เมื่อสายฝนเริ่มซาและเหลือเพียงเสียงหยดน้ำที่ตกกระทบพื้นหินในศาลา ฮ่องเต้เหลือบไปเห็นบางสิ่งตกอยู่บนพื้นใกล้จุดที่เจียงหนิงเคยยืน มันคือถุงหอมขนาดเล็ก กลิ่นหอมละมุนของลูกแพค่อย ๆ ลอยขึ้นมาจาง ๆ เมื่อเขาหยิบมันขึ้นมาดู ถุงหอมนั้นทำจากผ้าเนื้อดี ปักลวดลายอย่างประณีต ฮ่องเต้จ้องมองมันอย่างครุ่นคิดก่อนจะนำขึ้นมาสูดดมเบา ๆ กลิ่นหอมของลูกแพชวนให้เขาหวนคิดถึงใบหน้าของเจียงหนิงในวินาทีที่นางวิ่งฝ่าสายฝนจากไป รอยยิ้มเย้าแหย่ของนางยังคงติดอยู่ในความคิดของเขา
เขายืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จมอยู่ในความคิดถึงความลึกลับของหญิงสาวผู้นั้น ขณะที่มือยังคงกำถุงหอมไว้แน่น
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เจียงหนิงที่ไม่ยอมไปไหนไกล กำลังแอบดูฮ่องเต้อยู่จากมุมหนึ่งของศาลา แววตาของนางเต็มไปด้วยความพอใจ แผนการของนางเริ่มสำเร็จ นางตั้งใจทิ้งถุงหอมนี้ไว้เพื่อให้เขาติดกับดัก ความตั้งใจของนางคือทำให้ฮ่องเต้จดจำนางและสิ่งของนี้ไปตลอด
เมื่อฝนหยุดตก ฮ่องเต้ก็เสด็จกลับตำหนักของตนเอง ถุงหอมยังคงถูกถืออยู่ในมือของเขา เจียงหนิงมองตามหลังเขาไป รู้สึกอุ่นใจและพึงพอใจที่แผนของนางได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว รอยยิ้มมุมปากของนางเผยออกมาอย่างแผ่วเบา ขณะที่นางคิดถึงขั้นตอนถัดไปที่จะทำให้ฮ่องเต้ยิ่งติดบ่วงในแผนการของนาง
เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศในตำหนักของฮ่องเต้เงียบสงบ แต่กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดเล็กน้อย ฮ่องเต้มีรับสั่งให้สาวใช้ทุกคนในวังนำถุงหอมที่พวกนางทำขึ้นมาถวาย โดยมีขันทีคอยตรวจสอบถุงหอมทุกใบที่ส่งเข้ามาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ถุงหอมจำนวนมากถูกวางเรียงรายตรงหน้า ทว่าก็ยังไม่มีถุงใดเหมือนกับถุงหอมลูกแพที่ฮ่องเต้ตามหา
เซี่ยวหลาน ซึ่งเป็นหนึ่งในสตรีที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ยืนมองการคัดเลือกถุงหอมอย่างเงียบ ๆ อยู่ไม่ไกล สายตาของนางเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงและโกรธเคือง นางไม่อาจซ่อนความอิจฉาไว้ได้ เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ว่ามีสตรีอื่นที่เข้ามายั่วยวนฮ่องเต้จนทำให้พระองค์สนพระทัยถึงเพียงนี้
“นางคนไหนกันที่มายั่วยวนฮ่องเต้?” เซี่ยวหลานกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความโกรธ แม้น้ำเสียงของนางจะเบา แต่ก็เต็มไปด้วยอำนาจ สายตาของนางจ้องไปยังขันทีที่กำลังตรวจสอบถุงหอมอย่างไม่วางตา
สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบเสียงเบา “ท่านโปรดระงับโทสะเพคะ นี่เป็นพระบัญชาของฮ่องเต้ พระองค์เพียงต้องการตามหาถุงหอมนั้น”
แต่คำตอบนี้ไม่ได้ช่วยระงับโทสะของเซี่ยวหลานได้เลย นางจ้องเขม็งไปยังสาวใช้ผู้นั้นก่อนจะกล่าวอย่างเด็ดขาด “อย่าให้ข้ารู้เชียวว่านางผู้นี้เป็นผู้ใด ข้าเองจะจับมันถลกหนังมันทั้งเป็น” น้ำเสียงของนางเย็นชา แต่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
เซี่ยวหลานหันกลับไปมองที่ขันทีอีกครั้ง สายตาของนางยังคงจับจ้องไปที่เขาและถุงหอมที่ผ่านการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง รอคอยอย่างจดจ่อ หวังจะได้รู้ว่าใครคือสตรีที่กล้าเข้ามาท้าทายอำนาจและตำแหน่งของนางในหัวใจของฮ่องเต้
ขณะนั้น เจียงหนิงกำลังแต่งตัวอยู่ในห้องของนาง สายลมอ่อน ๆ พัดเข้ามาทางหน้าต่าง เส้นผมดำขลับของนางแผ่ยาวอยู่บนไหล่ขณะที่นางหวีผมหน้ากระจก ในห้องมีไป๋เหม่ยยืนอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองสนทนากันอย่างเปิดเผย ไป๋เหม่ยมองเจียงหนิงด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความสงสัยในสิ่งที่นางวางแผนไว้
“ข้าไม่แปลกใจเลยที่เจ้าไม่บอกฮ่องเต้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าเป็นใคร เจ้ารู้หรือไม่? ว่าฮ่องเต้ทรงคิดถึงเจ้าอยู่ตลอด แทบจะพลิกทั้งวังตามหาเจ้าแล้วกระมัง” ไป๋เหม่ยกล่าวพร้อมกับเหลือบตามองเจียงหนิงที่ยังคงตั้งใจหวีผมของนางอย่างละเมียดละไม
เจียงหนิงยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ขณะที่ดวงตาของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่กระจก “ใช่แล้ว สำหรับผู้ชาย สิ่งที่ได้มาง่ายเกินไปมันน่าเบื่อหน่าย มีเพียงสิ่งที่อยากได้แต่กลับไม่ได้มาเท่านั้นที่ทำให้จิตใจพวกเขากระวนกระวาย” นางกล่าวด้วยความมั่นใจ แฝงไปด้วยแผนการที่ล้ำลึก
ไป๋เหม่ยมองลูกสาวของเพื่อนสนิทของนางด้วยความสงสัยและเป็นห่วง “เจ้าปล่อยเวลาล่วงเลยมาถึงเพียงนี้ ควรรีบแต่งตัวออกไปหาฮ่องเต้ได้แล้วกระมัง ทว่าตอนนี้พระสนมเซี่ยวกำลังตามหาเจ้าอยู่ เจ้าต้องระวังอย่าให้พระสนมเซี่ยวพบเจ้าเสียก่อน ไม่งั้นเจ้าจะตายชนิดที่ว่าไม่มีที่ฝังศพ” ไป๋เหม่ยกล่าวเตือนเสียงหนักแน่น
เจียงหนิงหัวเราะเบา ๆ ขณะรวบผมขึ้นอย่างประณีต นางไม่แสดงความกังวลใด ๆ “แต่ข้าอยากเจอพระสนมเซี่ยวก่อน” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่ง
ไป๋เหม่ยถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “เจ้าจะบ้าไปแล้วหรือ? เจ้าอยากตายหรืออย่างไร?” นางถามด้วยความกังวลอย่างแท้จริง
