งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แขกทุกคนทยอยกลับบ้านจนเกือบหมด อัมพิกายืนส่งแขกคนสุดท้ายด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
" ขอบคุณที่มานะคะ" เสียงนุ่มนวลกล่าวลาแขกคนสุดท้าย ความเหนื่อยล้าแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ งานในวันนี้กินพลังเธอไปหมดสิ้น เสียงดนตรีรื่นเริงที่ได้ยินก่อนหน้าตอนนี้กลับเงียบเชียบ หญิงสาวนั่งลงที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ภาพเหตุการณ์บนระเบียงในตอนนั้นก็กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง "พี่ศิวะ " อัมพิกาหลับตาลง พลางยกมือนวดขมับเบาๆ ผู้ชายที่เธอเคารพรักเหมือนพี่ชายแท้ๆในตอนนี้กลายเป็นคนที่เธอไม่รู้จัก ทั้งเย็นชา แข็งกระด้าง ปากร้าย ผู้ชายที่อ่อนโยนในตอนนั้นหายไปไหนแล้ว แสงจากโคมไฟระย้าสาดส่องลงมากระทบกับชุดสวยงามของเธอ ร่างอรชรนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องนั่งเล่น สายลมอ่อนๆพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง กลิ่นหอมจากดอกไม้ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย _วันนี้อากาศหนาว อย่าลืมกินน้ำอุ่นด้วยล่ะ_เสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มดังขึ้นมาในหัว ศิวะในตอนนั้นช่างดูอบอุ่น ทั้งน้ำเสียง แล้วแววตา อีกทั้งความรักในดวงตาของเขาที่มองพี่สาวของเธอมันช่างมั่นคง อ่อนหวาน พวกเขาเดินเคียงคู่กันมานาน ชายหนุ่มเป็นเหมือนเจ้าชายในเทพนิยาย มันคงในความรัก มีความเป็นสุภาพบุรุษ ส่วนพี่สาวของเธอก็เหมือนเจ้าหญิง สวยงาม มีเสน่ห์ น่าดึงดูด สายตาของทั้งคู่มองกันด้วยความรัก ความเสน่หา หญิงสาวแทบไม่อยากจะคิดเลยว่าคู่รักที่รักกันมาตั้งห้าปี วางแผนที่จะสร้างครอบครัวด้วยกัน ตอนนี้กลับพังทลาย หรือมีใครจงใจทำลายมัน ในขณะที่หญิงสาวกำลังจมอยู่ในภวังค์ ก็มีสาวใช้คนนึงเดินเข้ามาหาเธอ " คุณหนูคะ" "ว่าไง " ดวงตาสีน้ำผึ้งสวยเหลือบมองสาวใช้ด้วยความสงสัย " นี่มันก็ดึกแล้ว คุณหนูไปพักผ่อนดีกว่าค่ะ " สาวใช้วัยกลางคนพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงคุณหนูของบ้าน อัมพิกาส่งยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างเป็นมิตร ก่อนจะสะบัดหัวเบาๆเพื่อไล่ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวออกไป "ได้ " เธอลุกออกจากโซฟาช้าๆแล้วเดินขึ้นห้องไป ปล่อยให้สาวใช้สองสามคนบริเวณนั้น เก็บกวาดทำความสะอาดข้าวของอย่างเป็นระเบียบ ภายในห้องสีครีมที่มีเครื่องไม้สักโบราณวางอยู่ กาญจีนั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง พยายามถอดเครื่องประดับที่สวมอยู่บนร่างกายออก เหลือเพียงชุดสวยงามบนร่างกาย มือบางกำลังจะถอดดูปัตตา หรือผ้าคลุมหัวออก ก็มีฝ่ามือใหญ่ของสามีเข้ามาช่วยเธอ ความเงียบงันไร้ซึ่งคำพูดของพวกเขาทำให้บรรยากาศภายในห้องดูเงียบเชียบทว่ากลับไม่มีความอึดอัดอยู่ในนั้น เธอมองใบหน้าหล่อๆของสามีผ่านกระจก ดวงตาสีน้ำผึ้งว่างเปล่าเช่นทุกครั้ง ชายหนุ่มเอาผ้าคลุมหัวคาดไว้บนเตียงนอน ก่อนจะเลื่อนมาเปิดซิปเสื้อด้านหลังของภรรยา แล้วกลับไปนั่งอ่านหนังสือที่โซฟาเช่นเดิม บรรยากาศเงียบงันเข้าปกคลุมทั้งสองคน มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษดังขึ้นอย่างแผ่วเบา กาญจีมองแผ่นหลังของสามีด้วยความเศร้าหมอง ก่อนถือผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป ทว่า..