ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรัก
ตอนที่ 7
ฉันตื่นนอนมาในสภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ปวดเมื่อยเนื้อตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าเป็นสิ่งเดียวที่รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศ ส่วนอื่น ๆ ถูกห่ออยู่ในผ้าห่มผืนหนา
และตอนที่พยายามจะดึงผ้าห่มเพื่อนอนคลุมโปงก็รับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง มันดึงไม่ขึ้น เหมือนมีอะไรหนัก ๆ กดทับไว้
ดวงตาสะลึมสะลือเมื่อครู่เบิกโพลงขึ้นอย่างตระหนกตกใจ หันกลับไปมองที่ด้านหลังก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นร่างเหยียดยาวของใครคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ข้างกัน
“กรี๊ด!!!”
เสียงกรีดร้องบาดแก้วหูที่ดังขึ้นเป็นเสียงของฉันเอง พร้อมกันก็ยกเท้าถีบคนแปลกหน้าที่ก็ยังไม่ทันได้เห็นหน้า แต่แม้จะถีบเต็มแรงคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ กลับไม่ได้ร่วงหล่นลงจากเตียงอย่างที่ใจคิด
“อะไรวะ?”
เสียงของไอ้คนที่ว่าดังขึ้นพร้อมกันก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สีหน้าแตกตื่นไม่แพ้ฉัน และแค่เขาหันหน้ามาก็ถึงบางอ้อในจังหวะนี้นี่เองว่าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคนที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา
“เป็นอะไร?” เก๋าเลิกคิ้วมอง สายตากวาดไปรอบห้องเพื่อหาสิ่งผิดปกติ แต่สิ่งผิดปกติเดียวที่ฉันเห็นก็คือเขานี่แหละ!
“ทะ… ทำไมมานอนอยู่นี่?”
“…”
ดวงหน้าสะลึมสะลือขมวดคิ้วนิด ๆ ยกนิ้วขึ้นนวดขมับไปพลาง ขณะที่ฉันพยายามรวบรวมสติสัมผัสไปยังร่างกายตัวเองที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ
มันก็โล่งอกได้ในระดับหนึ่งเพราะเชือกที่เอวยังผูกไว้แน่นหนาจะมีก็แค่เนื้อหนังมังสาเท่านั้นที่โผล่ให้เห็นวับแวม อีกฝ่ายเองถึงจะเปลือยท่อนบนแต่ก็ไม่ได้ล่อนจ้อนไปทั้งตัวนั่นก็พอจะโล่งใจได้
ท่ามกลางบรรยากาศสับสนงุนงง สายตารู้ทันของเก๋าเหลือบมองกลับมา
“เป็นอะไร? กลัวผมจะทำมิดีมิร้ายหรือไง?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ไหนว่าสัญญารวมไปถึงเรื่องหลับนอนด้วยไง?”
“มันก็ใช่ แต่…”
“เมื่อคืนมันดึก ผมดื่มไปเยอะด้วย…”
“…”
“เลยตัดสินใจนอนนี่”
“…”
น้ำเสียงเรื่อยเฉื่อยขยายความให้ฟัง ถ้ามองตามที่กล่าวอ้างมันก็ไม่ได้แปลกอะไร เอาจริง ๆ เราก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าซะทีเดียว แต่การมานอนข้างกันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยมันก็น่าตกใจอยู่ดีนั่นแหละ
“ก็แล้วทำไมไม่บอกก่อน…”
“บอกแล้ว”
“บอกตอนไหน?”
“…”
ฉันทำตาโตจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่คนฟังกลับหยัดกายลุกขึ้นเดินไปคว้าเอาเสื้อตัวเดิมที่ถอดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนมาสวมโดยไม่ตอบคำถาม
“เธอบอกตอนไหนไม่ทราบ เรามีสัญญากันแต่ก็ต้องขออนุญาตเจ้าของห้องก่อนสิ จะนอนสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง?”
คงเพราะฉันทำเสียงตำหนิ ร่างสูงตรงนั้นเลยชำเลืองมองกลับมา
“ก็บอกไปแล้วตอนที่พี่นอนกรนเสียงดังยิ่งกว่าโรงโม่น้ำแข็งไง อันที่จริงควรจะขอบคุณด้วยซ้ำถ้าไม่มีผมเตียงคงไม่สะอาดแบบนี้”
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็เปียก…”
“ปะ… เปียกอะไร?”
