " คุณกาญจี ขอให้เด็กคนนี้เกิดมาแข็งแรงนะคะ ยินดีด้วยค่ะ " แขกทั้งหลายคอยมามอบของขวัญให้ จนมาถึงแขกคนสำคัญ "กาญจี ขอให้สุขภาพแข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูกนะ แล้วก็ถ้าเขาทำอะไรเธออีก ฉันจะจัดการให้เอง" ศานนท์อวยพรผู้เป็นดั่งน้องสาวของเขา พลางลูบหัวที่คลุมผ้าอยู่อย่างแผ่วเบา " ขอบคุณค่ะพี่ " กาญจีส่งรอยยิ้มให้คนตรงหน้า ยี่สิบเก้าปีที่ผ่านมา เพื่อนสามีคนนี้คอยดูแล ให้คำแนะนำ ปกป้องเธอเหมือนพี่ชาย " ขอให้คุณกับลูกมีสุขภาพแข็งแรงนะ" ทัช ทัชมาฮาล ซิงห์ คนรักของศานนท์เข้ามาอวยพร ภายนอกทุกคนรู้ว่าเขากับคุณหมอหนุ่มเป็นเพื่อนต่างวัยที่สนิทกันที่สุด แต่คนทั้งครอบครัวเชาฮานรู้ดีว่า พวกเขาเป็นคนรักที่อยู่ด้วยกันสี่สิบปีแล้ว " ขอบคุณค่ะ" บรรยากาศรื่นเริงภายในงานทำให้เธอรู้สึกมีชีวิตชีวา เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะของแขก กลิ่นดอกไม้หอมอวลไปทั่วบริเวณ ทำให้กาญจียิ้มออกมา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหันมาไปหาสามีที่ยืนอยู่อีกมุม แผ่นหลังกว้างดูองอาจน่าสัมผัสนั้นทำให้ร่างบางยิ้มบางๆ " ขอบคุณนะคะ" ที่จัดงานนี้เพื่อฉัน.. หญิงสาวพูดต่อในใจ เสียงขอบคุณที่แผ่วเบาไม่อาจทำให้ปราโมทย์ได้ยินแต่เธอก็ไม่ต้องการให้เขารับรู้ เขาพลั้งมือทำร้ายเธอ นั่นเพราะความเป็นห่วงที่มากเกินไปของเขาที่มีต่อลูกสาวคนโต ทว่า..ความรู้สึกหวาดกลัว เสียใจยังคงอยู่ในใจ ในขณะที่กาญจีรับของขวัญและคำอวยพรจากแขก อีกมุมนึงของงานปราโมทย์ยืนมองดูความเรียบร้อยภายในงาน สายตาคมกริบทอดมองภรรยาอยู่เงียบๆ ร่างสูงยืนเอามือไพล่หลัง มองคู่ชีวิตด้วยแววตาเงียบขรึมทว่ากลับแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดที่พลั้งมือทำร้ายเธอ แต่ปากเจ้ากรรมก็ดันหนักเสียจนไม่สามารถเอ่ยคำขอโทษได้ " ไม่เข้าไปหาเธอหน่อยหรอ" ศานนท์พูดขึ้นจากทางด้านหลัง ร่างโปร่งของคุณหมอในชุดเชอร์วานีสีขางปักดิ้นทองยืนอยู่ข้างๆเพื่อนสนิท " ไม่จำเป็น " เมื่อได้ยินคำตอบ ใบหน้าหล่อเหลาของศานนท์ก็ทำหน้าเหม็นเบื่อทันที เอาเข้าไป สิ่งที่เขาพูดไปไม่เข้าหูมันเลยหรือไง "บริหารธุรกิจจนงอกเงยเป็นหมื่นล้าน แต่ไม่มีปัญญาขอโทษเมีย " คำดูหมิ่นจากเพื่อนสนิท ปราโมทย์ไม่ได้สนใจเลยสักนิด ร่างสูงสะดวกใจที่จะยืนมองกาญจีอยู่ตรงนี้มากกว่า ว่าที่คุณพ่อลูกสามในวัยห้าสิบห้าปีกาดสายตาไปรอบๆก็พบเห็นลูกสาวคนโตอยู่คุยอยู่กับราฟี เชค ดวงตาสีน้ำผึ้งสว่างวาบก้าวเท้าไปหาอัมมาวดีทันที "แย่แล้ว" ศานนท์เห็นการกระทำของเพื่อนสนิท ก็หน้าซีดเผือดพร้อมเดินตามไปอย่างเร่งรีบ "สวัสดีคุณเชค " เสียงเย็นชาของปราโมทย์เอ่ยทักทายคนรักของลูกสาว ท่าทางเป็นปรปักษ์ของเขา ราฟี เชค ไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย " สวัสดีครับ คุณเชาฮาน