คนที่อ่านหนังสืออยู่กลับมองตามแผ่นหลังเธอไปด้วยสายตาอ่านไม่ออก เขาวางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงขึ้นมาเปิดดู สร้อยมงคลสูตร ร้อยด้วยด้ายศักดิ์สิทธิ์สีแดงประดับด้วยมรกตเล็กๆ จี้ของสร้อยมีสัญลักษณ์ตรีศูล สร้อยแต่งงานเส้นใหม่ที่เขาเลือกเองกับมือ คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความครุ่นคิด เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นให้กับภรรยาอย่างไร " ค่อยคิด " ว่าแล้วก็วางกล่องสร้อยลง เลยหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา ใช้เวลาไม่นานกาญจีก็ออกมาในชุดครุตาสีขาวพร้อมกับกางเกง ระดับด้วยผ้าคลุมไหล่ผืนบาง เส้นผมยาวสลวยเปียกชื้นเล็กน้อย "กาญจี" "คะ?" เสียงเรียกของสามีทำให้เธอขานรับอย่างรวดเร็ว " มานี่หน่อย" เสียงของกระพรวนข้อเท้าดังขึ้นอย่างไพเราะตามจังหวะการก้าวเดินของเธอ เมื่อเธอเดินมาถึงแขนแกร่งก็รวบเอวเธอลงมานั่งบนตักอย่างแผ่วเบา กาญจีมองหน้าสามีด้วยสายตางุนงงปนสงสัย ฝ่ามือใหญ่รวบผมของภรรยาเบี่ยงไปอีกด้านก่อนจะลงมือปลดสร้อยแต่งงานเส้นเดิมออก "คุณ!? " " อยู่นิ่งๆ " สายตาคมดุมองภรรยาที่พรวดพราดลุกออกจากตักเขา ชายหนุ่มเก็บสร้อยมงคลสูตรขึ้นมาแล้วสวมเข้าไปในลำคอของคนบนตัก "สร้อยเส้นนี้ " ปราโมทย์มองสร้อยที่เขาสวมใส่ให้กับมือด้วยความภูมิใจ " ฉันอยากให้เธอเก็บไว้ดีๆ" น้ำเสียงเรียบนิ่งทว่าแผ่วเบากระซิบบอกข้างหูภรรยา ร่างบางหันมาสบตาคมของสามี "แต่ว่าฉันไม่..ไม่มีอะไรจะให้นะคะ" เสียงหวานพูดขึ้นมาอย่างติดขัด "ไม่ต้อง ถือว่าเป็นของขวัญ" กาญจีก็มองสร้อยมงคลสูตรเส้นใหม่ที่เขาสวมให้ แล้วเหลือบมองสามี " ขอบคุณค่ะ" เธอกล่าวขอบคุณสามีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน " พักผ่อนเถอะ" พูดจบชายหนุ่มก็ฉุดภรรยาลุกขึ้น ก่อนจะกลับมาอ่านหนังสือด้วยท่าทีเคร่งขรึม กาญจีก้าวเดินไปที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอน เธอมองแผ่นหลังสามีเป็นครั้งสุดท้าย _เขาอยากขอโทษเราหรือเปล่านะ_ เธอคิดในใจแล้วนอนหลับไปในที่สุด ปราโมทย์หันกลับไปมองภรรยาที่นอนหลับสนิทไปแล้ว ก่อนจะหันมาจดจ่อกับหนังสือเช่นเดิม " ขอโทษ" เสียงขอโทษอันแผ่วเบาของชายหนุ่มส่งผ่านถึงคนที่หลับอยู่ สร้อยมงคลสูตรเส้นนั้นเขาใช้แทนคำพูด คำขอโทษ และใช้แทนการเริ่มต้นใหม่ เรามาเริ่มต้นใหม่ด้วยกันนะ..กาญจี เสียงความคิดของเขาล่องลอยไปกับสายลมบ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระสายลมเย็นพัดผ่านร่างของหญิงสาวที่ออกมารับลมเล่นที่ระเบียงห้อง ดวงตาสีน้ำผึ้งทอดมองไปยังพื้นผิวของน้ำทะเลสาบที่เป็นประกายระยิบระยับใต้แสงแดด เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งเป็นจังหวะ บรรยากาศดูสงบร่มเย็น ทว่า...หัวใจของเธอกลับไม่ได้สงบเช่นบรรยากาศ นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วนับแต่วันที่เธอออกจากโรงพยาบาล ศิวะไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย จะมีเพียงแค่ส่งข้อความมากวนประสาทเป็นบางวัน เธอละสายตาจากวิวทะเลมาที่โทรศัพท์เครื่องหรูในมือ ปลายนิ้วเลื่อนปลดล็อคหน้าจอ เธอเปิดค้างอยู่ที่รายชื่อติดต่อ เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเปิดหน้านี้ค้างไว้ แต่... อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นของพี่สาวของเธอ และปราโมทย์พ่อของเธอก็เชิญเขามางานนี้ด้วย ซึ่งเธอไม่มั่นใจเลยว่าชายหนุ่มจะทำอะไรที่เหนือความคาดหมายหรือเปล่า"เลิกคิดเถอะ..." เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ปลายนิ้วของเธอลูบคลำบนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ก่อนจะปิดหน้าจอลง หญิงสาวพยายามทำให้ใจสงบ ทว่า... ยิ่งพยายามสงบใจมากขึ้นเท่าไหร่ ความรุ่มร้อนภายในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น...ความคิดมากมายทะลักเข้ามาในหัว มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ถ้าเกิดว่า...
