“แม่นม! ทำให้เส้นผมของพระสนมเอกเสียหายหลายเส้น เช่นนี้น่าจะลงโทษด้วยก้อนผมนางเสียให้หมดหัว จึงจะเข็ดหราบนะเพคะ” เจียงหนิงกล่าวยั่วยุ ขณะยืนจัดแต่งทรงผมให้เซี่ยวหลานอย่างประชิดใกล้
“ฮึ! เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ? ข้าว่านั่นมันโหดร้ายเกินไป งั้นนำเอาแม่นมไปเผาจะดีกว่า” เซี่ยวหลานกล่าวด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว พลางหัวเราะเบา ๆ ออกมาราวกับเหยียดหยาม ขณะที่สายตาคู่สวยของนางยังคงจับจ้องไปยังปิ่นในมือ
ภายในช่วงกลางดึกของคืนนั้น เหลี่ยงฉี! ถูกนำตัวไปมัดอยู่บนกองฟืนโดยร่างของนางถูกรวบตึงติดกับไม้ไว้อย่างแน่นหนาพร้อมทั้งมีผ้ายัดปากนางไว้เพื่อเตรียมถูกเผาตามคำสั่งของเซี่ยวหลาน
“แม่นม! ทำเส้นผมของพระสนมเอกล่วงหลายเส้น นางจึงรู้สึกโกรธเกรี้ยว จึงสั่งฆ่าแม่นม”
“เรื่องโหดร้ายเช่นนี้ผู้ใดจะเป็นคนลงมือ”
ขณะสาวใช้ทั้งสองกำลังเกลี่ยงกันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังของนาง
“ข้าจะเป็นคนเผาเอง” สาวใช้ทั้งสองจึงหันหลังไปมอง จึงทราบว่าต้นกำเนิดเสียงคือผู้ใด
ขณะนั้นเจียงหนิงค่อยก้าวเท้าเข้ามาใกล้กองฟืนอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าเหลี่ยงฉีแล้วใช้มือดึงผ้ายัดปากของเหลี่ยงฉีออก ทันทีที่ผ้านั้นหลุดออกเหลี่ยงฉี จึงรีบกล่าวต่อว่าเจียงหนิงอย่างรวดเร็ว
“เจ้าทำให้ข้าต้องถูกลงโทษ คนที่ควรถูกลงโทษนี้สมควรเป็นเจ้าเสียมากกว่า ใครก็ได้ช่วยจับเจียงหนิงมาเผาที”
ขณะนั้นเจียงหนิงรีบคว้าขบเพลิงในมือของทหารที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตน ขึ้นมาถือแทนด้วยท่าทางมั่นใจ
“หากเจ้าไม่หยุดพูดขบเพลิงงนี้อาจล่วงจากมือข้าก็เป็นไปได้” ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เหลี่ยงฉีเงียบครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ข้ากับเจ้ามิใช่ศัตรูกันเหตุใดเจ้าจึงทำร้ายข้า”
เมื่อเจียงหนิงได้ยินเช่นนั้นนางก็ใช้มือเรียวบางหยิบปิ่นปักผมบนศรีษะของตนออกมายื่นให้เหลี่ยงฉีดูใกล้ ๆ “เจ้าจำปิ่นปักผมนี้ได้หรือไม่?”
