ยายพิศมองลูกสาวเพียงคนเดียวที่กำลังเดินตรงมาทางนี้พลางอมยิ้ม เพราะทันทีที่กลับมาจากสอนหนังสือในโรงเรียนประถมประจำชุมชน ความร้อนใจที่อยากรู้คำตอบทำให้ปานใจไม่แม้แต่จะแวะเอากระเป๋าที่มีเอกสารเตรียมการสอนและหนังสือหลากหลายเล่มที่หอบกลับมาจากโรงเรียนไปเก็บในห้องอย่างเคย ก่อนจะออกมาพูดคุยกันตามประสาแม่ลูกที่อยู่ด้วยกันสองคนในบ้านหลังใหญ่นี้
“เป็นยังไงบ้างคะแม่ ป้าเล็กแกยอมไหมคะ” ปานใจเอ่ยถามขณะทรุดกายลงนั่งพับเพียบด้านหน้าผู้เป็นแม่
“มีเหรอจะไม่ยอม แม่ก็รู้ว่าแกยอมอย่างเสียไม่ได้นะ ทีแรกแม่ก็คิดจะถอดใจเพราะสีหน้าแกแข็งมาก แต่เห็นเด็กแล้วมันสังเวชใจจริง หน้าตารึก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา จะมองมุมไหนก็ไม่ผิดไปจากหนูฟ้าเลยสักนิด แต่แววตานี่สิ ฉลาดเอาเรื่องเลยละ ฉลาดรู้ฉลาดอยู่ และก็ฉลาดที่จะพูดด้วยนะ”
คนพูดอมยิ้มด้วยความปรานีและภูมิใจในตัวลูกสาวที่เป็นห่วงเป็นใยเด็กน้อย และยิ่งยิ้มมากขึ้นเมื่อนึกถึงแววตาน่าเอ็นดูพร้อมคำพูดส่อแววฉลาดนั้น
“ยังไงกันคะแม่” ปานใจถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะรับรู้ได้ถึงความเอ็นดูที่แม่มีต่อเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้น
หญิงสาวยกฝ่าเท้าผู้เป็นแม่มาไว้บนตักและเริ่มบีบนวดเบาๆ คลายเส้นและความเมื่อยล้าซึ่งนับเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอเมื่อกลับถึงบ้าน เพราะแม่อายุมากแล้วจะให้ไปออกกำลังกายหักโหมก็คงไม่ได้ การบีบนวดจึงเป็นการยืดเส้นยืดสายที่ดีที่สุด
“ก็หนูปานคิดดูสิลูก พอแม่ถามว่าอยากไปโรงเรียนไหม เด็กนั่นหันไปมองหน้าพี่เล็กแล้วตอบแม่ว่า หนูแล้วแต่ยาย พอพี่เล็กแกพูดเรื่องค่าขนมไปโรงเรียน หนูหล้าแกก็บอกว่า หนูจะไม่กินอะไรเลย แม่งี้น้ำตาจะไหล อยากจะรู้นักว่าหนูฟ้าใจคอทำด้วยอะไร ทำไมปล่อยให้ลูกลำบากอย่างนี้”
“ฟ้าเขาคงมีเหตุผลของเขาน่ะค่ะแม่”
เสียงสั่นเครือของแม่ทำให้ปานใจสะท้านเข้าไปถึงหัวอก ขนาดแม่ของเธอเป็นคนอื่นยังรู้สึกสงสารเด็กที่ขาดโอกาสสำหรับทุกอย่างที่ควรจะมีจะเป็น แล้วทำไมคนบ้านนั้นจึงมองข้ามในสิ่งนี้ เด็กหญิงตัวน้อยที่เธอเห็นหอบตะกร้าข้าวต้มมัดเข้าไปในตรอกนายชัยซึ่งเป็นบ่อนการพนันที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ความสงสัยใคร่รู้ว่าเด็กหญิงตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้เป็นลูกหลานใครกัน ทำไมถึงได้ปล่อยให้เด็กเข้าไปในที่อันตรายอย่างนั้นและจะปล่อยไว้ก็ไม่ได้จึงต้องเดินตามเข้าไปดู
