ในค่ำคืนที่ดูเหมือนจะสง่างาม แต่กลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่าในจิตใจ อิมิลี่นั่งนิ่ง เธอทอดสายตามองจานที่ถูกจัดไว้สำหรับเจมส์ ซึ่งยังคงว่างเปล่าเหมือนกับความรู้สึกของเธอในตอนนี้
แสงเทียนบนโต๊ะดินเนอร์กระพริบไหวตามจังหวะลมเบาๆ ราวกับสะท้อนความไม่มั่นคงในหัวใจของเธอ แก้วไวน์ในมือยกขึ้นช้าๆ คล้ายจะกลบความเงียบที่รบกวนแต่เสียงของความโดดเดี่ยวกลับดังกว่าคำปลอบโยนของน้ำเมรัย แสงไฟจากตึกสูงระยิบระยับนอกหน้าต่างให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบหลอกลวง มันเป็นความงามที่เธอเคยวาดฝันถึงตอนเด็กๆ ว่าอยากใช้ชีวิตในเมืองกรุงที่ไม่เคยหลับใหล แต่ในตอนนี้ ความฝันนั้นกลับรู้สึกเย็นชาเหมือนกระจกหน้าต่างที่ปิดกั้นเธอจากโลกภายนอก เธอนั่งคิดถึงเจมส์ คนที่เธอเลือกแต่งงานด้วยเพราะฐานะและหน้าที่การงานที่มั่นคง ทนายที่เก่งกาจแต่ไม่เคยมีเวลาให้เธอในแบบที่เธอต้องการ ความรักของพวกเขาดูเหมือนจะถูกบดบังด้วยงานและความรับผิดชอบแม้กระทั่งเรื่องบนเตียงที่นับวันยิ่งจืดชืด เธอเฝ้าถามตัวเองว่า “นี่คือสิ่งที่ฉันเลือกแล้วจริงๆ หรือ?” เธอนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมไว้อย่างประณีต แม้เธอจะรู้ดีว่าค่ำคืนนี้จะไม่มีใครนั่งตรงข้ามกับเธอ ไวน์ในแก้วเป็นสิ่งเดียวที่คอยปลอบใจในความโดดเดี่ยวนี้ ความหวังที่จะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์กลับดูเหมือนจะเลือนลางขึ้นทุกที เธอกระดกแก้วไวน์ทรงสูงแล้ว มองไปยังจานที่ยังคงว่างเปล่าตรงหน้า ความฝันของเธอในการมีลูกเล็กๆ วิ่งเล่นในบ้าน และเสียงหัวเราะที่เติมเต็มบ้านให้มีชีวิตชีวา กลับกลายเป็นเพียงความทรงจำของสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น เธอกับเจมส์พยายามด้วยกันมาหลายปี เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยาก ทุ่มเทเวลา เงินทอง และกำลังใจ แต่ผลลัพธ์กลับยังคงเป็นความว่างเปล่า ความเงียบนี้เหมือนกำแพงที่กั้นระหว่างเธอกับชีวิตในฝันของตัวเอง เธอคิดถึงคำพูดปลอบใจของเจมส์ที่ให้กำลังใจเธอเสมอ แม้ว่าเขาจะพยายามอยู่เคียงข้างเธอ แต่ความจริงที่เขาแทบไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเพราะภาระงาน ก็ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนยืนอยู่กลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่ ไวน์ในแก้วพร่องลงเรื่อยๆ ขณะที่เธอปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความคิดถึงสิ่งที่เธอสูญเสียและสิ่งที่ยังไม่ได้มา เธอถามตัวเองอีกครั้งว่า “ครอบครัวในฝันของฉันมันไกลเกินไปหรือเปล่า?” เธอพยายามหาคำตอบในแสงไฟระยิบระยับนอกหน้าต่าง แต่คำตอบกลับไม่ได้มาพร้อมกับแสงนั้น มีเพียงความเงียบที่สะท้อนความเจ็บปวดในหัวใจของเธอ. ที่บ้านของลูกค้ามหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพล บรรยากาศในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความหรูหราที่สะท้อนถึงฐานะและอำนาจ โต๊ะดินเนอร์ยาวเหยียดที่ทำจากไม้เนื้อดีถูกจัดวางไว้อย่างประณีตด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวสะอาดตา บนโต๊ะมีจานชามกระเบื้องเนื้อดีขอบทองคำที่จัดเรียงอย่างพิถีพิถัน พร้อมด้วยชุดช้อนส้อมเงินแท้ที่สะท้อนแสงไฟระยิบระยับจากโคมระย้าขนาดใหญ่เหนือศีรษะ อาหารที่เสิร์ฟบนโต๊ะเป็นเมนูที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดีจากเชฟชื่อดัง กลิ่นหอมของซุปทรัฟเฟิลร้อนๆ และเนื้อวากิวที่ย่างจนได้ที่ ลอยมาแตะจมูก เจมส์นั่งอยู่ในที่ของเขา สูทเรียบหรูและท่าทีมั่นใจของเขากลมกลืนกับบรรยากาศรอบตัว เสียงพูดคุยของแขกในโต๊ะดินเนอร์ที่เปี่ยมไปด้วยเสียงแห่งความสำเร็จของหัวข้อทางธุรกิจ เจมส์ใช้เวลาค่ำคืนนี้ในอีกโลกหนึ่ง โลกที่แตกต่างจากบ้านของเขาและอิมิลี่โดยสิ้นเชิง “ขอบคุณครับสำหรับอาหารมื้อนี้” เจมส์กล่าวขอบคุณด้วยความสุภาพ น้ำเสียงของเขาชวนให้น่าเชื่อถือและมั่นใจ “ไม่เป็นไรเลยครับ คุณทนาย” มหาเศรษฐีเจ้าของบ้านกล่าวพลางยิ้มกว้าง “ทานเสร็จแล้วอยู่กันต่อเถอะครับ เดี๋ยวผมจะให้คนรถไปส่งคุณที่โรงแรม” เจมส์พยักหน้ารับคำด้วยท่าทีสุภาพ แต่ในใจเขายังคงคิดถึงงานและความรับผิดชอบที่ต้องจัดการ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ปรับตัวเข้ากับบรรยากาศได้อย่างยอดเยี่ยม เขาเป็นคนที่รู้จักการวางตัวในสังคม มีเสน่ห์ในแบบที่ดึงดูดสายตาคนรอบข้าง แม้กระทั่งบรรดาสาวๆ ที่เดินเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มด้วยรอยยิ้ม เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบลงบนพื้นหินอ่อนเงางามเป็นจังหวะราวกับเสียงเปียโน เสียงนั้นดังก้องไปทั่วห้องอาหาร จนทุกคนในห้องเหมือนจะชะงักไปชั่วขณะ เสียงนั้นไม่ได้เป็นเพียงเสียงเดินธรรมดา แต่มันสื่อถึงความมั่นใจและอำนาจบางอย่างที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา เจมส์ที่กำลังจรดส้อมลงในจานอาหารหยุดชะงัก หูของเขาสัมผัสได้ถึงจังหวะการเดินที่แน่วแน่และมั่นคงของใครบางคน เขาเงยหน้าขึ้นจากจานอาหาร มองไปยังทิศทางของเสียงอย่างไม่ทันตั้งตัว ประตูห้องอาหารถูกผลักเปิดออก หญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้ามา ร่างของเธอดูสง่างามและเต็มไปด้วยพลังในทุกย่างก้าว รองเท้าส้นสูงสีดำมันวาวที่เธอสวมดูเหมือนจะสะท้อนแสงไฟจากโคมระย้าเหนือศีรษะ ราวกับกำลังประกาศการมาถึงของเธอในทุกจังหวะการก้าวเดิน พื้นหินอ่อนที่เงาวับสะท้อนเงาของเธอ ดวงตาของแขกหลายคนในห้องหันไปมองตามเสียงนั้นโดยไม่รู้ตัว สายตาของทุกคนถูกดึงดูดไปยังรูปร่างเพรียวบางของเธอ ที่มาพร้อมกับชุดที่ตัดเย็บอย่างพิถีพิถัน เธอไม่ได้เพียงแค่เดินเข้ามาในห้อง แต่ดูเหมือนจะครอบครองมันในทันที ความเงียบครอบคลุมห้องอาหารชั่วขณะ เมื่อเธอยืนอยู่กลางห้อง รอยยิ้ม ที่มุมปากของเธอเหมือนกับคำประกาศที่ไม่ได้เอ่ยออกมา เธอมีพลังบางอย่างที่สะกดสายตาทุกคู่ให้หยุดนิ่ง แม้กระทั่งเจมส์ที่ขึ้นชื่อเรื่องการวางตัวสุขุม ก็รู้สึกเหมือนลมหายใจของเขาหนักขึ้นเพียงเล็กน้อย เสียงรองเท้าที่หยุดนิ่งเมื่อเธอยืนตรงหน้ามหาเศรษฐีเจ้าของบ้าน “คนนี้ แอลซ่า เลขาผมครับ” มหาเศรษฐีกล่าวพลางผายมือแนะนำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณทนาย มีอะไรต้องการติดต่อกับผมหลังจากนี้ ติดต่อผ่านแอลซ่าได้เลย” แอลซ่ายิ้มบางๆ แต่แววตาของเธอเปี่ยมไปด้วยพลังที่ยากจะมองข้าม เธอหันไปสบตาเจมส์ และในชั่วขณะนั้น ทั้งห้องดูเหมือนจะเงียบสงัดลงราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง “สวัสดีค่ะ คุณทนายเจมส์ ดิฉันพอจะทราบเรื่องของคุณคร่าวๆ แล้วค่ะ จากเจ้านายของฉัน ว่าคุณเป็นทนายที่เก่ง ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่หนักแน่น สายตาของเธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเจมส์ ราวกับว่าเธอกำลังสำรวจบางอย่างในตัวเขา เจมส์รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดในสายตาคู่นั้น เขาพยายามรักษาความสุภาพและควบคุมตัวเอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่าทีของแอลซ่า และความมั่นใจที่ฉายออกมา ทำให้เขารู้สึกไม่เหมือนกับที่เขาเคยรู้สึกกับใครมาก่อน “ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณแอลซ่า” เจมส์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่มีความสุภาพและนอบน้อมเช่นเดียวกัน เขาพยายามหลบเลี่ยงความรู้สึกที่กำลังปะทุขึ้นในใจ ด้วยการยิ้มบางๆ อย่างมืออาชีพ บรรยากาศรอบตัวเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะเมื่อสายตาของแอลซ่าสบกับเจมส์ เธอยิ้มรับคำทักทายของเขาด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ เต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพ แต่กลับแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ที่ไม่อาจละเลยได้ “ดิฉันพร้อมจัดการทุกอย่างที่คุณทนายต้องการค่ะ” แอลซ่ากล่าวเสียงนุ่ม แต่หนักแน่นในความหมาย เธอส่งสายตาตรงไปยังเจมส์ ราวกับจะเน้นย้ำว่าเธอสามารถเป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดหรือการสร้างความสัมพันธ์ทางงานที่ทำร่วมกัน เจมส์รู้สึกถึงความมั่นคงในคำพูดและท่าทางของเธอ เขายิ้มตอบเล็กน้อย รักษามารยาทไว้ในทุกจังหวะ แต่ลึกๆ แล้วเขาสัมผัสได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ยากจะมองข้าม แม้เขาจะเป็นคนที่มักควบคุมตัวเองได้ดีในทุกสถานการณ์ แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ขณะที่เขามองไปยังแอลซ่า เขารู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ใช่แค่เลขาธรรมดา แต่เธอเป็นคนที่มีความสามารถและความมั่นใจที่เปล่งประกายในแบบที่หาได้ยาก เธอไม่หวั่นไหวหรือเขินอาย แม้ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและความเป็นทางการ เจมส์พยายามดึงความคิดกลับมาสู่ความเป็นจริง เขาตระหนักดีว่าตอนนี้เขาคือทนายในงานเลี้ยงนี้ และทุกสายตาต่างจับจ้องอยู่ ไม่ใช่แค่ที่เขา แต่รวมถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างเขาและแอลซ่าด้วย หญิงสาวยิ้มรับคำตอบของเจมส์อีกครั้ง รอยยิ้มของเธอเหมือนเป็นภาพสะท้อนของความมั่นใจและความลึกลับที่ยากจะอ่านออก ก่อนที่เธอจะถอยหลังออกไป ท่าทางของเธอยังคงสง่างามในทุกจังหวะการเคลื่อนไหว แต่สายตาที่เธอส่งกลับมาก่อนจะเดินจากไปนั้น ทำให้เจมส์ชะงักไปชั่วขณะ มันไม่ได้มีเพียงความเป็นมิตรตามปกติ หากแต่แฝงไว้ด้วยบางสิ่งที่เขาไม่อาจนิยามได้ชัดเจน ความรู้สึกบางอย่างที่อาจเป็นทั้งความท้าทาย ความคาดหวัง หรือเพียงความสนใจที่ลอยอยู่ในอากาศ แม้เจมส์จะพยายามเบนความคิดกลับมาสู่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า งานที่เขาต้องทำ และเป้าหมายของการพบปะในคืนนี้ แต่ในใจลึกๆ เขากลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเปลี่ยนไป การปรากฏตัวของแอลซ่าในคืนนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่ดูเหมือนจะเป็นบททดสอบใหม่ที่เขาอาจไม่ทันได้เตรียมตัวรับมือ เขาถามตัวเองในใจว่า “แววตานั้นหมายถึงอะไรกันแน่?” แต่คำตอบยังคงเลือนราง และเจมส์ก็รู้ดีว่าบางครั้ง คำถามเหล่านี้อาจไม่มีคำตอบที่ง่ายดาย ท่ามกลางเสียงพูดคุยในงานเลี้ยงและแสงไฟหรูหราที่สะท้อนบนโต๊ะอาหาร ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา ความรู้สึกที่เขาไม่ควรมี และอาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้…..พระอาทิตย์คล้อยต่ำ ลำแสงสุดท้ายที่ค่อย ๆ จางหายไป เจมส์ยืนอยู่หน้าประตูบ้านของอิมิลี่ บานประตูไม้เก่ากระทบกับสายลมเบา ๆ ราวกับเสียงเตือนที่เคยได้ยิน มันไม่ได้ล็อก—เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าในอากาศที่หนาแน่นขึ้นทุกที เขาลังเลไปครู่หนึ่ง... หัวใจเต้นรัวในความเงียบ ก่อนที่จะผลักประตูเข้าไปด้วยมือที่เริ่มสั่นภายในบ้านยังเหมือนเดิม ทุกสิ่งยังคงอยู่ในที่ของมัน แต่ทุกอย่างกลับเหมือนถูกหยุดเวลาไว้ในอากาศ บรรยากาศเงียบงัน เย็นเยียบ—เย็นเกินไป ราวกับมันไม่ได้มีชีวิตอยู่เลย ราวกับบ้านทั้งหลังกำลังไว้ทุกข์... แต่ไร้น้ำตาเขาก้าวช้า ๆ ทุกย่างก้าวหนักหน่วง สายตากวาดไปทั่วห้อง—มองทุกมุม ทุกเงา เหมือนหาสิ่งที่หายไป แต่ไม่รู้จะหามันจากที่ไหน "อิมิลี่... คุณอยู่ไหม?" เสียงของเขาแหบแห้งและทุ้มลง คำถามนั้นดังในหัวของเขา ก่อนจะหลุดออกไปในอากาศที่หนาวเย็นพลัน... เอี้ยด—ประตูระเบียงเปิดออก ลมหอบใหญ่พัดเข้ามาผ้าม่านขาวพลิ้วไหวราวกับมือของใครบางคน—โบกลาเงียบงัน เสียงลมหายใจของบ้านเก่าดังแผ่วเบา มันไม่ใช่เสียง...แต่คือความรู้สึกในห้วงขณะหนึ่ง เจมส์สัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง การมีอยู่ของควา
ดวงตาของลูคัสเด็ดเดี่ยว คมราวเหยี่ยวล่าเหยื่อ จ้องตรงไปยังเป้าหมายพลาง มือขวายกปืนขึ้น ลำกล้องเย็นเฉียบแต่นิ่งมั่น“ปัง! ปัง!”เสียงปืนกระแทกอากาศสองนัดรวด แม่นยำราวกับคมมีดผ่ากลางใจ ทุกการเคลื่อนไหวในโกดังหยุดลงเหมือนถูกสาปกล้อง อุปกรณ์ทุกชิ้น ดับสนิท แสงไฟกระพริบวูบวาบก่อนจางลง ราวกับโลกทั้งใบยอมจำนนให้แก่เขาลูกน้องของลูคัสบุกเข้ากระชับพื้นที่ ไร้เสียง ไร้ความปรานี พวกเขาจัดการลูกน้องของอองเดรอย่างรวดเร็ว แม่นยำ ไม่ปล่อยให้มีเสียงร้องหลุดลอดแม้แต่ลมหายใจสุดท้ายจากนั้น— เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวออกจากในมุมลึกของโกดังอองเดร ยืนจังก้า แผ่นหลังเหยียดตรง ราวกับการปรากฏของเขาไม่ใช่ความหวาดกลัว... แต่เป็นการรอคอย—การแก้แค้นที่เขาคิดว่าเป็นของเขามุมปากเขายกขึ้น... แววตาเป็นประกาย แต่ในความลึกนั้น เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ และเลือดเย็นลูคัสดวงตาแน่นิ่ง นิ้วหนาเล็งปลายกระบอกปืนไปยังอกของอองเดรอย่างมั่นคง “จบกันที... อองเดร”น้ำเสียงเรียบเย็น ราวมีดที่ถูกลับจนคมกริบไร้การขู่ ไม่มีแม้แววลังเลในถ้อยคำทั้งสองยืนประจันหน้า— เวลาเหมือนหยุดหมุน เสียงเขม่าควันปืนเมื่อครู่ยังคุกรุ่น