ขณะนั้นเหลี่ยงฉีจึงเพ่งพินิจยังปิ่นในมือของเจียงหนิงอยู่ครู่หนึ่ง ทว่านางกับนึกไม่ออก นางพยามจับจ้องอยู่หลายครั้งแต่ก็นึกไม่ออกอยู่ดี เจียงหนิงเห็นท่าทางของเหลี่ยงฉีแล้ว นางจึงทราบแน่ว่าเหลี่ยงฉีนั้นจำปิ่นอันนี้ไม่ได้แน่ หลังจากนั้นเจียงหนิงจึงตัดสินใจเล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนให้เหลี่ยงฉีฟังอย่างละเอียดก่อนตาย
“วันนั้นเมื่อสองปีก่อน ยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของข้า แม่ของข้า ชื่อจี้อิง! หมอตำแยผู้เชี่ยวชาญ ได้รับมอบหมายให้ไปทำคลอดให้กับพระสนมเซี่ยวในตำหนักใหญ่ ข้าเองจำได้ดีว่าวันนั้นตรงกับวันเกิดของข้า แต่แม้จะเป็นวันสำคัญเช่นนั้น แม่ก็ต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การคลอดบุตรของพระสนมเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าพูดถึง เพราะเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ พระสนมเซี่ยวปัสสาวะออกมาต่อหน้าผู้คนมากมายในระหว่างการคลอด นางรู้สึกอับอายอย่างรุนแรง แม้การคลอดนั้นจะสำเร็จและทารกปลอดภัย แต่ความอัปยศครั้งนั้นได้กลบทุกอย่าง
ในยามที่ความโกรธของพระสนมพุ่งถึงขีดสุด นางกลับไม่ยอมรับชะตากรรมของตนเอง พระนางจึงสั่งให้ประหารชีวิตทุกคนที่อยู่ในห้องคลอดวันนั้น ไม่เว้นแม้แต่แม่ของข้า นางผู้ที่ทำเพียงหน้าที่ของตนเอง ช่วยชีวิตทั้งแม่และลูกอย่างดีที่สุด
ความโหดร้ายครั้งนั้นยังคงสะท้อนอยู่ในใจข้า และวันนี้ วันที่ข้ากลับมา ข้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งที่เกิดกับแม่ของข้าต้องผ่านไปโดยไม่มีการชดใช้ ข้าจะคืนความยุติธรรมให้แก่แม่ของข้า”
“ฮะ! เจ้าคือลูกของหมอตำแยคนนั้นหรือ?” หลังจากนั้นเหลี่ยงฉีกล่าวออกมาด้วยความตกใจ
“ใช่! เจ้าจดจำวันนั้นได้แล้วใช่หรือไม่? ดี! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุการณ์ในวันนั้น จะเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าในวันนี้”
“หากวันนั้นข้าเพียงทำตามคำสั่งของพระสนมเอกเท่านั้น เจ้าก็เป็นสาวใช้ในวังก็น่าจะรู้ดี”
“เจ้าเป็นสุนัขรับใช้มาถึงห้าปี เจ้าก็เป็นสุนัขรับใช้อยู่ดี เจ้านายสั่งให้ฆ่าก็ฆ่า”
“เจ้าอย่าหลงตนเองไป หากวันนี้เป็นของข้า วันหน้าอาจไม่ใช่วันของเจ้า”
“ข้าเข้ามาในวังนี้ไม่ได้มาเพื่อเป็นทาสผู้ใด ทว่าเข้ามาเพื่อแก้แค้น และเจ้าก็คนแรก”
“เจ้าตัวคนเดียวหรือจะมาทำอันใดในวังนี้ได้”
“ผู้ใดว่าข้าเข้ามาแต่เพียงผู้เดียว พวกของข้าอยู่ทั่ววังไปหมด พวกเขาแอบซ่อนตัวมาตั้งนานแล้วหากแต่เจ้าไม่รู้เองเสียมากกว่า พวกเขาคอยเป็นหู เป็นตาให้แก่ข้า คอยช่วยเหลือข้า หากเจ้ารู้แล้วก็อย่าได้นำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใดเชียว”
หลังจากเจียงหนิงกล่าวจบนางก็โยนขบเพลิงในมือลงดั่งกองฟืนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าเสียงกรีดร้องของเหลี่ยงฉีก็ดังขึ้นอย่างทรมาน จนกระทั่งสิ้นใจตายในที่สุด
กลุ่มสาวใช้ในวังต่างพูดคุยกันด้วยความยินดี ปลื้มปิติเมื่อได้รับข่าวว่าแม่นมผู้โหดร้ายที่ทุกคนหวาดกลัวได้ตายไปแล้ว เสียงหัวเราะและคำพูดคุยดังสนั่นไปทั่วสวน เจียงหนิงที่เดินตามหลังกลุ่มนั้นกลับไม่ได้รู้สึกปลอดโปร่งเหมือนคนอื่น นางเดินตามหลังด้วยความระแวดระวัง แต่ไม่ทันใส่ใจว่าเงาดำจากทางด้านหลังได้ปรากฏขึ้นสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แล้วใช้มือปิดปากเจียงหนิงอย่างรวดเร็ว พร้อมดึงนางเข้าไปในมุมมืดที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