‘อ้าว! ครูปานมาทำอะไรในนี้ อย่าบอกนะว่าจะมาเล่น’ เสียงร้องทักจากแม่ค้าในบ่อนทำให้ครูปานใจหันไปยิ้มเพราะเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น
‘โธ่ พี่อิ่ม ปานเล่นเป็นที่ไหนกันจ๊ะ แค่จะตามมาดูเด็กน่ะ’
‘เด็ก อ้อ อีหล้าเรอะ’
‘ชื่อหล้าหรือจ๊ะ’
‘อ้าว ครูปานไม่รู้จักเด็กมันหรอกเรอะ ก็หลานยายเล็กลูกนังฟ้ามันไง นี่แม่มันมาทิ้งไว้สามเดือนแล้ว ยายเล็กบ่นทุกวัน แต่เด็กมันดีนะ เห็นมันตัวแค่นี้แต่มันช่วยงานยายมันทุกอย่างนั่นแหละ นี่มันก็เอาขนมมาขายทุกวัน’
‘แล้วเขาคิดตังค์ถูกหรือจ๊ะ ตัวเล็กกระเปี๊ยกเดียว’
‘ฮ่าๆ... มันจะถูกอาไร้ หนังสือหนังหาก็ไม่ได้เรียน นี่ก็อาศัยแค่ว่าคนซื้อไม่โกงเท่านั้นแหละ จ่ายเงินเอง ทอนเงินเอง ถ้าเป็นร้านพี่นะ คงได้เจ๊งไปนานแล้ว’
ใบหน้าเศร้าๆ รอยยิ้ม และคำขอบคุณที่เด็กหญิงที่มีให้แก่คนซื้อทำให้เธอรู้สึกตื้อขึ้นมาในอก เพราะไม่คิดว่า ฟ้ารุ่ง เพื่อนสนิทในวัยเด็กที่แสนจะอ่อนหวานและมองเห็นแต่ความสวยงามของโลกใบนี้จะทอดทิ้งลูกน้อยไปอย่างไม่ไยดี ยิ่งเห็นเด็กน้อยมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับผู้เป็นแม่มาก เธอก็ยิ่งสะท้อนใจจนไม่สามารถสลัดความไม่สบายใจนี้ออกไปได้เลยสักวัน จนต้องคิดหาหนทางให้เด็กได้เรียนหนังสือและแม่ของเธอก็เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นยายพิศเสียอย่าง ไม่ว่าใครในพื้นที่ก็ต้องเกรงใจ
“คุยอะไรกันครับคุณแม่ คุณลูก”
“คุณย่า คุณอา”
เสียงทุ้มเจือความสุภาพและเสียงใสของเด็กชายที่กำลังจะกลายเป็นหนุ่มน้อยดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้หญิงสาวต่างวัยทั้งสองต้องหันมองและยิ้มด้วยความสุข
“ตาธาน! โถ...พ่อรบหลานย่า”
ผู้เป็นย่าอ้าแขนรอรับร่างเด็กชายตัวน้อยที่โตขึ้นคงจะหล่อไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ ส่วนคนที่มีศักดิ์เป็นอาก็อ้าแขนรอหลานชายที่จะโผเข้ามาหาด้วยความคิดถึงเช่นเดียวกัน
.
.