เจียงหนิงหันมามองไป๋เหม่ยด้วยรอยยิ้มที่แฝงความเจ้าเล่ห์ “การพบกับฮ่องเต้เมื่อวันก่อนยังไม่ประทับใจเท่าใด คราวนี้ข้าจะให้ฮ่องเต้ประทับใจในตัวข้ามากขึ้น ข้าจะมัดใจฮ่องเต้ให้จงได้”
นางลุกขึ้นจากที่นั่ง หยิบถุงหอมเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยผงหอมอันลึกลับขึ้นมายื่นให้ไป๋เหม่ย “ท่านช่วยนำผงหอมนี้ไปโปรยให้ทั่วจนถึงวังฮ่องเต้ให้ข้าที หลังจากนี้เดี๋ยวพวกเราจะได้เห็นละครดี ๆ ไปพร้อมกัน”
ไป๋เหม่ยมองถุงหอมนั้นด้วยความลังเล ทว่าในที่สุดนางก็พยักหน้ารับปากทำตามที่เจียงหนิงสั่งโดยไม่ขัดคำสั่ง เจียงหนิงยิ้มอย่างพึงพอใจ ขณะที่นางเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแสดงครั้งสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น
ขณะนั้น เซี่ยวหลานกำลังยืนอยู่หน้าตำหนักของตนด้วยท่าทีเคร่งเครียด นางเพิ่งเสร็จสิ้นการสอบถามข่าวคราวเกี่ยวกับสตรีที่กล้ายั่วยวนฮ่องเต้ หัวใจของนางเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย นางไม่อาจอดทนต่อการมีหญิงอื่นเข้ามาท้าทายอำนาจและความโปรดปรานจากฮ่องเต้ได้
ทันใดนั้นเอง เจียงหนิงก็ปรากฏตัวขึ้น นางเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ราวกับเจ้าหญิงในชุดที่ประณีตและงดงาม มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแป้งหอมฟุ้งกระจายอยู่รอบตัว เมื่อเซี่ยวหลานหันมาเห็นเจียงหนิงในสภาพเช่นนี้ นางรู้สึกไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง ความไม่พอใจของนางพุ่งขึ้นในทันที
“ไยเจ้าแต่งตัวงามเช่นนี้ แถมยังใช้แป้งหอมอีก เจ้าคิดจะแต่งไปยั่วผู้ใดหรือ?” เซี่ยวหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ พลางก้าวเท้าเข้ามาใกล้เจียงหนิง
เจียงหนิงย่อกายลงเล็กน้อย ก้มศีรษะพร้อมกับตอบเสียงเบา “ข้าไม่ได้แต่งไปยั่วผู้ใดเพคะ”
เซี่ยวหลานยิ่งไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม นางเบ้ปากอย่างดูแคลน “ฮึ! ข้าก็มัวแต่ไปหาหญิงนอกวัง ที่แท้กลับเป็นสาวใช้ของข้านี่เอง”
เจียงหนิงยังคงสงบเสงี่ยมพลางย่อกายอีกครั้ง “พระสนมเซี่ยวโปรดระงับโทสะเสียก่อนเพคะ ข้าจะไปเปลี่ยนชุดประเดี๋ยวนี้”
แต่คำขอโทษของเจียงหนิงไม่ได้ช่วยทำให้เซี่ยวหลานสงบลง นางจ้องมองเจียงหนิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ากล้าดีอย่างไร คิดมาแต่งตัวเพื่อยั่วยุฮ่องเต้เช่นนี้!”
เมื่อสิ้นคำกล่าว นางก็เบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ ทันใดนั้นนางหันไปสั่งทหารเสียงดัง “ทหาร! มาจับตัวนางออกไปโบยให้ตายประเดี๋ยวนี้!”
