เด็กหญิงหล้าที่เพิ่งจะอายุสามขวบกว่าต้องระหกระเหินไปตามบ้านญาติของสามี เพราะฟ้ารุ่งต้องไปทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูก และบ่อยครั้งที่แกได้รับรู้ความทุกข์ของลูกสาวเพราะไม่มีใครต้องการเด็กคนนี้เลยสักคน ก็เหมือนที่แกรับลูกเขยไม่ได้ เพราะคิดว่าลูกเขยทำให้ลูกสาวของแกเสียคน ทางฝ่ายโน้นก็คิดแบบเดียวกัน ยิ่งนิธิเสียชีวิตในคุกอย่างมีเงื่อนงำ ทางญาติพี่น้องฝ่ายสามีก็ยิ่งแช่งชักหักกระดูกว่าเป็นเพราะนิธิเสียผู้เสียคน มีเมียตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ถึงต้องมาจบชีวิตเยี่ยงนี้
ผลพวงของความผิดพลาดจากผู้ใหญ่อย่างเด็กหญิงหล้าจึงไม่ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากญาติฝ่ายไหนเลย แต่แล้วเมื่อสามเดือนก่อน ฟ้ารุ่งก็หอบลูกมาฝากไว้กับแกโดยบอกว่าจะไปแต่งงานกับสามีฝรั่งที่เจอกันโดยบังเอิญขณะที่ฟ้ารุ่งไปทำงานอยู่ภูเก็ตแล้วจะส่งค่าเลี้ยงดูมาให้ แต่พอสามเดือนผ่านไป ฟ้ารุ่งกลับหายเข้ากลีบเมฆ แกจึงต้องรับภาระเลี้ยงหลานที่ไม่มีใครอยากได้ ทั้งยังต้องทนเสียงด่าว่าของลมรำเพยที่รังเกียจหลานสาวยิ่งกว่าใคร มาถึงตอนนี้แกก็ยังไม่รู้ว่าจะรังเกียจหรือเอ็นดูหลานสาวตัวน้อยคนนี้ดี เพราะจะรักก็กลัวว่าจะเสียใจอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่จะเกลียดก็รู้สึกก้ำกึ่งในความคิดตัวเอง
“พี่เล็ก ให้เด็กมันไปโรงเรียนเถอะ ฉันขอร้องละนะ นี่อายุอานามก็น่าจะเข้าโรงเรียนได้แล้วมั้ง อายุเท่าไรแล้วลูก” ท้ายประโยคนางหันไปสอบถามเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงปรานี
ดวงตากลมโตเจือแววหวาดหวั่นมองยายและมองคุณยายพิศเจ้าของที่ดินสลับไปมา เพราะต้องดูท่าทีของยายว่าอยากให้พูดหรือเปล่า
‘หล้า อย่าดื้อกับยายนะลูก หนูต้องเป็นเด็กดี ต้องเชื่อฟังที่ยายสอน อย่าทำให้ยายเสียใจเหมือนกับแม่’
เด็กหญิงจำคำพูดพร้อมแววตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาของแม่ได้ดี แม่บอกว่าอย่าดื้อกับยาย เพราะยายทำงานหนักและต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังในสิ่งที่ยายสอน ที่สำคัญที่สุดคืออย่าทำอะไรให้ยาเสียใจ
“เอ่อ...หกขวบจ้ะ”
“อืม...ต้องเข้าเรียนแล้วละ พี่เล็กนะพี่ ให้เด็กมันอยู่อย่างนี้สงสารมัน ดูแววตาสิ ฉลาดเชียว พี่เล็กเชื่อฉันเถอะ ให้...ชื่ออะไรนะลูก”
“หล้าจ้ะ”
“อืม...ให้หนูหล้าไปเข้าโรงเรียนเถอะพี่ เรื่องเสื้อผ้าหนังสือหนังหาไม่ต้องกลัว ฉันจะให้หนูปานหาให้ ค่าเล่าเรียนก็ไม่ต้องเสียฉันจะขอทุนให้เอง พี่เล็กไม่ต้องออกค่าอะไรเลย ฉันจะจัดการให้ทั้งหมด”
ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยแววระยิบระยับกับสิ่งที่ได้ยินยิ่งทำให้คุณยายพิศรู้สึกเอ็นดูเด็กหญิงตัวน้อยมากยิ่งขึ้น แต่ผู้เป็นยายของเด็กกลับทำท่าราวกับคิดไม่ตกเสียอย่างนั้น
“ดูตาเขาสิพี่ ดีใจไหมลูกที่จะได้ไปโรงเรียน” ยายพิศส่งคำถามมัดมือชกมาให้ ส่งผลให้ยายเล็กหน้าเครียดขึ้นมาในทันที แต่แกก็ไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปได้ เพราะไม่ควรเอาความผิดของแม่มาลงเด็ก
“เด็กควรได้เรียนหนังสือนะพี่ และสมัยนี้ยิ่งเป็นผู้หญิงแล้วไม่รู้หนังสือจะไปทำงานทำการอะไรได้ โตไปก็จะมีแต่คนคอยเอารัดเอาเปรียบ ดีไม่ดีอาจถูกล่อลวงเอาอีก ให้ครูปานพาไปโรงเรียนนะลูก”
“หนู...หนูแล้วแต่ยายจ้ะ ยายให้หนูไปหรือเปล่าจ๊ะ”
ดวงตาที่วับวาวไปด้วยหยาดน้ำคลอทำให้ยายเล็กเบือนหน้าหนีไปอีกทาง พลางคิดในใจว่าทำไมเวลานี้ถึงไม่มีลูกค้าคนอื่นนอกจากยายพิศ เพราะจะได้หลีกหนีสถานการณ์แสนจะอึดอัดนี้เสียที ยิ่งเห็นแววดีใจในดวงตากลมโตคู่นั้น แกก็ยิ่งอยากจะเก็บของปิดร้านเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“แล้วถ้าไปเรียนแล้วไม่ได้ทุนขึ้นมา ฉันจะทำยังไงล่ะแม่พิศ ถึงตอนนั้นเป็นฉันนะที่จะลำบาก ไอ้ลำพังค่าชุดค่าหนังสือนั่นก็จ่ายครั้งเดียว แต่เงินค่าขนมค่าข้าวไปโรงเรียนฉันให้มันไม่ได้หรอกนะ”
“หนูไม่กินอะไรก็ได้จ้ะ หนูจะไม่กินอะไรเลย”
“ทุนไม่ได้ฉันก็จะให้เอง โถ...แม่คุณของยาย ถ้าไม่ได้ทุนคุณยายก็จะส่งเสียหนูเองนะลูก”
เด็กหญิงตัวน้อยที่ละล่ำละลักพูดออกมาทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทำให้ยายพิศอดไม่ได้ที่จะกวักมือเรียกเด็กหญิงเข้าไปกอดปลอบขวัญ และเสียงสะอื้นฮึกฮักก็ทำให้คนแก่ถึงกับน้ำตาคลอตามไปด้วย
“นะพี่เล็ก ไปพรุ่งนี้เลยนะพี่ ฉันจะให้หนูปานทำเรื่องให้ทั้งหมด ว่าแต่หนูหล้าชื่อจริงว่าอะไรลูก นามสกุลด้วย คุณยายจะให้คุณครูปานใจพาหนูเข้าโรงเรียน”
“ชื่อเด็กหญิงมัตติกา บัวสีเผือด ค่ะ” เด็กหญิงบอกชื่อและนามสกุลที่แม่มักจะถามและให้เธอตอบก่อนเข้านอนทุกครั้ง แม่บอกว่าเวลาไปโรงเรียนคุณครูถามจะได้ตอบถูกและเธอก็จะได้ไปโรงเรียนวันพรุ่งนี้แล้ว
เด็กหญิงหล้าแหงนหน้าขึ้นมองคุณยายใจดีก่อนจะยิ้มจนตาหยี ทำให้ยายพิศยิ่งกระชับกอดแน่นขึ้นเพื่อจะรับขวัญที่บินหนีไปเพราะความทุกข์ระทมแห่งวัยเยาว์ ที่ไม่ควรเลยที่เด็กอายุเพียงเท่านี้จะต้องมาพบเจอปัญหาสารพัน ปัญหาที่เด็กอย่างเธอไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วยสักนิด