เจมส์ขับรถออกจากศาลด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาแข็งกร้าวจ้องถนนเบื้องหน้าไม่กะพริบ ความคิดในหัววนเวียนซ้ำๆ เขาต้องไปหาแอลซ่า ต้องได้คำตอบเท้าเหยียบคันเร่งจมมิด รถทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ความเร็วเสียดแทงลมราวกับสะท้อนพายุในใจของเจมส์ที่พร้อมจะระเบิดออกได้ทุกวินาที เสียงเครื่องยนต์คำรามดั่งหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ร้อนรุ่ม สับสน หวาดระแวงพริบตาเดียว รถเบรกกระทันหันจนยางเสียดกับพื้นถนนอย่างรุนแรง เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านของแอลซ่า ประตูหน้าถูกล็อกแน่นสนิท ม่านหน้าต่างปิดราวกับไม่เคยมีใครอาศัย บ้านทั้งหลังเงียบงัน เย็นเยียบ เจมส์จ้องไปที่แม่กุญแจด้วยสายตาแข็งกร้าว มือที่ยังกำพวงมาลัยแน่นเริ่มสั่นเล็กน้อย ทุกอย่าง...ผิดปกติเกินไปแล้วจู่ๆ... เสียงมือถือสั่นครืดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบเจมส์หันไปมองเบอร์ที่โชว์บนหน้าจอ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะกดรับสายในทันที"คุณเจมส์ใช่ไหมครับ?" เสียงปลายสายจริงจัง และหนักแน่น"ใช่ ผมเอง..." เขาขานรับ เสียงแหบพร่า หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก“ขอความร่วมมือให้คุณมาให้ปากคำที่สถานีตำรวจครับ… เกี่ยวกับการหายตัวไปของคุณอิมิลี่ —
กลางมหาสมุทรเวิ้งว้างไร้ขอบเขต เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มสะเทือนคลื่นลม เรือสปีดโบ๊ทสีดำทะมึนแล่นฝ่าเกลียวคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุด ลูคัสยืนประจันหน้ากับสายลมบ้าคลั่ง มือกำพวงมาลัยแน่นดวงตาแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยว มุ่งตรงไปข้างหน้า สู่เกาะร้างที่ซ่อนอันตรายและสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาเอาไว้เบื้องหลัง ลูกน้องหลายชีวิตติดอาวุธครบมือ นั่งกระชับปืนไรเฟิลแน่น ดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยว กวาดมองรอบตัวไม่หยุดด้วยสัญชาตญาณของนักล่า ทุกคนพร้อมระเบิดความโหดเหี้ยมได้ทันทีที่คำสั่งแรกถูกเปล่งออกมาไม่ไกลจากกันนัก บนเกาะร้างกลางทะเล ลูกน้องของอองเดรยกกล้องส่องทางไกลขึ้นแนบตา จับภาพเรือสปีดโบ๊ทที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเย็น ราวกับหมาป่าที่กำลังจะได้ลิ้มรสเนื้อสดใหม่"จัดการพวกมันเลยไหม?" เขาเอ่ยเสียงแข็งผ่านไมโครโฟนติดตัว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหิวกระหายเลือดเสียงปลายสายดังขึ้น — ต่ำ ลึก และเย็นยะเยือก ราวกับน้ำแข็งกัดกระดูก"ยัง..." อองเดรลากเสียงยาวอย่างเลือดเย็น "ต้องให้มันเห็น...คนที่มันรัก...ทรมานจนขอความตายก่อนต่างหาก"ประโยคนั้นบาดลึกลงในความเงียบของทะเล ราวกั