สิ่งที่ได้ยินเปรียบเหมือนปลายเข็มที่ทิ่มตำหัวใจอยู่ตลอดเวลา และถูกกดให้จมลึกมากยิ่งขึ้นเมื่อรับรู้ได้ถึงความเอื้ออารีที่แม่มีให้แก่ลูกของฟ้ารุ่งอีกครั้ง ทั้งที่พี่สาวของเธอทำให้แม่ช้ำใจจนกลายเป็นแบบนี้ แม่ที่เคยใจดีกับลูกเสมอกลับกลายเป็นคนแก่ที่เป็นโรคซึมเศร้าและอมทุกข์เพราะความรักลูกมาก เมื่อเสียใจมากก็ทำให้ไม่มีแรงกายแรงใจจะทำอะไรต่อได้ ลูกอีกสามคนที่เหลือจึงถูกทิ้งขว้างไม่ดูแลเอาใจใส่เหมือนดังเคย แต่เมื่อทำใจได้แม่ก็กลายเป็นคนเย็นชาไม่เคยคุยเล่นหัวกับลูกคนใดอีกเลย จนกลายเป็นว่าความสัมพันธ์ของทุกคนในบ้านไม่ต่างไปจากสนิมเหล็กที่รอวันผุกร่อน และก็คงใกล้เวลาเต็มที เมื่อแม่มีทีท่าว่าจะยอมรับความเจ็บปวดที่คาดว่าจะเกิดซ้ำอีกครั้ง
เสียงไก่ชาวบ้านที่เลี้ยงไว้ส่งสัญญาณว่าเวลารุ่งอรุณมาถึงแล้ว ขณะที่เปลือกตาสวยหวานเริ่มกะพริบถี่ก่อนใบหน้าและเรือนกายจะร้อนผ่าวขึ้นเพราะเนื้อกายเปล่าเปลือยที่กอดกระชับและซ้อนทับอยู่ด้านหลัง เธอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เมื่อความร้อนแรงมอดดับไปผิวเนื้อก็สัมผัสได้ถึงความชื้นเย็นของน้ำค้าง ดวงตาสวยหวานมองหาผ้าห่มเพื่อคลุมกายแต่ติดบางสิ่ง ทำให้เธอต้องขยับอย่างระวัง “อื้อ...จะไปไหนล่ะครับ นอนต่อเถอะ” ท่อนแขนที่กอดกระชับร่างบางแนบแน่นอย่างระมัดระวัง ทำให้มัตติกาเริ่มสั่นหวั่นไหวอีกครั้ง “ติ๊ก้าจะห่มผ้า” ฝ่ามือใหญ่สัมผัสไปมาบนเนื้อตัวรับรู้ได้ถึงความเย็นชื้นของผิวเนื้อ ก่อนเรือนกายแข็งแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามแห่งบุรุษจะลุกขึ้นแต่ก็ยังไม่วายจะรั้งร่างเปล่าเปลือยของเธอให้ลุกตาม มัตติกาผวากอดรัดร่างของเขาแน่น ทั่วทั้งใบหน้าและเนื้อกายร้อนผ่าวเพราะสิ่งที่เขากระทำ ศิรชัชโอบอุ้มร่างเปล่าเปลือยของเธอไม่ยอมให้แยกออกจากกันจนเธอต้องผวากอดรัดเขาเพราะกลัวตก ส่วนเขาได้แต่หัวเราะไปมาในลำคอ ผ้าห่มผืนบางที่ตกอยู่ปลายเตียงถูกเขี่ยขึ้นไปไว้บนเตียง ไม่มีทีท่าว่าเขาจะปล่อยเธอ
ความอุ่นวาบทาบทับบดขยี้รุกเร้ารุนแรงตามอารมณ์ ทำให้ร่างบางที่พยายามจะต่อต้านนิ่งขึงดั่งถูกสตาฟฟ์ ความรุนแรงร้อนซ่านแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนนุ่มนวลเพราะเจ้าของร่างเล็กสั่นสะท้านไปทั้งตัว เรียวลิ้นอุ่นจนเกือบร้อนชอนชิมความหวานจากภายในและพยายามดุนดึงลิ้นน้อยให้สัมผัสกันและกัน ในขณะที่ฝ่ามือของเขาไม่ได้ละไปจากความอวบอิ่มนั้นเลยสักนิด กลับกันมันกลับกำลังทำหน้าที่สอดประสานกับฝ่ามืออีกข้างที่ตรงเข้าโอบรัดเบื้องหลังและไต่ขึ้นไปจนสะกิดตระขอบราเซียร์ให้หลุดออก ปล่อยให้นิ้วมือแกร่งปนร้อนเข้าไปแตะต้องสัมผัสร่างที่สั่นสะท้านไปกับสิ่งรุกเร้าครั้งแรกในชีวิต “อืม...