เมื่อชายหนุ่มออกไปแล้ว ปราโมทย์ก็อยู่เป็นเพื่อนลูกสาวอย่างเงียบๆ เขานั่งปอกผลไม้อย่างชำนาญ เก็บแอปเปิ้ลที่ถูกหั่นชิ้นอย่างสวยงามยื่นไปที่ปากของอัมพิกาอัมพิกาอ้าปากรับผลไม้ที่คนเป็นพ่อส่งให้ด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวปิดปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย การที่พ่อของเธอมานั่งปอกผลไม้และป้อนเธอนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เพราะปกติแล้วปราโมทย์จะนั่งอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน ยกเว้นเวลาทานอาหาร "ขอบคุณนะคะพ่อ" "ขอบคุณอะไร?" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉย มือที่กำลังปอกผลไม้อยู่ถึงกับชะงัก "ก็... ขอบคุณที่ดูแลหนู แล้วก็เข้าไปช่วยหนูไงคะ" หญิงสาวเอนตัวไปซบที่แขนแกร่งอย่างออดอ้อน รู้สึกถึงฝ่ามือที่กำลังลูบผมเธออย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มรับรู้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อเธอ "ลูกสาวตกอยู่ในอันตรายทั้งที พ่อจะอยู่เฉยได้ยังไง" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พลางดันตัวลูกสาวออกมาเบาๆ "ค่า...แล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ?" "ก็เรื่อยๆ... ปกติดี ไม่ได้แพ้อะไร" อัมพิกาพยักหน้า มารดาของเธออายุก็มากแล้ว แต่ดันมาตั้งครรภ์อีก ไม่รู้ว่า... น้องในครรภ์จะเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชายกันนะ หญิงสาวคิดขึ้นมาด้วยความสงสัย มือบางหยิบแอป
อีกด้านหนึ่งของป่า ราฟีและปราโมทย์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เดินแกะรอยทั้งสามคนเข้ามาในป่า ที่นี่เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ทำให้ป่าที่นี่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ และมีสัตว์ร้ายชุกชุม พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จนกระทั่ง...ปัง! ปัง! มีเสียงปืนดังขึ้นในอีกด้านหนึ่งของป่า ทำให้พวกเขาหยุดชะงัก หัวใจของคนเป็นพ่ออย่างปราโมทย์เต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กอย่างสุดซึ้ง เขาภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์คุ้มครองลูกสาวของเขาด้วย "เร็วเข้า!" ปราโมทย์คำรามใส่เจ้าหน้าที่เสียงดังลั่น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขาเดินไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ราฟีและเจ้าหน้าที่เร่งเดิมตามหลังชายหนุ่มใหญ่อย่างเร่งรีบ นักการเมืองหนุ่มรับรู้ถึงความเป็นห่วงพี่มีต่อลูกสาวคนเล็กของปราโมทย์ได้เป็นอย่างดี ทว่า...เสียงปืนที่ดังใกล้ขนาดนี้ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ก็ได้ "เดี๋ยวก่อน" ชายหนุ่มหยุดว่าที่พ่อตาเอาไว้ ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ปราโมทย์ถึงกับหยุดชะงัก"มีอะไร?" "เสียงปืนดังใกล้ขนาดนี้ พวกคุณคิดว่าจะเป็นพวกไหน?" น้ำเสียงเรียกเฉยของเขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเนิบนาบ ราฟีประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ หากว
"บ้าเอ๊ย!" อาร์มันสบถในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าเข้าไปตวัดขาใส่คนพูดเป็นแรก ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีอาวุธครบมือ ปัง! ปัง! เสียงปืนดังก้องไปทั่วป่า กระสุนวิ่งผ่านหูในระยะประชิดจนทำให้อาร์มันเบี่ยงตัวหลบหลังต้นไม้แทบไม่ทัน เปลือกไม้แตกตามแรงปะทะ ท่อนไม้ในมือศิวะถูกเหวี่ยงออกไปผัวะ! กระทบกับร่างกายของกลุ่มชายในเครื่องแบบอย่างรุนแรง จนเซถอยไปหลายก้าว ฮาร์มันสบโอกาสก็พุ่งเข้าไปตวัดเท้ากระแทกปืนในมือศัตรูจนมันหลุดกระเด็นไป