ขณะที่เจียงหนิงถูกดึงเข้ามา นางรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้ามาในร่าง ความหวาดกลัวแล่นพล่านในใจ นางไม่รู้ว่าผู้ใดต้องการทำร้ายนาง ความคิดสับสนไปหมด ทันใดนั้นเอง เมื่อมือที่ปิดปากถูกปล่อยออก สาวใช้คนนั้นจับไหล่เจียงหนิงให้หันมามองหน้า นางชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้า คนที่เจียงหนิงคิดว่าอาจจะเป็นศัตรูกลับกลายเป็นไป๋เหม่ย เพื่อนเก่าแก่ของมารดาของนาง
เจียงหนิงรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับน้ำหนักทั้งหมดถูกยกออกจากหัวใจ นางถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้พบว่าคนที่เข้าหานางไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นผู้ที่เคยสัญญาว่าจะดูแลนางในยามคับขัน ไป๋เหม่ยจ้องมองเจียงหนิงด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยอย่างให้สัญญาณว่านางยังคงอยู่เคียงข้างตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับมารดาของเจียงหนิง ก่อนจะกล่าวถามเจียงหนิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าเข้ามาในวังเพราะเหตุใด”
“ข้าต้องการมาแก้แค้นให้กับแม่”
“พระสนมเซี่ยวเป็นสนมคนโปรดของฮ่องเต้ เจ้าคิดจะทำอันใดได้”
“ข้าก็จะแย่งตำแหน่งคนโปรดมาจากพระสนมเซี่ยวยังไงล่ะ” เจียงหนิงกล่าวด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยแผนการร้าย
ท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักราวกับท้องฟ้าถูกฉีกขาด นางทั้งสองที่เพิ่งเสร็จสิ้นการสนทนาก็แยกย้ายจากกันไปคนละทาง เสียงฝนกระทบพื้นดังก้องไปทั่วบริเวณวังกว้างใหญ่ ในขณะฮ่องเต้และองครักษ์ส่วนพระองค์ก็ได้รีบเข้าหลบฝนในศาลาเล็กแห่งหนึ่งภายในสวนของวัง ศาลาเก่าแก่อยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ใหญ่ให้ความรู้สึกเย็นสบายแม้จะมีฝนเทลงมาอย่างต่อเนื่อง
ไม่นานนัก ร่างของเจียงหนิงก็ปรากฏขึ้น นางวิ่งเข้ามายังศาลาอย่างรวดเร็วเพื่อหลบฝน ร่างกายของนางเปียกชุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ผิวเนียนเปล่งปลั่งสะท้อนกับหยดน้ำฝนที่เกาะตามเส้นผมและผิวพรรณ เมื่อได้เข้ามายังกำบังฝน นางจึงเริ่มถอดเสื้อผ้าบางชิ้นที่ชุ่มน้ำออก ก่อนจะออกมาเล่นน้ำฝนอย่างสนุกสนานโดยไม่ทันสังเกตถึงการมีอยู่ของผู้อื่น
ทันใดนั้น เจียงหนิงรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่อยู่ใกล้ตัว นางหันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเดินออกมาดูที่บริเวณนอกฉากกั้น ในความมืดสลัว ร่างสูงใหญ่ของชายผู้หนึ่งยืนอยู่ในเงาสลัวของศาลา นางจ้องมองไปยังเขา ทว่าไม่อาจมองเห็นหน้าได้ชัดเจน
“เจ้าทำอะไรอยู่หรือ? มายืนอยู่เงียบ ๆ เช่นนี้ เจ้าจะทำให้ข้าตกใจตาย” นางกล่าวด้วยเสียงตำหนิ
ชายผู้นั้นไม่ตอบอะไรในทันที แต่หันมาทางนางอย่างช้าๆ ในยามที่แสงสลัวกระทบกับใบหน้าของเขา นางยังไม่รู้ว่าเขาคือฮ่องเต้ นางเพียงคิดว่าเขาเป็นทหารธรรมดาคนหนึ่ง
“เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ?” ชายผู้นั้นกล่าวถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่แฝงไปด้วยความสง่างาม
เจียงหนิงยักไหล่ก่อนจะตอบอย่างหยัน ๆ “ข้าจะรู้จักเจ้าได้เช่นไร? ในวังนี้มีทหารตั้งมากมาย ใครจะไปจำหมด!”
