เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นแต่เช้าตรู่ อิมิลี่ลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความเงียบและว่างเปล่าของของหมอนอีกใบที่เป็นของสามี แต่ สมองของเธอรีบประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าวันนี้มีนัดสำคัญที่โรงพยาบาล เธอลุกจากเตียงแทบจะทันที เสื้อกันหนาวสีครีมถูกหยิบขึ้นมาสวมเพื่อป้องกันอากาศหนาวยามเช้าขณะที่เธอเตรียมตัวออกไป
ภายในห้องตรวจ บรรยากาศเงียบงันจนได้ยินเสียงแอร์ที่เป่าลมเย็นกระทบผนัง เสียงนั้นแม้จะเบา แต่กลับยิ่งทำให้ความรู้สึกอึดอัดในใจของอิมิลี่ชัดเจนขึ้น เธอนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ สองแขนโอบกอดตัวเองราวกับหาความอบอุ่นจากใครสักคน เสื้อกันหนาวสีเธอสวมดูจะไม่ช่วยป้องกันความหนาวเย็นที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นในจิตใจของเธอ
ดวงตาของอิมิลี่หลุบต่ำ มองมือตัวเองที่สั่นเล็กน้อย นิ้วเรียวขาวบีบกันแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีซีด ความคิดวิ่งวนอยู่ในหัวของเธอเป็นเสียงที่เธอไม่อาจกลบได้ ความเครียด ความกลัว และความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ผลักดันให้เธอกดตัวเองแน่นขึ้น
คุณหมอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนเปล่งเสียงนุ่มนวลที่แฝงไว้ด้วยความจริงจังที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
“เดือนนี้ไข่ของคุณยังไม่ตก บางทีอาจเป็นเพราะความเครียดที่สะสมไว้”
คำพูดนั้นเหมือนพายุหิมะที่พัดโหมเข้ามาปะทะหัวใจของอิมิลี่ เธอนิ่งไปชั่วครู่ เธอก้มหน้าลงหลบสายตาของคุณหมอไปมองโต๊ะตรงหน้า ดวงตาคู่สวยที่เคยสว่างไสวดูหม่นหมองลงเหมือนแสงเทียนที่ริบหรี่
ภายในใจของเธอรู้สึกเหมือนห่าลูกเห็บถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ความหวังที่เธอแบกไว้ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาเหมือนจะถูกบดขยี้ไปพร้อมกับคำพูดนั้น เธอรู้ว่าความเครียดเป็นสิ่งที่ยากจะควบคุม แต่มันก็ยากยิ่งกว่าที่จะมองข้ามความผิดหวังที่ถาโถมเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะแท้จริงแล้วเธอเพิ่งผ่านการผ่าตัดครั้งใหญ่เพื่อแก้ไขท่อนำไข่ที่อุดตันทั้งสองข้าง เหตุการณ์นั้นเป็นเหมือนแสงแห่งความหวังที่เธอคิดว่าอาจช่วยให้ความฝันที่จะเป็นแม่คนเติมเต็มชีวิตคู่ที่ไม่สมบูรณ์แต่คำพูดของหมอในวันนี้กลับเป็นเหมือนเมฆหมอกดำทึบที่เข้ามาแทนที่
เธอกำมือไว้แน่นจนเล็บจิกลงในฝ่ามือ ราวกับพยายามหาหลักยึดเพื่อไม่ให้ความกังวลกลืนกินเธอไป แล้วเอ่ยถามคุณหมอด้วยน้ำเสียงที่เบา"งั้นฉันควรทำยังไงต่อไปดีคะ?"แววตาที่ราวกับกำลังถามไถ่ดวงชะตาของเธอมองตรงไปที่คุณหมอคุณหมอยกยิ้มมุม ราวว่ายังมีพอมีหนทางแก้ไข “เราอาจต้องให้เวลา และลองหาวิธีลดความเครียด เพื่อให้ร่างกายของคุณกลับมาทำงานตามปกติอีกครั้ง”คำพูดปลอบโยนของคุณหมอราวกับเสียงลมที่พัดผ่าน เธอได้ยินชัดเจน แต่กลับไม่สามารถซึมลึกเข้าไปถึงใจของอิมิลี่ได้เลย เธอนั่งนิ่งอยู่กับเก้าอี้ มือยังคงบีบกันแน่นใต้โต๊ะ
แต่ก่อนที่เธอจะทันตอบอะไร เสียงเคาะประตูดังขึ้นก๊อก ก๊อก
อิมิลี่สะดุ้ง เธอเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ตั้งตัว มองไปที่ประตู ขณะที่คุณหมอถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับหันไปทางต้นเสียง น้ำเสียงสุภาพของเขาดังขึ้น
“คุณเจมส์ เชิญเข้ามาได้ครับ”
เจมส์ซึ่งยืนรออยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้ามา ใบหน้าของเขามีคราบเหงื่อเกาะจากการเร่งรีบ แต่อยู่ในขณะเดียวกันเขาก็ดูเหมือนพยายามตั้งสติและเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่ต้องทำ
อิมิลี่หันมามองเขาแวบหนึ่ง แววตาของเธอฉายแววเคืองที่เธอพยายามกดเก็บไว้ รอยร้าวจากเรื่องเมื่อคืนยังไม่จางหาย เธอหลุบตาลงอีกครั้ง เลี่ยงที่จะสบตากับเขานานเกินไป
เจมส์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ผมขอโทษที่มาสาย... ผมพยายามรีบมาให้ทัน”
แต่คำพูดของเขาเหมือนผ่านเข้าไปในอากาศที่เย็นเฉียบ ไม่มีผลต่อกำแพงบาง ๆ ที่อิมิลี่สร้างขึ้นรอบตัวเธอในตอนนี้ เธอเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่มองหน้าเขา “ไม่เป็นไรหรอก เราเริ่มได้เลยค่ะคุณหมอ”
คุณหมออธิบายต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เราต้องตรวจสอบคุณภาพของน้ำเชื้อเพื่อประเมินแนวทางการรักษาเพิ่มเติม ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นานครับ ผมจะให้เจ้าหน้าที่พาคุณไปที่ห้องเก็บตัวอย่าง”เจมส์พยักหน้ารับ แม้จะแสดงออกด้วยความสงบ แต่ภายในใจของเขาเองก็ปั่นป่วนเล็กน้อย เขาหันไปมองอิมิลี่อีกครั้ง หวังจะได้รับการยอมรับหรือกำลังใจจากเธอสักนิด แต่เธอยังคงนั่งนิ่งอยู่ในโลกของตัวเอง
เจ้าหน้าที่พยาบาลหญิงในชุดสีขาวสะอาดเดินเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้ม ที่พยายามจะปลอบประโลมบรรยากาศอันเคร่งเครียด เธอส่งสัญญาณให้เจมส์เดินตามออกไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้เพื่อเก็บตัวอย่างน้ำเชื้อ
“เดี๋ยวคุณอิมิลี่นั่งรอก่อนนะครับ” คุณหมอยิ้มอ่อนโยนให้กับเธอพลางลุกขึ้นออกไปพร้อมกับพยาบาลทิ้งให้อิมิลี่นั่งรออยู่ในห้องคนเดียวเวลาผ่านไปไม่นาน แต่สำหรับอิมิลี่ มันกลับรู้สึกเหมือนชั่วนิรันดร์ สองแขนของเธอกอดตัวเองเบา ๆ ราวกับต้องการหาที่พึ่งพิงจากความกดดันที่เธอรู้สึกอยู่ ไม่นานนัก เจมส์เดินออกมาจากห้องเก็บตัวอย่างดวงตาเขามองหาอิมิลี่ทันที เธอนั่งอยู่เก้าอี้ตัวสุดท้ายมุมสุด สีหน้าของเธอยังดูตึงเครียด ดวงตาคู่สวยหม่นลงด้วยความน้อยใจเล็ก ๆ ที่เธอพยายามซ่อน แต่เจมส์สังเกตเห็นเขาก้าวเข้ามาใกล้ ย่อตัวเล็กน้อยเพื่อสบตาเธอ “คุณโอเคไหม อิมิลี่” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย
อิมิลี่เงยหน้าขึ้นมองเขา ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ราบเรียบ “ก็ดีค่ะ”
เจมส์ยิ้ม ก่อนเอื้อมมือมาวางเบา ๆ บนไหล่ของเธอ “เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน คุณรู้ใช่ไหม”
คำพูดของเขาเรียบง่าย แต่หนักแน่นพอที่จะทำให้หัวใจที่เต็มไปด้วยความเครียดของอิมิลี่คลายลงชั่วคราว เธอพยักหน้าช้า ๆ แม้ยังมีความกังวลหลงเหลือ
เจมส์พูดต่อพร้อมกับเปลี่ยนโทนเสียงให้ผ่อนคลาย “เดี๋ยวเสร็จธุระที่นี่แล้ว ผมจะพาคุณไปทานข้าวนะ”
ความตั้งใจในน้ำเสียงของเขาทำให้อิมิลี่เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้น ความผ่อนคลายเริ่มเข้ามาแทนที่ความตึงเครียด เธอเงยหน้า มองเขาด้วยสายตาที่เริ่มมีประกายของความหวัง เธอพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ
“ค่ะ”น้ำเสียงเบาๆ แม้จะไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น แต่ในใจลึก ๆ เธอรู้สึกว่าบางทีความรักและการอยู่เคียงข้างของเขา อาจเป็นกำลังใจสำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้พลันเสียงเครื่องมือทางการแพทย์ดังแผ่วป็นพื้นหลัง คุณหมอเปิดประตูเข้ามาพร้อมแฟ้มผลตรวจในมือ สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายและเปี่ยมไปด้วยความเป็นมิตร
“ผลออกมาแล้วครับ” คุณหมอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะนั่งลง “น้ำเชื้อของคุณแข็งแรงดี ไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ถ้าจะเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ผมแนะนำให้เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง และถั่วประเภทต่าง ๆ เป็นประจำ จะช่วยสนับสนุนคุณภาพได้ดี”ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “ครับ หมอ ผมจะลองปรับเรื่องอาหารตามคำแนะนำ”
คุณหมอยิ้มอย่างพอใจ “ดีมากครับ สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ แค่ดูแลตัวเองให้สมดุลก็ช่วยได้มากแล้ว ไม่ต้องเครียดนะครับ พักผ่อนให้เพียงพอด้วย”
คำพูดของคุณหมอสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายขึ้นในห้องแม้ อิมิลี่จะยังมีความกังวลในดวงตาแต่ก็รู้สึกอุ่นใจเล็กน้อยจากความพยายามของสามีและคำแนะนำที่ดูเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความใส่ใจของคุณหมอ
ถ้าอ่านแล้วชอบ ถูกจริต ฝากกดติดตามเพิ่มเข้าคลังด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
พระอาทิตย์คล้อยต่ำ ลำแสงสุดท้ายที่ค่อย ๆ จางหายไป เจมส์ยืนอยู่หน้าประตูบ้านของอิมิลี่ บานประตูไม้เก่ากระทบกับสายลมเบา ๆ ราวกับเสียงเตือนที่เคยได้ยิน มันไม่ได้ล็อก—เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าในอากาศที่หนาแน่นขึ้นทุกที เขาลังเลไปครู่หนึ่ง... หัวใจเต้นรัวในความเงียบ ก่อนที่จะผลักประตูเข้าไปด้วยมือที่เริ่มสั่นภายในบ้านยังเหมือนเดิม ทุกสิ่งยังคงอยู่ในที่ของมัน แต่ทุกอย่างกลับเหมือนถูกหยุดเวลาไว้ในอากาศ บรรยากาศเงียบงัน เย็นเยียบ—เย็นเกินไป ราวกับมันไม่ได้มีชีวิตอยู่เลย ราวกับบ้านทั้งหลังกำลังไว้ทุกข์... แต่ไร้น้ำตาเขาก้าวช้า ๆ ทุกย่างก้าวหนักหน่วง สายตากวาดไปทั่วห้อง—มองทุกมุม ทุกเงา เหมือนหาสิ่งที่หายไป แต่ไม่รู้จะหามันจากที่ไหน "อิมิลี่... คุณอยู่ไหม?" เสียงของเขาแหบแห้งและทุ้มลง คำถามนั้นดังในหัวของเขา ก่อนจะหลุดออกไปในอากาศที่หนาวเย็นพลัน... เอี้ยด—ประตูระเบียงเปิดออก ลมหอบใหญ่พัดเข้ามาผ้าม่านขาวพลิ้วไหวราวกับมือของใครบางคน—โบกลาเงียบงัน เสียงลมหายใจของบ้านเก่าดังแผ่วเบา มันไม่ใช่เสียง...แต่คือความรู้สึกในห้วงขณะหนึ่ง เจมส์สัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง การมีอยู่ของควา