ยายเล็กเบือนหน้าหนีจากภาพบาดใจ ดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อล้นถอดแบบฟ้ารุ่งมาไม่ผิดเพี้ยนยิ่งทำให้สะท้อนใจจนแน่นในหัวอก ยิ่งหน้าตา คำพูด และความฉลาดถอดแบบลูกคนโตมามากเท่าไร นางก็ยิ่งต้องเตือนตัวเองว่าประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอยจนหวาดกลัวหากความทุกข์แสนสาหัสเหล่านั้นจะมาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญอีกครั้ง
เสียงไก่ชาวบ้านที่เลี้ยงไว้ส่งสัญญาณว่าเวลารุ่งอรุณมาถึงแล้ว ขณะที่เปลือกตาสวยหวานเริ่มกะพริบถี่ก่อนใบหน้าและเรือนกายจะร้อนผ่าวขึ้นเพราะเนื้อกายเปล่าเปลือยที่กอดกระชับและซ้อนทับอยู่ด้านหลัง เธอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เมื่อความร้อนแรงมอดดับไปผิวเนื้อก็สัมผัสได้ถึงความชื้นเย็นของน้ำค้าง ดวงตาสวยหวานมองหาผ้าห่มเพื่อคลุมกายแต่ติดบางสิ่ง ทำให้เธอต้องขยับอย่างระวัง “อื้อ...จะไปไหนล่ะครับ นอนต่อเถอะ” ท่อนแขนที่กอดกระชับร่างบางแนบแน่นอย่างระมัดระวัง ทำให้มัตติกาเริ่มสั่นหวั่นไหวอีกครั้ง “ติ๊ก้าจะห่มผ้า” ฝ่ามือใหญ่สัมผัสไปมาบนเนื้อตัวรับรู้ได้ถึงความเย็นชื้นของผิวเนื้อ ก่อนเรือนกายแข็งแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามแห่งบุรุษจะลุกขึ้นแต่ก็ยังไม่วายจะรั้งร่างเปล่าเปลือยของเธอให้ลุกตาม มัตติกาผวากอดรัดร่างของเขาแน่น ทั่วทั้งใบหน้าและเนื้อกายร้อนผ่าวเพราะสิ่งที่เขากระทำ ศิรชัชโอบอุ้มร่างเปล่าเปลือยของเธอไม่ยอมให้แยกออกจากกันจนเธอต้องผวากอดรัดเขาเพราะกลัวตก ส่วนเขาได้แต่หัวเราะไปมาในลำคอ ผ้าห่มผืนบางที่ตกอยู่ปลายเตียงถูกเขี่ยขึ้นไปไว้บนเตียง ไม่มีทีท่าว่าเขาจะปล่อยเธอ
ความอุ่นวาบทาบทับบดขยี้รุกเร้ารุนแรงตามอารมณ์ ทำให้ร่างบางที่พยายามจะต่อต้านนิ่งขึงดั่งถูกสตาฟฟ์ ความรุนแรงร้อนซ่านแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนนุ่มนวลเพราะเจ้าของร่างเล็กสั่นสะท้านไปทั้งตัว เรียวลิ้นอุ่นจนเกือบร้อนชอนชิมความหวานจากภายในและพยายามดุนดึงลิ้นน้อยให้สัมผัสกันและกัน ในขณะที่ฝ่ามือของเขาไม่ได้ละไปจากความอวบอิ่มนั้นเลยสักนิด กลับกันมันกลับกำลังทำหน้าที่สอดประสานกับฝ่ามืออีกข้างที่ตรงเข้าโอบรัดเบื้องหลังและไต่ขึ้นไปจนสะกิดตระขอบราเซียร์ให้หลุดออก ปล่อยให้นิ้วมือแกร่งปนร้อนเข้าไปแตะต้องสัมผัสร่างที่สั่นสะท้านไปกับสิ่งรุกเร้าครั้งแรกในชีวิต “อืม...เป็นไง คุณคนขายข่าว ถึงกับเคลิ้มเลยใช่ไหม ถ้าคุณเอาข่าวผมลง ผมก็จะบอกคนอื่นว่าคุณมายั่วผมแต่ผมไม่เล่นด้วย คุณเลยเล่นงานผมด้วยวิธีนี้ ไหนดูซิมีภาพอะไรบ้าง” ภีมคว้ากล้องดิจิทัลที่คล้องคอพราวรุ้งขึ้นมากดดูภาพที่เธอถ่ายไว้ ซึ่งไม่มีภาพอะไรที่ผิดปกติ จะมีก็แค่ภาพที่เขามองมัตติกาด้วยความเสียดายเท่านั้น และภาพที่ถ่ายทอดความรู้สึกเยี่ยงนี้เขาจะกดทิ้งก็เสียดายจริงๆ ต้องนับว่าเธอถ่ายภาพได้ดีมากๆ “ก็ไม่เห็นมีอะไรน