ขณะที่นางพูดอยู่นั้น ร่างกายของนางที่เปียกชุ่มน้ำอยู่ในสภาพเกือบเปลือยเปล่า นางมีเพียงเสื้อผ้าที่ถอดออกห่อหุ้มร่างกายไว้เพียงบางส่วน ความเย้ายวนของนางที่ไม่รู้ตัว ยิ่งทำให้ชายผู้นั้นซึ่งยืนอยู่ตรงหน้ายิ่งจ้องมองนางด้วยสายตาแฝงไปด้วยความเสน่ห์หา
ในชั่วขณะหนึ่ง ฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ก็ยังคงไม่กล่าววาจาใดเพิ่มเติม แต่สายตาที่จับจ้องไปยังร่างงามตรงหน้า กลับบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เขาเก็บงำเอาไว้อย่างลึกซึ้ง
ท่ามกลางเสียงฝนที่ยังคงตกกระหน่ำ เจียงหนิงจ้องมองชายตรงหน้าด้วยความสงสัยและโกรธเกรี้ยว นางกล่าวต่อด้วยเสียงดุดัน “ผู้ใดให้เจ้ามาแอบดูข้า” นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความระแวง ขณะเดียวกันนางก็กอดเสื้อผ้าที่ถอดออกไว้กับตัวอย่างแนบชิดเพื่อปกปิดเรือนร่าง
ฮ่องเต้ที่ยืนสงบนิ่งภายใต้ฉากกั้น กล่าวตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ แต่ทรงพลัง “ข้าไม่ได้มาแอบดูเจ้า ข้ามาอยู่ที่นี่ก่อนเจ้าด้วยซ้ำ”
เจียงหนิงขมวดคิ้ว แน่นอนว่านางไม่เชื่อคำพูดของชายผู้นี้ “ประเดี๋ยวข้า จะฟ้องแม่บ้านให้มาลงโทษเจ้า!” นางพูดขึ้นอย่างประชดประชัน คิดว่าเขาเป็นเพียงองครักษ์ที่คงจะกลัวบทลงโทษจากผู้ใหญ่ในวัง
แต่ฮ่องเต้กลับหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ในวังนี้ไม่มีผู้ใดกล้าลงโทษข้าได้ และข้าก็ไม่ใช่ทหารยามธรรมดา ข้าคือองครักษ์ของฮ่องเต้”ทว่าหลงเหวิน! กลับหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ในวังนี้ไม่มีผู้ใดกล้าลงโทษข้าได้ และข้าก็ไม่ใช่ทหารยามธรรมดา ข้าคือองครักษ์ของฮ่องเต้”
เจียงหนิงเบิกตากว้างเล็กน้อย แต่ยังคงไม่แสดงความกลัว นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ยอมแพ้ “เป็นองครักษ์แล้วอย่างไร? งั้นเจ้ารอข้าตรงนี้ก่อน ประเดี๋ยวข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้า”
หลังจากกล่าวจบ นางไม่รอให้เขาตอบ นางรีบวิ่งฝ่าสายฝนออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างของนางละลายหายไปในม่านฝนที่หนักหน่วง แม้ฮ่องเต้จะเรียกนางเสียงดัง นางก็ไม่ยอมฟัง กลับยิ่งวิ่งหนีไปไกลกว่าเดิม ปล่อยให้เขายืนอยู่ที่เดิมด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ในใจ
เมื่อทหารยามได้ยินเช่นนั้น ก็เริ่มลังเล กลัวว่าตนจะมีความผิดหากขัดขวาง จึงยอมให้เจียงหนิงและไป๋เหม่ยเข้าไปภายในตำหนักของเซี่ยวหลานแผนการของเจียงหนิงเป็นไปตามที่วางไว้ ปิงปิงสามารถสร้างความวุ่นวายและแทรกซึมเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ถูกขังไว้ในตำหนักเซี่ยวหลานได้ แต่เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ปิงปิงก็กลับมายังตำหนักของเจียงหนิงด้วยใบหน้าเศร้าหมองและท่าทางอิดโรยเจียงหนิงรีบก้าวเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าช่วยทุกคนได้หรือไม่? และสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”ปิงปิงก้มหน้าด้วยความโศกเศร้า “สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนักเพคะ ข้าเข้าไปช่วยมาได้เพียงสองคนเท่านั้น นอกนั้นถูกฆ่าตายหมดแล้วเพคะ”ไม่นานนัก อาซีและน้องสาวของนางก็เดินเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทางอ่อนแรงและซีดเซียว เจียงหนิงรีบสั่งให้สาวใช้ไปนำยามาให้อาซีดื่มเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่ก็ไม่ทันการณ์ ร่างของอาซีที่อ่อนแอมากอยู่แล้ว ทรุดลงและสิ้นใจต่อหน้าเจียงหนิง น้องสาวของอาซีร้องไห้เสียงดังด้วยความเสียใจที่พี่สาวของตนต้องจากไปเจียงหนิงมองภาพนี้ด้วยความสลดใจ นางรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยอาซีได้ แม้ว่านางจะพยายามเต็มที่แล้ว ความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นทำ
เซี่ยวหลานแสร้งทำเป็นยิ้มเยาะ “ท่านคงพูดล้อเล่นกับข้าใช่หรือไม่เพคะ” นางหันไปมองเจียงหนิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วถามอย่างท้าทาย “เจ้าเห็นว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”เจียงหนิงตอบด้วยท่าทางสุภาพ “ในด้านของรูปลักษณ์ ในความงามไม่มีผู้ใดในวังเทียบพระสนมเซี่ยวได้”แม้คำตอบจะฟังดูเป็นการยกย่อง แต่เซี่ยวหลานยังไม่หยุดเยาะเย้ย นางมองเจียงหนิงด้วยสายตาจับผิด “ข้าไม่ได้เจอเจ้าเพียงแค่สิงกว่า เหตุใดเจ้าถึงดูซีดเซียวเช่นนี้เล่า เจ้าเองก็อายุน้อยกว่าข้าตั้งหลายปี ไยหน้าตาถึงดูแก่กว่าข้ามากเช่นนี้เล่า หรือช่วงนี้เจ้ารับใช้ฮ่องเต้มากเกินไปใช่หรือไม่?”คำพูดที่เสียดแทงของเซี่ยวหลานทำให้บรรยากาศอึมขรึม แต่เจียงหนิงกลับยิ้มบาง ๆ นางไม่ตอบคำใด ๆเซี่ยวหลานหันกลับมาหาฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้มแฝงนัยยะ “ท่านไปที่ตำหนักข้าจะดีกว่าเพคะ ให้สนมเจียงได้พักผ่อนบ้าง จะได้ไม่ทำงานหนักจนเกินไปเพคะ”ฮ่องเต้พยักหน้าเห็นด้วย “อืม” ก่อนจะก้าวเดินตามเซี่ยวหลานไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งเจียงหนิงไว้เพียงลำพังหลังจากที่ทั้งสองเดินจากไปแล้ว ไป๋เหม่ยก้าวเข้ามาใกล้เจียงหนิงด้วยสีหน้าครุ่นคิด นางกระซิบเบา ๆ “ข้าได้กลิ่นยาจากตัวพระสนมเซี่ยวมาแต่ไกล