ดวงตาของลูคัสเด็ดเดี่ยว คมราวเหยี่ยวล่าเหยื่อ จ้องตรงไปยังเป้าหมายพลาง มือขวายกปืนขึ้น ลำกล้องเย็นเฉียบแต่นิ่งมั่น“ปัง! ปัง!”เสียงปืนกระแทกอากาศสองนัดรวด แม่นยำราวกับคมมีดผ่ากลางใจ ทุกการเคลื่อนไหวในโกดังหยุดลงเหมือนถูกสาปกล้อง อุปกรณ์ทุกชิ้น ดับสนิท แสงไฟกระพริบวูบวาบก่อนจางลง ราวกับโลกทั้งใบยอมจำนนให้แก่เขาลูกน้องของลูคัสบุกเข้ากระชับพื้นที่ ไร้เสียง ไร้ความปรานี พวกเขาจัดการลูกน้องของอองเดรอย่างรวดเร็ว แม่นยำ ไม่ปล่อยให้มีเสียงร้องหลุดลอดแม้แต่ลมหายใจสุดท้ายจากนั้น— เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวออกจากในมุมลึกของโกดังอองเดร ยืนจังก้า แผ่นหลังเหยียดตรง ราวกับการปรากฏของเขาไม่ใช่ความหวาดกลัว... แต่เป็นการรอคอย—การแก้แค้นที่เขาคิดว่าเป็นของเขามุมปากเขายกขึ้น... แววตาเป็นประกาย แต่ในความลึกนั้น เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ และเลือดเย็นลูคัสดวงตาแน่นิ่ง นิ้วหนาเล็งปลายกระบอกปืนไปยังอกของอองเดรอย่างมั่นคง “จบกันที... อองเดร”น้ำเสียงเรียบเย็น ราวมีดที่ถูกลับจนคมกริบไร้การขู่ ไม่มีแม้แววลังเลในถ้อยคำทั้งสองยืนประจันหน้า— เวลาเหมือนหยุดหมุน เสียงเขม่าควันปืนเมื่อครู่ยังคุกรุ่น
เจมส์ขับรถออกจากศาลด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาแข็งกร้าวจ้องถนนเบื้องหน้าไม่กะพริบ ความคิดในหัววนเวียนซ้ำๆ เขาต้องไปหาแอลซ่า ต้องได้คำตอบเท้าเหยียบคันเร่งจมมิด รถทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ความเร็วเสียดแทงลมราวกับสะท้อนพายุในใจของเจมส์ที่พร้อมจะระเบิดออกได้ทุกวินาที เสียงเครื่องยนต์คำรามดั่งหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ร้อนรุ่ม สับสน หวาดระแวงพริบตาเดียว รถเบรกกระทันหันจนยางเสียดกับพื้นถนนอย่างรุนแรง เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านของแอลซ่า ประตูหน้าถูกล็อกแน่นสนิท ม่านหน้าต่างปิดราวกับไม่เคยมีใครอาศัย บ้านทั้งหลังเงียบงัน เย็นเยียบ เจมส์จ้องไปที่แม่กุญแจด้วยสายตาแข็งกร้าว มือที่ยังกำพวงมาลัยแน่นเริ่มสั่นเล็กน้อย ทุกอย่าง...ผิดปกติเกินไปแล้วจู่ๆ... เสียงมือถือสั่นครืดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบเจมส์หันไปมองเบอร์ที่โชว์บนหน้าจอ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะกดรับสายในทันที"คุณเจมส์ใช่ไหมครับ?" เสียงปลายสายจริงจัง และหนักแน่น"ใช่ ผมเอง..." เขาขานรับ เสียงแหบพร่า หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก“ขอความร่วมมือให้คุณมาให้ปากคำที่สถานีตำรวจครับ… เกี่ยวกับการหายตัวไปของคุณอิมิลี่ —
กลางมหาสมุทรเวิ้งว้างไร้ขอบเขต เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มสะเทือนคลื่นลม เรือสปีดโบ๊ทสีดำทะมึนแล่นฝ่าเกลียวคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุด ลูคัสยืนประจันหน้ากับสายลมบ้าคลั่ง มือกำพวงมาลัยแน่นดวงตาแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยว มุ่งตรงไปข้างหน้า สู่เกาะร้างที่ซ่อนอันตรายและสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาเอาไว้เบื้องหลัง ลูกน้องหลายชีวิตติดอาวุธครบมือ นั่งกระชับปืนไรเฟิลแน่น ดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยว กวาดมองรอบตัวไม่หยุดด้วยสัญชาตญาณของนักล่า ทุกคนพร้อมระเบิดความโหดเหี้ยมได้ทันทีที่คำสั่งแรกถูกเปล่งออกมาไม่ไกลจากกันนัก บนเกาะร้างกลางทะเล ลูกน้องของอองเดรยกกล้องส่องทางไกลขึ้นแนบตา จับภาพเรือสปีดโบ๊ทที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเย็น ราวกับหมาป่าที่กำลังจะได้ลิ้มรสเนื้อสดใหม่"จัดการพวกมันเลยไหม?" เขาเอ่ยเสียงแข็งผ่านไมโครโฟนติดตัว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหิวกระหายเลือดเสียงปลายสายดังขึ้น — ต่ำ ลึก และเย็นยะเยือก ราวกับน้ำแข็งกัดกระดูก"ยัง..." อองเดรลากเสียงยาวอย่างเลือดเย็น "ต้องให้มันเห็น...คนที่มันรัก...ทรมานจนขอความตายก่อนต่างหาก"ประโยคนั้นบาดลึกลงในความเงียบของทะเล ราวกั