ด้านศิวะก็ไม่น้อยหนาใช้เท้าเตะเสยคางหนึ่งในนั้นจนสลบเหมือดอึก! อาร์มันรีบเข้าเตะซ้ำจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสภาพแล้ว ก่อนจะหันหลังเข้าหากันเมื่อคนที่เหลือกระจายตัวมาล้อมพวกเขาเอาไว้ "คุณเคยแสดงละครไหม?" อาร์มันหอบหายใจหนัก พลางพูดหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างขี้เล่น"หึ!" ใบหน้าคมเข้มกระตุกรอยยิ้มมุมปากก่อนจะพุ่งเข้าหักแขนศัตรูไปด้านหลัง พร้อมกับรับปืนมาอยู่ในมือ ปัง! เสียงลั่นไกกระทบไหล่ของชายอีกคนดังลั่น แล้วเอี้ยวตัวไปยิงเข้าที่ลำตัวของเขาทันทีโดยใช้ร่างของเพื่อนศัตรูเป็นเกราะกำบัง "เวรเอ๊ย!... ฉันไม่ใช่นักแสดงหนังบู๊นะ" อาร์มันพึมพำเสียงเบาๆ ในใจนึกถึงหน้าลูกเมียเอาไว้เพื่อเป
หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงความฟกช้ำตามร่างกาย ดวงตาคู่สวยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น สายตากวาดไปรอบๆด้วยความมึนงง ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นช้าๆ การกระทำของเธออยู่ในสายตาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล"ตื่นแล้วสินะ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างเนิบนาบ อัมพิกาหันไปมองทางต้นเสียง ศิวะกำลังยืนกอดอกมองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก "..." เธอไม่ได้ตอบเขา หญิงสาวเคลื่อนตัวออกมาจากเพิง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน ทว่า... ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนเธอเกือบจะล้มลง "อ๊ะ!" แต่...วงแขนแกร่งเข้ามาโอบร่างของเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น "ระวังหน่อย" ร่างสูงเอ่ยขึ้นมาเสียงดุ ใบหน้าเคร่งขรึมของเขามองเธออย่างคาดโทษ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น พยายามดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ช่างมีน้อยเหลือเกิน "อยู่เฉยๆ " เสียงทุ้มดุของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นมาแนบอก ซึ่งบุคคลที่สามอย่างอาร์มันก็มองภาพตรงหน้าด้วยสายตายิ้มๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ "ไหนบอกเป็นแค่เครื่องมือไง" ผู้ช่วยหนุ่มพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเดินเข้าหาทั้งสองคน " ให้ผมช่วยไหมครับ?" ศิวะปรายตามองอาร์มันอย่าง
"หนูผิดเอง...หนูผิดเองค่ะ" เสียงสั่นเครือของเธอเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา หญิงสาวกล่าวโทษตัวเองที่เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวตกอยู่ในอันตราย ถ้าเธอ...ไม่เข้าไปช่วยแม่ค้าคนนั้น น้องสาวของเธอคงจะยืนอยู่ตรงนี้"มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อามู" ราฟีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า...คำอธิบายของชายหนุ่มกลับทำให้อีกคนเดือดดาล และรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเรื่องที่ทำให้ลูกสาวของเขาถูกตามล่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง"เพราะแค่เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ พวกมันถึงกับตามล่าลูกสาวฉันเลยหรอ" ปราโมทย์แทบสบถออกมา เสียงเย็นเยียบของเขากล่าวออกมาจนราฟีเองก็สัมผัสได้ถึงแรงโทสะที่กำลังปะทุอยู่ในใจของชายสูงวัย "ใช่ครับ" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ "พวกมันไม่ใช่แค่เป็นพ่อค้าคนกลางธรรมดา แต่ว่าพวกมันมีเบื้องลึกมากกว่านั้น พวกมันมีเส้นสายกับนักการเมืองท้องถิ่นบางคนและจ่ายส่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่" "แล้วไอ้คนที่ถูกคุมตัวอยู่มันพูดว่าอะไรบ้าง?" เขาถามกลับ "ตอนแรกก็ไม่ยอมพูดอะไรครับ แต่ว่าพอใช้วิธีนิดหน่อย พวกมันก็เลยยอมพูด" ราฟีหรี่ตามองบิดาของคนรัก พลางยิ้มมุมปากเล็