เป็นเกียรติที่ได้พบครับ" ชายหนุ่มเอ่ยทักทายว่าที่พ่อตา พร้อมโอบเอวคนรักอย่างถือสิทธิ์ อัมมาวดีขัดขืนเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าบิดาของเธอนั้นหัวโบราณแค่ไหน " พ่อคะ นี่ราฟี.." "ฉันรู้จักแล้ว ข่าวในหนังสือพิมพ์เขียนถึงพวกแกทุกหน้า ขึ้นหน้าหนึ่งเลยล่ะ" น้ำเสียงประชดประชันของคนเป็นพ่อทำเอาหญิงสาวหน้าเจื่อนไป เธอรู้ว่าปราโมทย์ไม่ชอบราฟี แต่ไม่คิดว่าจะไม่ชอบถึงขึ้นทำร้ายแม่ของเธอ ไม่รู้ว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่ชอบคนรักของเธอคืออะไร " ผมคิดว่าตัวผมเองออกจะแตกต่างจากในหนังสือพิมพ์เยอะมากเลยนะครับ " ราฟี บอกตามความเป็นจริงข่าวสมัยนี้เขียนข่าวเกินจริงเยอะแยะไป " แต่ผมคิดว่า มันถ่ายทอดตัวตนของคุณได้ดีนะ" ศานนท์แทบจะสบถคำหยาบออกมา เมื่อเห็นว่าปราโมทย์เริ่มพูดมากกว่าปกติ หมอนี่กำลังโมโหอยู่แน่ " ในแง่ไหนล่ะครับ ถ้าในแง่ที่ไม่ดีผมคิดว่าคุณควรมารู้จักผมจริงๆก่อนดีไหมครับ" แววตาท้าทายของราฟี ทำให้อารมณ์ของหนุ่มใหญ่เดือดพล่าน คนดีๆที่ไหนวางแผนแย่งคนรักของคนอื่น ศาสนาของมันไม่สอนมันหรือไง " ผมไม่จำเป็นต้องรู้จักคุณ" "พ่อคะ " หญิงสาวเรียกพ่อของเธอด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน "นี่มันงานของแม่นะคะ ค่อยคุยกันวันหลังเถอะค่ะ" เธอไม่อยากให้งานสำคัญของแม่ต้องมาพังเพราะเธออีก หญิงสาวเลือกที่จะเข้าไปกอดแขนบิดาแล้วพาเดินออกไปทางอื่น " พ่อ จำเป็นต้องไปทะเลาะกับราฟีด้วยหรอคะ" อัมมาวดีตั้งคำถามกับเขา " จำเป็น " " พ่อคะ หนูกับราฟีเรารักกันนะคะ" " หึ!..หรอ" หนุ่มใหญ่หัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน แล้วพูดเสียงเย็นว่า " แกกับมันพึ่งเจอกันได้แค่สามเดือน แกก็บอกว่ารักมันหรอ ให้ตายเถอะ! อัมมาวดี แกรู้ไหมว่าราฟี เชคคนนั้น มันเป็นมุสลิม คนละศาสนากับเรา แกแต่งงานกับมันไป แกคิดว่ามันจะมีแกแค่คนเดียวหรอ หืม..." หญิงสาวเม้มปากแน่น เธอพอรู้มาบ้างว่า ศาสนาของคนรักมีคำสอนอย่างไร แต่เธอก็เชื่อมั่นในความรักของเธอ " หนูรู้ และหนูก็เชื่อว่าราฟี เขารักหนูมากพอที่จะมีหนูคนเดียวค่ะ" ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ได้รับการสืบทอดจากมารดาเคล้าคลอด้วยน้ำตาดูน่าสงสาร "แกมั่นใจเกินไปหรือเปล่า สิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ที่สุดในโลกนี้คือลมปากของผู้ชาย แกจำใส่หัวเอาไว้ " วันนี้รัก วันหน้าอาจไม่รัก ถ้าราฟีไม่ทำให้ครอบครัวของเขามั่นใจว่าอีกฝ่ายดูแลลูกสาวของเขา มันก็ไม่มีวันได้ตัวลูกสาวเขาไปครอบครอง "แต่วันนี้ เวลานี้ นาทีนี้เขารักหนู " สองพ่อลูกทะเลาะกันเสียงดังลั่น จนคนกลางอย่างศานนท์ต้องรีบไปปิดประตูเอาไว้ ก่อนจะหันมาดูสองพ่อลูกอีกครั้ง อีกคนดื้อรั้น เชื่อมั่นในความรัก อีกคนหัวโบราณ เย็นชา ปากไม่ตรงกับใจ ปากร้าย อีกสารพัดต่อให้เขาสมุดมาจดก็ไม่รู้ว่าอีกกี่เล่มถึงจะพอ " หยุด!! " คุณหมอหนุ่มยืนตรงกลางระหว่างทั้งสอง สายตาเหลือบมองหน้าทั้งคู่สลับกันไปมา "เดี๋ยวฉันหาทางออกให้นะ อามู หนูเชื่อมั่นในตัวคนรักใช่ไหม" "ค่ะ คุณลุง " อัมมาวดีพยักหน้าตอบรับศานนท์ "ถ้าอย่างงั้นหนูก็ต้องทำให้พ่อเขาเชื่อคนรักของหนูเหมือนที่หนูเชื่อ ทำได้ไหม" "ทำได้ค่ะ" เมื่อได้ยินคำตอบรับ ศานนท์ก็หันไปหาเพื่อนสนิท "ส่วนนาย ปราโมทย์ อามูอายุจะเข้าสามสิบอยู่แล้ว นายควรให้ลูกลองอะไรตามใจดูบ้าง เป็นห่วงน่ะได้แต่ต้องรู้จักเป็นห่วงอยู่ห่างๆ ไม่ควรมาบงการลูก เมียนายไม่บอกหรอ" " บอก" " แต่ก็ไม่ฟัง " ศานนท์รู้สึกอยากจะได้ยาระงับประสาทเสียตอนนี้ "เอาล่ะ.. แยกย้าย แล้วก็นาย ปราโมทย์ เชาฮาน นายต้องเห็นด้วยกับข้อเสนอของฉันนะ โอเคไหม" หนุ่มใหญ่นิ่งเงียบ ฝ่ามือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ "ตกลง" " ดีมาก " อัมมาวดียิ้มออกมาด้วยความดีใจที่คุณลุงหมอ บังคับให้พ่อของเธอตกลงสำเร็จ ดวงตาสีน้ำผึ้งมองลูกสาวด้วยสายตาเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง ความรักที่เกิดรวดเร็วและไม่ถูกต้อง ตอนจบมักไม่สวยงามเสมอ แต่เขาก็หวังว่าลูกสาวจะมีความสุขกับความรักครั้งนี้บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระสายลมเย็นพัดผ่านร่างของหญิงสาวที่ออกมารับลมเล่นที่ระเบียงห้อง ดวงตาสีน้ำผึ้งทอดมองไปยังพื้นผิวของน้ำทะเลสาบที่เป็นประกายระยิบระยับใต้แสงแดด เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งเป็นจังหวะ บรรยากาศดูสงบร่มเย็น ทว่า...หัวใจของเธอกลับไม่ได้สงบเช่นบรรยากาศ นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วนับแต่วันที่เธอออกจากโรงพยาบาล ศิวะไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย จะมีเพียงแค่ส่งข้อความมากวนประสาทเป็นบางวัน เธอละสายตาจากวิวทะเลมาที่โทรศัพท์เครื่องหรูในมือ ปลายนิ้วเลื่อนปลดล็อคหน้าจอ เธอเปิดค้างอยู่ที่รายชื่อติดต่อ เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเปิดหน้านี้ค้างไว้ แต่... อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นของพี่สาวของเธอ และปราโมทย์พ่อของเธอก็เชิญเขามางานนี้ด้วย ซึ่งเธอไม่มั่นใจเลยว่าชายหนุ่มจะทำอะไรที่เหนือความคาดหมายหรือเปล่า"เลิกคิดเถอะ..." เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ปลายนิ้วของเธอลูบคลำบนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ก่อนจะปิดหน้าจอลง หญิงสาวพยายามทำให้ใจสงบ ทว่า... ยิ่งพยายามสงบใจมากขึ้นเท่าไหร่ ความรุ่มร้อนภายในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น...ความคิดมากมายทะลักเข้ามาในหัว มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ถ้าเกิดว่า...