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะ หม่อมฉันใส่ชุดนี้สวยหรือไม่? นี่คือชุดที่ท่านมอบให้ข้าเมื่อวันก่อน” เซี่ยวหลานกล่าวพร้อมปรายตามองเจียงหนิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับฮ่องเต้ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นจากจานอาหารและหันมามองเซี่ยวหลานก่อนจะเอ่ยปากชื่นชม “เจ้าใส่ชุดนี้ช่างดูดียิ่งนัก”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยวหลานรู้สึกปลื้มใจจนฉีกยิ้มอย่างไม่กระดากอาย นางเต็มไปด้วยความสุขที่ได้รับคำชมจากฮ่องเต้ “ข้ามีชุดนอนที่ใช้เนื้อผ้าน้อยที่สุด จะให้ท่านดูด้วยเพคะ” เซี่ยวหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วยวนฮ่องเต้หัวเราะเบา ๆ และตอบกลับ “เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะไปดู”เซี่ยวหลานไม่ยอมหยุดแค่นั้น นางหันมามองฮ่องเต้พร้อมส่งสายตาเย้ายวน “เหตุใดต้องรอให้ถึงค่ำคืนนี้เล่าเพคะ?”ฮ่องเต้หันไปมองเจียงหนิงเพียงชั่วครู่ เมื่อเจียงหนิงเห็นท่าทีเช่นนั้น นางจึงลุกขึ้นทันที “ข้านึกได้ว่ามีธุระที่จะต้องไปทำ ข้าขอตัวก่อนเพคะ” เจียงหนิงลุกขึ้นย่อคำนับต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยความสงบขณะที่เจียงหนิงกำลังจะเดินออกจากห้อง เซี่ยวหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้ามาทำให้เจ้าไม่พอใจหรือไม่? เป็นอย่างไรบ้างที่โดนไล่ออกจากห้องเช่นนี้?”เจียงหนิงหันหลังเดินออกไป นางหยุดชั่
หลินมู่อย่างแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้านี้บังอาจยิ่งนัก ฆ่าลูกข้าถึงสองคน แล้วกล้าใส่ร้ายสนมเจียงอีก! ข้าคิดว่าเจ้าจะดีกว่าทุกคน เห็นหน้าใสซื่อ แต่ไม่คิดว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทหาร นำตัวนางผู้นี้ไปขังไว้ในห้องเย็น ห้ามมิให้นางออกมาจนกว่านางจะสิ้นชีพ!”หลินมู่ที่ยังตกใจจากการถูกตบ รีบคลานไปเกาะชายเสื้อของฮ่องเต้พลางอ้อนวอน “หากข้าต้องไปอยู่ในห้องเย็น ข้าคงตายแน่ ๆ โปรดเมตตาข้าด้วยเถิด!”ฮ่องเต้กลับมองนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าเคยบอกว่าเจ้าแข็งแกร่ง ออกรบมานักต่อนัก ไยคราวนี้กลับมาร้องขอความเมตตาเช่นนี้? เจ้าช่างโหดร้ายยิ่งนัก และข้าจะปลดพ่อเจ้าออกจากตำแหน่งในไม่ช้านี้ นำตัวนางออกไป!”หลังจากนั้น ฮ่องเต้หันกลับมาหาเจียงหนิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เดี๋ยวข้าจะกลับมา ข้าจัดการธุระให้เสร็จสิ้นก่อน ถิงถิง เจ้าดูแลสนมเจียงต่อเถิด”เมื่อฮ่องเต้ก้าวพ้นประตูห้องไป เจียงหนิงพลันลุกขึ้นนั่งด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ นางรู้ดีว่าแผนการของตนเองได้ผลอย่างสมบูรณ์เจียงหนิงนั่งเช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนแก้มขณะมองถิงถิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ด้วยความสงสัยในใจ นางจึงเอ่ยถามเบา ๆ “เหตุใดเจ้าจึงช่วยข้าหรือ?”ถิงถิงยิ้ม