เจียงหนิงที่ยืนอยู่ตรงหน้านางเมื่อได้ยินคำสั่งก็รู้สึกตระหนกในใจ แต่ยังคงสงบนิ่ง นางย่อกายลงคำนับแล้วกล่าวตอบด้วยเสียงอ่อนน้อม “พระสนมเซี่ยวโปรดระงับโทสะเถิดเพคะ ข้ามิบังอาจแต่งตัวยั่วยุฮ่องเต้แต่อย่างใดเพคะ”
คำพูดของเจียงหนิงเปรียบเสมือนสายลมเย็นที่พัดเบา ๆ เข้ามาชะลอความโกรธเกรี้ยวของเซี่ยวหลาน แม้นางจะยังไม่อ่อนลง แต่ก็ยังไม่สั่งให้ลงมือทันที ขณะที่สายตาของนางยังคงจับจ้องเจียงหนิงอย่างเฉียบขาด
ในขณะเดียวกันนั้น ฮ่องเต้และขันทีกำลังเดินเล่นอยู่หน้าตำหนัก ท่ามกลางบรรยากาศสงบในเช้าวันใหม่ แต่ภายในพระทัยของฮ่องเต้กลับเต็มไปด้วยความไม่พอพระทัย พระองค์หันมามองขันทีที่เดินอยู่ข้างกาย “เรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าจัดการได้ข่าวหรือไม่?” พระสุรเสียงของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกดดัน
ขันทีรีบก้มศีรษะคำนับเล็กน้อยก่อนตอบ “ข้าน้อยได้ค้นหาทั่ววังแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่พบผู้ใดที่ทำถุงหอมกลิ่นนั้นได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วและถอนหายใจด้วยความไม่พอพระทัย “ไร้ประโยชน์เสียจริงเชียว เพียงคนคนเดียวก็หามิได้”
ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินต่อไปนั้น กลิ่นแป้งหอมอ่อน ๆ ก็เริ่มลอยมาแตะจมูกพระองค์ ฮ่องเต้หยุดชะงักกลางทาง สายพระเนตรฉายแววความสนใจขึ้นมา “เจ้าได้กลิ่นนี่หรือไม่? กลิ่นนี้เหมือนถุงหอมใบนั้นที่ข้าตามหาอยู่”
ขันทีรีบสูดดมอากาศรอบตัวแล้วตอบทันที “กลิ่นนี้มาจากทางวังของพระสนมเซี่ยวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไม่รอช้า พระองค์หันไปสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ไปดูกัน”
ทันใดนั้น พระองค์ก็ก้าวเดินตรงไปยังตำหนักของเซี่ยวหลานอย่างรวดเร็ว ขันทีก็ตามไปติด ๆ ความเร่งรีบของพระองค์ชัดเจน สายพระเนตรมุ่งตรงไปที่วังของเซี่ยวหลาน ราวกับว่าคำตอบของสิ่งที่พระองค์ตามหามาตลอดอยู่ที่นั่น
ในขณะนั้น เซี่ยวหลานกำลังยืนดูทหารสองนายจับแขนของเจียงหนิงตึงไว้แน่น เจียงหนิงดิ้นรนพร้อมกับร้องขอชีวิต น้ำเสียงของนางสั่นสะท้าน “ข้ามิบังอาจยั่วยวนฮ่องเต้เพคะ” นางพูดพลางน้ำตาคลอเบ้า
เซี่ยวหลานยิ้มเยาะ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียม “วันนี้เจ้าไม่กล้าใช่ว่าวันหน้าเจ้าจะไม่กล้า ข้าจะกรีดหน้าเจ้าให้เสียโฉม เจ้าจะได้ไม่มีใบหน้าไปยั่วยวนฮ่องเต้ของข้าอีกต่อไป!”
นางจับมีดในมือเตรียมกรีดใบหน้าของเจียงหนิง ทันใดนั้นเสียงประกาศดังก้องมาจากหน้าตำหนัก “ฮ่องเต้เสด็จ!” ทำให้เซี่ยวหลานหยุดชะงัก นางขว้างมีดลงบนพื้นทันที แล้วรีบยืนตั้งตรงต้อนรับการเสด็จมาของฮ่องเต้
เมื่อฮ่องเต้ก้าวเข้ามาใกล้ สายพระเนตรของพระองค์จ้องตรงไปที่เซี่ยวหลาน “เจ้ากำลังทำอันใดอยู่หรือ?” ฮ่องเต้ถามเสียงเข้ม
เซี่ยวหลานย่อกายคำนับอย่างรวดเร็ว “ข้ากำลังลงโทษสาวใช้ที่กระทำความผิดเพคะ” นางตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ก่อนจะหันไปสั่งทหาร “เอานางออกไปโบยให้ตาย อย่าได้ให้ฮ่องเต้ทรงเคืองพระทัย!”
เจียงหนิงที่ยืนถูกจับอยู่ก็รีบก้มคำนับลงต่ำ “ได้โปรดพระสนมเซี่ยวจงเมตตาข้าน้อยด้วยเถิดเพคะ!” นางกล่าวขอความเมตตาอย่างไม่หยุดหย่อน น้ำเสียงสั่นเครือแฝงไปด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สายตาของนางสบเข้ากับพระเนตรของฮ่องเต้
เมื่อทหารยามได้ยินเช่นนั้น ก็เริ่มลังเล กลัวว่าตนจะมีความผิดหากขัดขวาง จึงยอมให้เจียงหนิงและไป๋เหม่ยเข้าไปภายในตำหนักของเซี่ยวหลานแผนการของเจียงหนิงเป็นไปตามที่วางไว้ ปิงปิงสามารถสร้างความวุ่นวายและแทรกซึมเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ถูกขังไว้ในตำหนักเซี่ยวหลานได้ แต่เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ปิงปิงก็กลับมายังตำหนักของเจียงหนิงด้วยใบหน้าเศร้าหมองและท่าทางอิดโรยเจียงหนิงรีบก้าวเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าช่วยทุกคนได้หรือไม่? และสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”ปิงปิงก้มหน้าด้วยความโศกเศร้า “สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนักเพคะ ข้าเข้าไปช่วยมาได้เพียงสองคนเท่านั้น นอกนั้นถูกฆ่าตายหมดแล้วเพคะ”ไม่นานนัก อาซีและน้องสาวของนางก็เดินเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทางอ่อนแรงและซีดเซียว เจียงหนิงรีบสั่งให้สาวใช้ไปนำยามาให้อาซีดื่มเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่ก็ไม่ทันการณ์ ร่างของอาซีที่อ่อนแอมากอยู่แล้ว ทรุดลงและสิ้นใจต่อหน้าเจียงหนิง น้องสาวของอาซีร้องไห้เสียงดังด้วยความเสียใจที่พี่สาวของตนต้องจากไปเจียงหนิงมองภาพนี้ด้วยความสลดใจ นางรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยอาซีได้ แม้ว่านางจะพยายามเต็มที่แล้ว ความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นทำ
เซี่ยวหลานแสร้งทำเป็นยิ้มเยาะ “ท่านคงพูดล้อเล่นกับข้าใช่หรือไม่เพคะ” นางหันไปมองเจียงหนิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วถามอย่างท้าทาย “เจ้าเห็นว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”เจียงหนิงตอบด้วยท่าทางสุภาพ “ในด้านของรูปลักษณ์ ในความงามไม่มีผู้ใดในวังเทียบพระสนมเซี่ยวได้”แม้คำตอบจะฟังดูเป็นการยกย่อง แต่เซี่ยวหลานยังไม่หยุดเยาะเย้ย นางมองเจียงหนิงด้วยสายตาจับผิด “ข้าไม่ได้เจอเจ้าเพียงแค่สิงกว่า เหตุใดเจ้าถึงดูซีดเซียวเช่นนี้เล่า เจ้าเองก็อายุน้อยกว่าข้าตั้งหลายปี ไยหน้าตาถึงดูแก่กว่าข้ามากเช่นนี้เล่า หรือช่วงนี้เจ้ารับใช้ฮ่องเต้มากเกินไปใช่หรือไม่?”คำพูดที่เสียดแทงของเซี่ยวหลานทำให้บรรยากาศอึมขรึม แต่เจียงหนิงกลับยิ้มบาง ๆ นางไม่ตอบคำใด ๆเซี่ยวหลานหันกลับมาหาฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้มแฝงนัยยะ “ท่านไปที่ตำหนักข้าจะดีกว่าเพคะ ให้สนมเจียงได้พักผ่อนบ้าง จะได้ไม่ทำงานหนักจนเกินไปเพคะ”ฮ่องเต้พยักหน้าเห็นด้วย “อืม” ก่อนจะก้าวเดินตามเซี่ยวหลานไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งเจียงหนิงไว้เพียงลำพังหลังจากที่ทั้งสองเดินจากไปแล้ว ไป๋เหม่ยก้าวเข้ามาใกล้เจียงหนิงด้วยสีหน้าครุ่นคิด นางกระซิบเบา ๆ “ข้าได้กลิ่นยาจากตัวพระสนมเซี่ยวมาแต่ไกล