เมื่อชายหนุ่มออกไปแล้ว ปราโมทย์ก็อยู่เป็นเพื่อนลูกสาวอย่างเงียบๆ เขานั่งปอกผลไม้อย่างชำนาญ เก็บแอปเปิ้ลที่ถูกหั่นชิ้นอย่างสวยงามยื่นไปที่ปากของอัมพิกาอัมพิกาอ้าปากรับผลไม้ที่คนเป็นพ่อส่งให้ด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวปิดปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย การที่พ่อของเธอมานั่งปอกผลไม้และป้อนเธอนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เพราะปกติแล้วปราโมทย์จะนั่งอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน ยกเว้นเวลาทานอาหาร "ขอบคุณนะคะพ่อ" "ขอบคุณอะไร?" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉย มือที่กำลังปอกผลไม้อยู่ถึงกับชะงัก "ก็... ขอบคุณที่ดูแลหนู แล้วก็เข้าไปช่วยหนูไงคะ" หญิงสาวเอนตัวไปซบที่แขนแกร่งอย่างออดอ้อน รู้สึกถึงฝ่ามือที่กำลังลูบผมเธออย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มรับรู้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อเธอ "ลูกสาวตกอยู่ในอันตรายทั้งที พ่อจะอยู่เฉยได้ยังไง" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พลางดันตัวลูกสาวออกมาเบาๆ "ค่า...แล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ?" "ก็เรื่อยๆ... ปกติดี ไม่ได้แพ้อะไร" อัมพิกาพยักหน้า มารดาของเธออายุก็มากแล้ว แต่ดันมาตั้งครรภ์อีก ไม่รู้ว่า... น้องในครรภ์จะเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชายกันนะ หญิงสาวคิดขึ้นมาด้วยความสงสัย มือบางหยิบแอป
อีกด้านหนึ่งของป่า ราฟีและปราโมทย์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เดินแกะรอยทั้งสามคนเข้ามาในป่า ที่นี่เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ทำให้ป่าที่นี่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ และมีสัตว์ร้ายชุกชุม พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จนกระทั่ง...ปัง! ปัง! มีเสียงปืนดังขึ้นในอีกด้านหนึ่งของป่า ทำให้พวกเขาหยุดชะงัก หัวใจของคนเป็นพ่ออย่างปราโมทย์เต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กอย่างสุดซึ้ง เขาภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์คุ้มครองลูกสาวของเขาด้วย "เร็วเข้า!" ปราโมทย์คำรามใส่เจ้าหน้าที่เสียงดังลั่น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขาเดินไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ราฟีและเจ้าหน้าที่เร่งเดิมตามหลังชายหนุ่มใหญ่อย่างเร่งรีบ นักการเมืองหนุ่มรับรู้ถึงความเป็นห่วงพี่มีต่อลูกสาวคนเล็กของปราโมทย์ได้เป็นอย่างดี ทว่า...เสียงปืนที่ดังใกล้ขนาดนี้ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ก็ได้ "เดี๋ยวก่อน" ชายหนุ่มหยุดว่าที่พ่อตาเอาไว้ ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ปราโมทย์ถึงกับหยุดชะงัก"มีอะไร?" "เสียงปืนดังใกล้ขนาดนี้ พวกคุณคิดว่าจะเป็นพวกไหน?" น้ำเสียงเรียกเฉยของเขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเนิบนาบ ราฟีประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ หากว
"บ้าเอ๊ย!" อาร์มันสบถในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าเข้าไปตวัดขาใส่คนพูดเป็นแรก ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีอาวุธครบมือ ปัง! ปัง! เสียงปืนดังก้องไปทั่วป่า กระสุนวิ่งผ่านหูในระยะประชิดจนทำให้อาร์มันเบี่ยงตัวหลบหลังต้นไม้แทบไม่ทัน เปลือกไม้แตกตามแรงปะทะ ท่อนไม้ในมือศิวะถูกเหวี่ยงออกไปผัวะ! กระทบกับร่างกายของกลุ่มชายในเครื่องแบบอย่างรุนแรง จนเซถอยไปหลายก้าว ฮาร์มันสบโอกาสก็พุ่งเข้าไปตวัดเท้ากระแทกปืนในมือศัตรูจนมันหลุดกระเด็นไป