เสียงล้อรถเสียดสีกับกรวดหน้าบ้านพักดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่รถจะหยุดสนิท ลูคัสไม่รอให้เครื่องดับ เขาผลักประตูออกแล้วก้าวพรวดลงจากรถอย่างร้อนใจ"เลโอล่ะ?" เสียงเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ คำถามถูกปล่อยออกไปทันทีที่เขาเห็น กลุ่มลูกน้องยืนรวมกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน เนื้อตัวมอมแมมด้วยคราบเขม่าควันและรอยเปื้อนดำจากเหตุไฟไหม้ร้านขายอุปกรณ์ตกปลาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนลูกน้องเหลือบตามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ไม่รู้ครับ อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย”คำตอบนั้นเหมือนค้อนทุบซ้ำลงกลางอก ลูคัสกัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าวราวกับเหล็กเย็น เขาไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินนำไปยังทางลับที่มุ่งสู่ห้องใต้ดิน เหล่าลูกน้องรีบลุกขึ้นเดินตามอย่างไม่มีใครกล้าเอ่ยคำบรรยากาศในบ้านพักเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ผนังเก่าข้างบันไดที่ทอดลงสู่ชั้นล่าง ดูคล้ายจะกลืนซ่อนเสียงกระซิบจากอดีตไว้ใต้ฝุ่นและกาลเวลา ลูคัสดันประตูเหล็กเปิดออก เสียงบานพับเก่า ๆ ครางเบา ๆ ขณะเขาก้าวลงไปแสงจากหลอดไฟดวงเล็กฉายเงาทาบบนใบหน้าของเขา เงาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน และความตึงเครียดที่ยากจะกลั้นในห้องใต้ดิน อาวุธหลากหลายชนิดวา
ทนายเจมส์ขับรถหรูเทียบจอดหน้า ศาลประจำจังหวัดเสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทในขณะที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวจอดหน้าอาคารราวกับภาพในภาพยนตร์ เช้าวันนี้... ท้องฟ้าเมฆหนาครึ้มปกคลุมราวกับบอกลางร้าย บรรยากาศคล้ายลมหายใจของใครบางคนที่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดัน เมฆหนาทึบแผ่ซ่านทั่วอาคารคอนกรีตสีซีด พื้นผิวเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิตเสียงผู้คนจอแจหน้าอาคารศาลดังก้อง ความคุกรุ่นของความคาดหวังและความเครียดปะปนกันในอากาศรอบตัว ราวกับแม้แต่ออกซิเจนก็ถูกชำแหละด้วยสายตาและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบสายตาหลายคู่จ้องมายังถนนทางเข้า ราวกับรอคอย "ใครบางคน" วันนี้คือวันตัดสินคดี คดีที่เป็นข่าวฉาวของสังคม เขา...ในฐานะ ทนายฝ่ายจำเลย ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและความหวังของผู้คน ถูกกลุ่มลูกบ้านรวมตัวกันฟ้องร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวหา เสียดแทงแต่เขาไม่สั่นไหว... ไม่เคยเลยและวันนี้—ศาลจะชี้ขาด ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของลูกความ แต่รวมถึงชื่อเสียงของเขา...ฝูงนักข่าวยืนดักรอราวกับฝูงหมาป่าล้อมเหยื่อ มือกำไมค์แน่น กล้องตั้งเรียงราย คำถามพร้อมถูกปล่อยทันทีที่เห็นเป้าหมายแต่เจมส์ยังไม่ลงจากรถ เขานั่งนิ่ง นิ่งจนภายในรถ