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะ หม่อมฉันใส่ชุดนี้สวยหรือไม่? นี่คือชุดที่ท่านมอบให้ข้าเมื่อวันก่อน” เซี่ยวหลานกล่าวพร้อมปรายตามองเจียงหนิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับฮ่องเต้ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นจากจานอาหารและหันมามองเซี่ยวหลานก่อนจะเอ่ยปากชื่นชม “เจ้าใส่ชุดนี้ช่างดูดียิ่งนัก”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยวหลานรู้สึกปลื้มใจจนฉีกยิ้มอย่างไม่กระดากอาย นางเต็มไปด้วยความสุขที่ได้รับคำชมจากฮ่องเต้ “ข้ามีชุดนอนที่ใช้เนื้อผ้าน้อยที่สุด จะให้ท่านดูด้วยเพคะ” เซี่ยวหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วยวนฮ่องเต้หัวเราะเบา ๆ และตอบกลับ “เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะไปดู”เซี่ยวหลานไม่ยอมหยุดแค่นั้น นางหันมามองฮ่องเต้พร้อมส่งสายตาเย้ายวน “เหตุใดต้องรอให้ถึงค่ำคืนนี้เล่าเพคะ?”ฮ่องเต้หันไปมองเจียงหนิงเพียงชั่วครู่ เมื่อเจียงหนิงเห็นท่าทีเช่นนั้น นางจึงลุกขึ้นทันที “ข้านึกได้ว่ามีธุระที่จะต้องไปทำ ข้าขอตัวก่อนเพคะ” เจียงหนิงลุกขึ้นย่อคำนับต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยความสงบขณะที่เจียงหนิงกำลังจะเดินออกจากห้อง เซี่ยวหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้ามาทำให้เจ้าไม่พอใจหรือไม่? เป็นอย่างไรบ้างที่โดนไล่ออกจากห้องเช่นนี้?”เจียงหนิงหันหลังเดินออกไป นางหยุดชั่
หลินมู่อย่างแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้านี้บังอาจยิ่งนัก ฆ่าลูกข้าถึงสองคน แล้วกล้าใส่ร้ายสนมเจียงอีก! ข้าคิดว่าเจ้าจะดีกว่าทุกคน เห็นหน้าใสซื่อ แต่ไม่คิดว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทหาร นำตัวนางผู้นี้ไปขังไว้ในห้องเย็น ห้ามมิให้นางออกมาจนกว่านางจะสิ้นชีพ!”หลินมู่ที่ยังตกใจจากการถูกตบ รีบคลานไปเกาะชายเสื้อของฮ่องเต้พลางอ้อนวอน “หากข้าต้องไปอยู่ในห้องเย็น ข้าคงตายแน่ ๆ โปรดเมตตาข้าด้วยเถิด!”ฮ่องเต้กลับมองนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าเคยบอกว่าเจ้าแข็งแกร่ง ออกรบมานักต่อนัก ไยคราวนี้กลับมาร้องขอความเมตตาเช่นนี้? เจ้าช่างโหดร้ายยิ่งนัก และข้าจะปลดพ่อเจ้าออกจากตำแหน่งในไม่ช้านี้ นำตัวนางออกไป!”หลังจากนั้น ฮ่องเต้หันกลับมาหาเจียงหนิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เดี๋ยวข้าจะกลับมา ข้าจัดการธุระให้เสร็จสิ้นก่อน ถิงถิง เจ้าดูแลสนมเจียงต่อเถิด”เมื่อฮ่องเต้ก้าวพ้นประตูห้องไป เจียงหนิงพลันลุกขึ้นนั่งด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ นางรู้ดีว่าแผนการของตนเองได้ผลอย่างสมบูรณ์เจียงหนิงนั่งเช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนแก้มขณะมองถิงถิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ด้วยความสงสัยในใจ นางจึงเอ่ยถามเบา ๆ “เหตุใดเจ้าจึงช่วยข้าหรือ?”ถิงถิงยิ้ม