เป็นไง คุณคนขายข่าว ถึงกับเคลิ้มเลยใช่ไหม ถ้าคุณเอาข่าวผมลง ผมก็จะบอกคนอื่นว่าคุณมายั่วผมแต่ผมไม่เล่นด้วย คุณเลยเล่นงานผมด้วยวิธีนี้ ไหนดูซิมีภาพอะไรบ้าง” ภีมคว้ากล้องดิจิทัลที่คล้องคอพราวรุ้งขึ้นมากดดูภาพที่เธอถ่ายไว้ ซึ่งไม่มีภาพอะไรที่ผิดปกติ จะมีก็แค่ภาพที่เขามองมัตติกาด้วยความเสียดายเท่านั้น และภาพที่ถ่ายทอดความรู้สึกเยี่ยงนี้เขาจะกดทิ้งก็เสียดายจริงๆ ต้องนับว่าเธอถ่ายภาพได้ดีมากๆ “ก็ไม่เห็นมีอะไรน
“พี่แชมป์ขา...ติ๊ก้าไม่ไหว...” “เรียกใหม่ครับทูนหัว...เรียกพี่...เร็วครับ!..” “อื้อ...พี่นักรบขา...เร็วค่ะ!” เสียงกรีดร้องถูกกักเก็บไว้ด้วยริมฝีปากร้อนพร้อมกับลาวาอุ่นซ่านถูกปลดปล่อยเข้าสู่ใจกลางดงดอกไม้ บ่าวสาวกอดกันกลมในท่านั่งอยู่บนเตียง “ปล่อยติ๊ก้าก่อนนะคะ” “ไม่ปล่อยได้ไหมครับ พี่ยังไม่อิ่มเลย” “ปล่อยนะ แค่นี้ก็...” “แค่นี้อะไรกันครับ พี่แชมป์นะได้เป็นสิบนะครับ ลืมไปแล้วเหรอ ยิ่งตอนนี้เป็นพี่นักรบขาของน้องหล้าด้วย รับรองว่ากว่าจะถึงเช้าพี่ต้องทำลายสถิติแน่ๆ” “บ้า! พี่แชมป์ ปล่อยติ๊ก้านะ” มัตติกาพยายามดิ้นรนจะลงจากตักของศิรชัชแต่ดูเหมือนยิ่งดิ้น ภายในก็กลับมาตื่นตัวอีกครั้ง “อย่าขยับ...ขยับได้แล้วครับ พี่ช่วย...” ฝ่ามือจับสะโพกผายขยับขึ้นลงจนมัตติกาเสียหลักผวากอดรัดรอบต้นคอของเขาแน่น “พี่แชมป์บ้า!..”.. เจ้าสาวมีอาการสะเทิ้นอายและหน้าแดงระเรื่อในยามที่ผู้ใหญ่ต่างพากันมาอวยพรส่งตัวบ่าวสาว ผิดกับเจ้าบ่าวที่อมยิ้มละมัยราวกับคนได้รับชัยชนะจากการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์
‘พี่ดวงขอแสดงความยินดีกับน้องติ๊ก้าและก็แชมป์ด้วยค่ะ ขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป ขอบคุณสำหรับชีวิตใหม่และครอบครัวที่อบอุ่น ขอบคุณจริงๆ’ .. ดวงตาสวยหวานไล่สายตาไปมาบนจดหมายที่น้าชายเอามาส่งให้ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความสุข เธอมีความสุขเพราะคนรอบข้างมีความสุข เพียงแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับชีวิตหนึ่งที่เกิดมาบนโลกใบนี้ แล้วคนเราจะยังต้องการอะไรกันอีก ความต้องการที่แท้จริงก็เพียงการได้รับความรักและการยอมรับจากคนที่เรารักเท่านั้นไม่ใช่หรือ ซึ่งทั้งหมดนี้เธอมีพร้อมหมดแล้ว และเธอก็มั่นใจว่าในเวลานี้กลิกาก็คงมีความสุขเช่นเดียวกัน “อ่านอะไรอยู่ครับ น้องหล้า” อ้อมกอดกระชับแนบแน่นจากเบื้องหลังก่อนจะฝังจมูกลงกับซอกคอหอมกรุ่นเย้าแหย่ให้เจ้าสาวแสนสวยของเขาจั๊กจี้เล่น “อื้อ...พี่แชมป์นี่ ปล่อยก่อนสิคะ” “ไม่เอาเรียกใหม่” “เรียกใหม่” ดวงตาสวยหวานครุ่นคิดไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาบอก “ต้องเรียกว่ายังไง ก็ตกลงกันแล้ว” “เอ่อ...ใครเขาอยากจะเรียกกัน ไหนว่าไม่เคยมีความลับ” ใบหน้างามเสมองไปทางอื่นเพราะใครกันจะอยากเรียกเขาแบบนั้น ศิรชัชต