เสียงล้อรถเสียดสีกับกรวดหน้าบ้านพักดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่รถจะหยุดสนิท ลูคัสไม่รอให้เครื่องดับ เขาผลักประตูออกแล้วก้าวพรวดลงจากรถอย่างร้อนใจ"เลโอล่ะ?" เสียงเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ คำถามถูกปล่อยออกไปทันทีที่เขาเห็น กลุ่มลูกน้องยืนรวมกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน เนื้อตัวมอมแมมด้วยคราบเขม่าควันและรอยเปื้อนดำจากเหตุไฟไหม้ร้านขายอุปกรณ์ตกปลาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนลูกน้องเหลือบตามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ไม่รู้ครับ อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย”คำตอบนั้นเหมือนค้อนทุบซ้ำลงกลางอก ลูคัสกัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าวราวกับเหล็กเย็น เขาไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินนำไปยังทางลับที่มุ่งสู่ห้องใต้ดิน เหล่าลูกน้องรีบลุกขึ้นเดินตามอย่างไม่มีใครกล้าเอ่ยคำบรรยากาศในบ้านพักเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ผนังเก่าข้างบันไดที่ทอดลงสู่ชั้นล่าง ดูคล้ายจะกลืนซ่อนเสียงกระซิบจากอดีตไว้ใต้ฝุ่นและกาลเวลา ลูคัสดันประตูเหล็กเปิดออก เสียงบานพับเก่า ๆ ครางเบา ๆ ขณะเขาก้าวลงไปแสงจากหลอดไฟดวงเล็กฉายเงาทาบบนใบหน้าของเขา เงาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน และความตึงเครียดที่ยากจะกลั้นในห้องใต้ดิน อาวุธหลากหลายชนิดวา
ทนายเจมส์ขับรถหรูเทียบจอดหน้า ศาลประจำจังหวัดเสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทในขณะที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวจอดหน้าอาคารราวกับภาพในภาพยนตร์ เช้าวันนี้... ท้องฟ้าเมฆหนาครึ้มปกคลุมราวกับบอกลางร้าย บรรยากาศคล้ายลมหายใจของใครบางคนที่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดัน เมฆหนาทึบแผ่ซ่านทั่วอาคารคอนกรีตสีซีด พื้นผิวเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิตเสียงผู้คนจอแจหน้าอาคารศาลดังก้อง ความคุกรุ่นของความคาดหวังและความเครียดปะปนกันในอากาศรอบตัว ราวกับแม้แต่ออกซิเจนก็ถูกชำแหละด้วยสายตาและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบสายตาหลายคู่จ้องมายังถนนทางเข้า ราวกับรอคอย "ใครบางคน" วันนี้คือวันตัดสินคดี คดีที่เป็นข่าวฉาวของสังคม เขา...ในฐานะ ทนายฝ่ายจำเลย ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและความหวังของผู้คน ถูกกลุ่มลูกบ้านรวมตัวกันฟ้องร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวหา เสียดแทงแต่เขาไม่สั่นไหว... ไม่เคยเลยและวันนี้—ศาลจะชี้ขาด ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของลูกความ แต่รวมถึงชื่อเสียงของเขา...ฝูงนักข่าวยืนดักรอราวกับฝูงหมาป่าล้อมเหยื่อ มือกำไมค์แน่น กล้องตั้งเรียงราย คำถามพร้อมถูกปล่อยทันทีที่เห็นเป้าหมายแต่เจมส์ยังไม่ลงจากรถ เขานั่งนิ่ง นิ่งจนภายในรถ