“พี่แชมป์ขา...ติ๊ก้าไม่ไหว...” “เรียกใหม่ครับทูนหัว...เรียกพี่...เร็วครับ!..” “อื้อ...พี่นักรบขา...เร็วค่ะ!” เสียงกรีดร้องถูกกักเก็บไว้ด้วยริมฝีปากร้อนพร้อมกับลาวาอุ่นซ่านถูกปลดปล่อยเข้าสู่ใจกลางดงดอกไม้ บ่าวสาวกอดกันกลมในท่านั่งอยู่บนเตียง “ปล่อยติ๊ก้าก่อนนะคะ” “ไม่ปล่อยได้ไหมครับ พี่ยังไม่อิ่มเลย” “ปล่อยนะ แค่นี้ก็...” “แค่นี้อะไรกันครับ พี่แชมป์นะได้เป็นสิบนะครับ ลืมไปแล้วเหรอ ยิ่งตอนนี้เป็นพี่นักรบขาของน้องหล้าด้วย รับรองว่ากว่าจะถึงเช้าพี่ต้องทำลายสถิติแน่ๆ” “บ้า! พี่แชมป์ ปล่อยติ๊ก้านะ” มัตติกาพยายามดิ้นรนจะลงจากตักของศิรชัชแต่ดูเหมือนยิ่งดิ้น ภายในก็กลับมาตื่นตัวอีกครั้ง “อย่าขยับ...ขยับได้แล้วครับ พี่ช่วย...” ฝ่ามือจับสะโพกผายขยับขึ้นลงจนมัตติกาเสียหลักผวากอดรัดรอบต้นคอของเขาแน่น “พี่แชมป์บ้า!..”.. เจ้าสาวมีอาการสะเทิ้นอายและหน้าแดงระเรื่อในยามที่ผู้ใหญ่ต่างพากันมาอวยพรส่งตัวบ่าวสาว ผิดกับเจ้าบ่าวที่อมยิ้มละมัยราวกับคนได้รับชัยชนะจากการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์
‘พี่ดวงขอแสดงความยินดีกับน้องติ๊ก้าและก็แชมป์ด้วยค่ะ ขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป ขอบคุณสำหรับชีวิตใหม่และครอบครัวที่อบอุ่น ขอบคุณจริงๆ’ .. ดวงตาสวยหวานไล่สายตาไปมาบนจดหมายที่น้าชายเอามาส่งให้ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความสุข เธอมีความสุขเพราะคนรอบข้างมีความสุข เพียงแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับชีวิตหนึ่งที่เกิดมาบนโลกใบนี้ แล้วคนเราจะยังต้องการอะไรกันอีก ความต้องการที่แท้จริงก็เพียงการได้รับความรักและการยอมรับจากคนที่เรารักเท่านั้นไม่ใช่หรือ ซึ่งทั้งหมดนี้เธอมีพร้อมหมดแล้ว และเธอก็มั่นใจว่าในเวลานี้กลิกาก็คงมีความสุขเช่นเดียวกัน “อ่านอะไรอยู่ครับ น้องหล้า” อ้อมกอดกระชับแนบแน่นจากเบื้องหลังก่อนจะฝังจมูกลงกับซอกคอหอมกรุ่นเย้าแหย่ให้เจ้าสาวแสนสวยของเขาจั๊กจี้เล่น “อื้อ...พี่แชมป์นี่ ปล่อยก่อนสิคะ” “ไม่เอาเรียกใหม่” “เรียกใหม่” ดวงตาสวยหวานครุ่นคิดไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาบอก “ต้องเรียกว่ายังไง ก็ตกลงกันแล้ว” “เอ่อ...ใครเขาอยากจะเรียกกัน ไหนว่าไม่เคยมีความลับ” ใบหน้างามเสมองไปทางอื่นเพราะใครกันจะอยากเรียกเขาแบบนั้น ศิรชัชต