ยายเล็กกระชับฝ่ามือของเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาไว้เคียงกัน น้ำตาของผู้เป็นยายไหลอาบใบหน้าไม่ขาดสาย ทว่าเป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม เมื่อสิ่งที่แกหวังอย่างที่สุดเป็นจริงได้ ‘ก้อนดินก้อนนี้มีคุณค่าที่จะเพาะปลูกสิ่งใดก็เจริญงอกงามรุ่งเรือง โดยเพราะความดีงามได้เจริญงอกงามเกินกว่าสิ่งใด’ อย่างแท้จริง “อ้าวแม่! อวยพรให้หลานมันสิ เอาแต่ร้องไห้” ลมรำเพยเอ่ยแซวทั้งที่ตนเองนั้นก็มีสภาพไม่แตกต่างไปจากยายเล็กสักเท่าไร ดวงตาของผู้เป็นน้าสาวเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา วันเวลาที่ถูกจำกัดอิสรภาพไม่เคยมีคำว่าเสียดาย เพราะสิ่งที่เธอสูญเสียไปนั้นได้รับการตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด ‘ความสุข ความรักในครอบครัวได้กลับมาแล้ว’ และเธอก็ได้ไถ่โทษจนหมดสิ้นแล้ว “ยายขอให้หล้ากับพ่อแชมป์มีความสุข ขอให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มั่งมีศรีสุข ขอให้...” คำพูดตีบตันเพราะน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มยังไหลอาบไม่ขาดสาย ดวงตาฝ้าฟางด้วยวาวน้ำตามองเห็นภาพความสุขตรงหน้า หลานสาวของแกกำลังจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาและได้คนที่ดีเหมาะสมกันทุกประการ ทำให้แกถึงกับพูดต่อไม่ออก “แม่...” ลมรำเพยกระชับฝ่ามือผู
“ติ๊ก้า...เสร็จหรือยังจ๊ะ คุณแชมป์เขามาแล้วนะ” แองจี้เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องก่อนจะอมยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าสะสวยอิ่มเอมด้วยความสุข “ไปกันเถอะน้องสาวของเจ๊ คุณแม่ลมเขารอทำหน้าที่แล้วนะจ๊ะ” ลมรำเพยรับหน้าที่เป็นแม่ของเจ้าสาวในวันนี้ เพราะยายเล็กนั้นไม่แข็งแรงพอที่จะรับบทแม่งาน จะหยิบจะฉวยอะไรก็ยาก ส่วนคุณยายพิศและคุณอาปานใจก็ติดต้องไปธุระให้หลานชายในวันนี้พอดิบพอดี หากเธอจะเลื่อนไปก่อนก็ไม่ได้ เพราะกว่าคุณย่าของศิรชัชจะหาฤกษ์ที่ดีที่สุดนี้มาให้ก็ต้องรอนานถึงสองเดือนด้วยกัน และหากพลาดฤกษ์นี้ไปคงต้องรอไปจนถึงปีหน้า ถ้าให้รอถึงป่านนั้นศิรชัชคงไม่ยอมแน่ เขาคงจะประกาศตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของและถือวิสาสะย้ายมาอยู่กับเธอเบ็ดเสร็จ เพราะฉะนั้นคุณแม่ลมรำเพยจึงต้องแต่งองค์ให้สมฐานะแม่ของเจ้าสาวในวันนี้ เจ้าบ่าวรูปหล่อมากปานเทพบุตรของเธออยู่ในชุดไทยพระราชทานขลิบทองสีงาช้างเช่นเดียวกัน ดวงตาคมเข้มของเขาแวววาวเรียกเลือดลมสูบฉีดไปทั่วทั้งใบหน้าได้ในทันทีที่สบสายตา เพราะแววตานั้นไม่ปกปิดความปรารถนาเลยสักนิด และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าของเธอเลยสักเสี้ยวนา