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เจียงหนิงยืนอยู่บริเวณทางเดินในวังหลวง สายตาของนางจับจ้องไปที่หลินมู่ซึ่งกำลังเดินตรงมาทางนางพร้อมกับท่าทางมุ่งมั่น สาวใช้ของเจียงหนิงที่ยืนอยู่ข้างกายนางเหลือบมองหลินมู่และกล่าวขึ้นด้วยเสียงเบาแฝงความเย้ยหยัน “เมื่อฮ่องเต้กลับจากการล่าสัตว์ในป่าคราวก่อน ก็ไม่เคยเสด็จไปหาสนมหลินอีกเลยเพคะ”เมื่อหลินมู่เดินเข้ามาใกล้ เจียงหนิงและสาวใช้ต่างพูดคุยและจ้องมองหลินมู่ ทำให้หลินมู่รู้สึกถึงความดูถูกที่ซ่อนอยู่ในแววตาของทั้งสอง นางหยุดเดินและเอ่ยถามทันทีด้วยความโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้ากำลังนินทาข้าอยู่หรือไม่? หากใช่ก็ระวังปากพวกเจ้าไว้ให้ดี มิฉะนั้น ข้าจะฉีกปากเจ้าเป็นชิ้น ๆ”สาวใช้เจียงหนิงได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าตกใจ แต่ยังไม่ทันได้ตอบ เจียงหนิงกลับยิ้มเยาะและกล่าวอย่างเย้ยหยัน “เมื่อคืนเจ้าโกรธเกรี้ยวฮ่องเต้มากมิใช่หรือ จึงหยิบดาบฟาดฟันสิ่งของไปทั่ว? หากเจ้ารู้สึกเบื่อไยไม่รายรำเพลงดาบให้สบายใจเล่า เจ้ามีฝีมือเรื่องเพลงดาบมิใช่หรือ? ข้าอยากชมเป็นขวัญตายิ่งนัก”คำพูดนั้นทำให้หลินมู่โกรธจัด นางกัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าบังอาจมากไปแล้ว! เห็นข้าเป็นตัวตลกม
หลินมู่ได้แต่ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม “พระสนมเซี่ยว โปรดระงับโทสะก่อนเพคะ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไร พระสนมเจียงมีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายมากมาย ข้าตามเกมนางไม่ทันเพคะ”เซี่ยวหลานขมวดคิ้ว ขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม พลางถามเสียงเข้ม “เรื่องอันใดเจ้าสู้นางมิได้หรือ?”เมื่อหลินมู่ได้ยินคำถามนี้ นางก้มหน้าลงเล็กน้อย น้ำเสียงของนางสั่นเทาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตอบ “พระสนมเจียง... ตั้งครรภ์เพคะ”คำตอบนั้นทำให้เซี่ยวหลานตะลึงทันที นางยืนนิ่ง ความคิดวิ่งวุ่นในหัว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ ความรู้สึกสับสนและหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจของนาง นี่เป็นเหตุการณ์ที่นางไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น การที่พระสนมเจียงตั้งครรภ์จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่นางเคยวางแผนเอาไว้ในตำหนักอันเงียบสงบ ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์อย่างสง่างาม โดยมีเจียงหนิงนั่งอยู่ข้างกาย ท่าทางของฮ่องเต้ดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อพระองค์เหลือบมองสนมที่กำลังตั้งครรภ์ ด้วยสายตาแห่งความห่วงใย“ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ต้องดูแลตนเองให้ดี ยิ่งอาหารการกินก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ” ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่ยัง