ยายเล็กกระชับฝ่ามือของเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาไว้เคียงกัน น้ำตาของผู้เป็นยายไหลอาบใบหน้าไม่ขาดสาย ทว่าเป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม เมื่อสิ่งที่แกหวังอย่างที่สุดเป็นจริงได้ ‘ก้อนดินก้อนนี้มีคุณค่าที่จะเพาะปลูกสิ่งใดก็เจริญงอกงามรุ่งเรือง โดยเพราะความดีงามได้เจริญงอกงามเกินกว่าสิ่งใด’ อย่างแท้จริง “อ้าวแม่! อวยพรให้หลานมันสิ เอาแต่ร้องไห้” ลมรำเพยเอ่ยแซวทั้งที่ตนเองนั้นก็มีสภาพไม่แตกต่างไปจากยายเล็กสักเท่าไร ดวงตาของผู้เป็นน้าสาวเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา วันเวลาที่ถูกจำกัดอิสรภาพไม่เคยมีคำว่าเสียดาย เพราะสิ่งที่เธอสูญเสียไปนั้นได้รับการตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด ‘ความสุข ความรักในครอบครัวได้กลับมาแล้ว’ และเธอก็ได้ไถ่โทษจนหมดสิ้นแล้ว “ยายขอให้หล้ากับพ่อแชมป์มีความสุข ขอให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มั่งมีศรีสุข ขอให้...” คำพูดตีบตันเพราะน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มยังไหลอาบไม่ขาดสาย ดวงตาฝ้าฟางด้วยวาวน้ำตามองเห็นภาพความสุขตรงหน้า หลานสาวของแกกำลังจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาและได้คนที่ดีเหมาะสมกันทุกประการ ทำให้แกถึงกับพูดต่อไม่ออก “แม่...” ลมรำเพยกระชับฝ่ามือผู
“ติ๊ก้า...เสร็จหรือยังจ๊ะ คุณแชมป์เขามาแล้วนะ” แองจี้เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องก่อนจะอมยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าสะสวยอิ่มเอมด้วยความสุข “ไปกันเถอะน้องสาวของเจ๊ คุณแม่ลมเขารอทำหน้าที่แล้วนะจ๊ะ” ลมรำเพยรับหน้าที่เป็นแม่ของเจ้าสาวในวันนี้ เพราะยายเล็กนั้นไม่แข็งแรงพอที่จะรับบทแม่งาน จะหยิบจะฉวยอะไรก็ยาก ส่วนคุณยายพิศและคุณอาปานใจก็ติดต้องไปธุระให้หลานชายในวันนี้พอดิบพอดี หากเธอจะเลื่อนไปก่อนก็ไม่ได้ เพราะกว่าคุณย่าของศิรชัชจะหาฤกษ์ที่ดีที่สุดนี้มาให้ก็ต้องรอนานถึงสองเดือนด้วยกัน และหากพลาดฤกษ์นี้ไปคงต้องรอไปจนถึงปีหน้า ถ้าให้รอถึงป่านนั้นศิรชัชคงไม่ยอมแน่ เขาคงจะประกาศตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของและถือวิสาสะย้ายมาอยู่กับเธอเบ็ดเสร็จ เพราะฉะนั้นคุณแม่ลมรำเพยจึงต้องแต่งองค์ให้สมฐานะแม่ของเจ้าสาวในวันนี้ เจ้าบ่าวรูปหล่อมากปานเทพบุตรของเธออยู่ในชุดไทยพระราชทานขลิบทองสีงาช้างเช่นเดียวกัน ดวงตาคมเข้มของเขาแวววาวเรียกเลือดลมสูบฉีดไปทั่วทั้งใบหน้าได้ในทันทีที่สบสายตา เพราะแววตานั้นไม่ปกปิดความปรารถนาเลยสักนิด และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าของเธอเลยสักเสี้ยวนา