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เจียงหนิงยืนอยู่บริเวณทางเดินในวังหลวง สายตาของนางจับจ้องไปที่หลินมู่ซึ่งกำลังเดินตรงมาทางนางพร้อมกับท่าทางมุ่งมั่น สาวใช้ของเจียงหนิงที่ยืนอยู่ข้างกายนางเหลือบมองหลินมู่และกล่าวขึ้นด้วยเสียงเบาแฝงความเย้ยหยัน “เมื่อฮ่องเต้กลับจากการล่าสัตว์ในป่าคราวก่อน ก็ไม่เคยเสด็จไปหาสนมหลินอีกเลยเพคะ”เมื่อหลินมู่เดินเข้ามาใกล้ เจียงหนิงและสาวใช้ต่างพูดคุยและจ้องมองหลินมู่ ทำให้หลินมู่รู้สึกถึงความดูถูกที่ซ่อนอยู่ในแววตาของทั้งสอง นางหยุดเดินและเอ่ยถามทันทีด้วยความโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้ากำลังนินทาข้าอยู่หรือไม่? หากใช่ก็ระวังปากพวกเจ้าไว้ให้ดี มิฉะนั้น ข้าจะฉีกปากเจ้าเป็นชิ้น ๆ”สาวใช้เจียงหนิงได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าตกใจ แต่ยังไม่ทันได้ตอบ เจียงหนิงกลับยิ้มเยาะและกล่าวอย่างเย้ยหยัน “เมื่อคืนเจ้าโกรธเกรี้ยวฮ่องเต้มากมิใช่หรือ จึงหยิบดาบฟาดฟันสิ่งของไปทั่ว? หากเจ้ารู้สึกเบื่อไยไม่รายรำเพลงดาบให้สบายใจเล่า เจ้ามีฝีมือเรื่องเพลงดาบมิใช่หรือ? ข้าอยากชมเป็นขวัญตายิ่งนัก”คำพูดนั้นทำให้หลินมู่โกรธจัด นางกัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าบังอาจมากไปแล้ว! เห็นข้าเป็นตัวตลกม
หลินมู่ได้แต่ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม “พระสนมเซี่ยว โปรดระงับโทสะก่อนเพคะ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไร พระสนมเจียงมีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายมากมาย ข้าตามเกมนางไม่ทันเพคะ”เซี่ยวหลานขมวดคิ้ว ขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม พลางถามเสียงเข้ม “เรื่องอันใดเจ้าสู้นางมิได้หรือ?”เมื่อหลินมู่ได้ยินคำถามนี้ นางก้มหน้าลงเล็กน้อย น้ำเสียงของนางสั่นเทาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตอบ “พระสนมเจียง... ตั้งครรภ์เพคะ”คำตอบนั้นทำให้เซี่ยวหลานตะลึงทันที นางยืนนิ่ง ความคิดวิ่งวุ่นในหัว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ ความรู้สึกสับสนและหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจของนาง นี่เป็นเหตุการณ์ที่นางไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น การที่พระสนมเจียงตั้งครรภ์จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่นางเคยวางแผนเอาไว้ในตำหนักอันเงียบสงบ ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์อย่างสง่างาม โดยมีเจียงหนิงนั่งอยู่ข้างกาย ท่าทางของฮ่องเต้ดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อพระองค์เหลือบมองสนมที่กำลังตั้งครรภ์ ด้วยสายตาแห่งความห่วงใย“ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ต้องดูแลตนเองให้ดี ยิ่งอาหารการกินก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ” ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่ยัง