ด้านศิวะก็ไม่น้อยหนาใช้เท้าเตะเสยคางหนึ่งในนั้นจนสลบเหมือดอึก! อาร์มันรีบเข้าเตะซ้ำจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสภาพแล้ว ก่อนจะหันหลังเข้าหากันเมื่อคนที่เหลือกระจายตัวมาล้อมพวกเขาเอาไว้ "คุณเคยแสดงละครไหม?" อาร์มันหอบหายใจหนัก พลางพูดหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างขี้เล่น"หึ!" ใบหน้าคมเข้มกระตุกรอยยิ้มมุมปากก่อนจะพุ่งเข้าหักแขนศัตรูไปด้านหลัง พร้อมกับรับปืนมาอยู่ในมือ ปัง! เสียงลั่นไกกระทบไหล่ของชายอีกคนดังลั่น แล้วเอี้ยวตัวไปยิงเข้าที่ลำตัวของเขาทันทีโดยใช้ร่างของเพื่อนศัตรูเป็นเกราะกำบัง "เวรเอ๊ย!... ฉันไม่ใช่นักแสดงหนังบู๊นะ" อาร์มันพึมพำเสียงเบาๆ ในใจนึกถึงหน้าลูกเมียเอาไว้เพื่อเป
หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงความฟกช้ำตามร่างกาย ดวงตาคู่สวยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น สายตากวาดไปรอบๆด้วยความมึนงง ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นช้าๆ การกระทำของเธออยู่ในสายตาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล"ตื่นแล้วสินะ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างเนิบนาบ อัมพิกาหันไปมองทางต้นเสียง ศิวะกำลังยืนกอดอกมองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก "..." เธอไม่ได้ตอบเขา หญิงสาวเคลื่อนตัวออกมาจากเพิง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน ทว่า... ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนเธอเกือบจะล้มลง "อ๊ะ!" แต่...วงแขนแกร่งเข้ามาโอบร่างของเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น "ระวังหน่อย" ร่างสูงเอ่ยขึ้นมาเสียงดุ ใบหน้าเคร่งขรึมของเขามองเธออย่างคาดโทษ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น พยายามดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ช่างมีน้อยเหลือเกิน "อยู่เฉยๆ " เสียงทุ้มดุของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นมาแนบอก ซึ่งบุคคลที่สามอย่างอาร์มันก็มองภาพตรงหน้าด้วยสายตายิ้มๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ "ไหนบอกเป็นแค่เครื่องมือไง" ผู้ช่วยหนุ่มพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเดินเข้าหาทั้งสองคน " ให้ผมช่วยไหมครับ?" ศิวะปรายตามองอาร์มันอย่าง
"หนูผิดเอง...หนูผิดเองค่ะ" เสียงสั่นเครือของเธอเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา หญิงสาวกล่าวโทษตัวเองที่เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวตกอยู่ในอันตราย ถ้าเธอ...ไม่เข้าไปช่วยแม่ค้าคนนั้น น้องสาวของเธอคงจะยืนอยู่ตรงนี้"มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อามู" ราฟีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า...คำอธิบายของชายหนุ่มกลับทำให้อีกคนเดือดดาล และรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเรื่องที่ทำให้ลูกสาวของเขาถูกตามล่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง"เพราะแค่เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ พวกมันถึงกับตามล่าลูกสาวฉันเลยหรอ" ปราโมทย์แทบสบถออกมา เสียงเย็นเยียบของเขากล่าวออกมาจนราฟีเองก็สัมผัสได้ถึงแรงโทสะที่กำลังปะทุอยู่ในใจของชายสูงวัย "ใช่ครับ" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ "พวกมันไม่ใช่แค่เป็นพ่อค้าคนกลางธรรมดา แต่ว่าพวกมันมีเบื้องลึกมากกว่านั้น พวกมันมีเส้นสายกับนักการเมืองท้องถิ่นบางคนและจ่ายส่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่" "แล้วไอ้คนที่ถูกคุมตัวอยู่มันพูดว่าอะไรบ้าง?" เขาถามกลับ "ตอนแรกก็ไม่ยอมพูดอะไรครับ แต่ว่าพอใช้วิธีนิดหน่อย พวกมันก็เลยยอมพูด" ราฟีหรี่ตามองบิดาของคนรัก พลางยิ้มมุมปากเล็