“…”
ฉันตะกุกตะกักถามอย่างลนลาน จินตนาการในสมองนำไปล่วงหน้าแล้วอย่างหยุดไม่อยู่ ใจคิดไปถึงกิจกรรมยามว่างของสาวโสดวัยยี่สิบแปดที่มักจะจัดเองคนเดียวบ่อย ๆ ยิ่งใจเตลิดคิดสองข้างแก้มก็ยิ่งร้อนผ่าว
มันก็เป็นไปได้ที่ฉันอาจจะเมามาก… จนเผลอทำอะไรแบบนั้นโดยที่ไม่รู้ตัว…
และคงเพราะอาการที่แสดงออกไปอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้อีกฝ่ายหันกลับมายืนเท้าสะเอวมองผุดยิ้มขึ้นที่มุมปาก
“เมื่อคืนพี่แค่อ้วกหลายรอบ…”
ว่าแล้วก็พยักพเยิดไปที่ข้างเตียง มันก็จริงตามนั้นในถังขยะที่ข้างเตียงมีร่องรอยอารยธรรมจากการอาเจียนหลงเหลืออยู่ให้ได้เห็น
สายตาของเก๋ายังคงมองกันอยู่ ทว่าสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศ ฉันพยายามจะทำใจให้สงบไม่คิดฟุ้งซ่านไปไกล แต่เสียงพึมพำของคนที่อยู่ห่างออกไปทำเอาต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกรอบ
“เมื่อคืน… ทิชชูมันหมด ผมเลยหาผ้ามาเช็ดปากให้”
“…”
“ไม่ได้ตั้งใจจะรื้อของ แต่แค่เปิดดูตู้ดูก็เจอแล้ว”
“…”
เก๋าชวนคุยด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุด วินาทีนี้เป็นฉันเองที่ถึงกับต้องเบนหน้าหนีด้วยความอับอาย ไม่ต้องบอกก็พอรู้ว่าเด็กนั่นเจอ ‘อะไร’ ในตู้
สายตาขบขันของคนเล่าราวกับจะล้อเลียนกันอยู่ในที จะให้คิดว่าเป็นอะไรไปได้อีก นอกจากมันจะเป็นเครื่องมือทางเพศที่ช่วยให้สาวโสดอย่างกานดาคนนี้ผ่อนคลายในวันว่าง ๆ เหงา ๆ ยามบ่ายอะไรทำนองนั้น
และตอนนี้ฉันก็อาย… อายจนไม่รู้จะเอาหัวไปมุดไว้ไหนแล้วด้วย…
ทว่าคนพูดเหมือนจะไม่เห็นถึงอาการอับอายขายขี้หน้าของฉันเลยแม้แต่น้อย ยังมีหน้าเอ่ยชี้แนะมาอีก
“บ่อย ๆ ไม่ดีนะ มันทำให้อ่อนเพลีย”
“…”
“ผมไปละ ไว้เย็นนี้โทรหา”
“…”
ฉันพยักหน้าส่ง ๆ แสร้งทำเป็นว่าไม่ขัดไม่เขินทั้งที่อุณหภูมิที่สองข้างแก้มตอนนี้ร้อนผะผ่าวไปถึงบริเวณกกหู
เก๋าเดินไปถึงประตู ก็ไม่วายชำเลืองมองกลับมาอีกหน
“ของพวกนั้นตอนนี้ไม่ต้องใช้ก็ได้ ผมพร้อมให้บริการ”
“…”
ให้ตาย…เสียงประตูปิดลงแล้วแต่ฉันยังนั่งหน้าร้อนผ่าวอยู่ที่เดิม ฝังหน้ากรี๊ดเข้ากับหมอนดีดดิ้นไปมาอยู่บนเตียงอยู่นานเกือบนาที ยิ่งคิดถึงบทสนทนาเมื่อครู่ก็ยิ่งอยากจะร่ำไห้หนักขึ้นไปอีก
และที่น่าทุเรศก็คือ…
เจลหล่อลื่นหลอดนั้นมันก็ใช้จนเกือบจะหมดอยู่แล้วด้วย ป่านนี้ไอ้เก๋าต้องคิดว่าฉันเป็นพวกหมกหมุ่นทางเพศฝักใฝ่ในกามารมณ์ไปแล้วแน่ ๆ
โอ๊ย… ยาดมเข้าหน่อย กานดาไม่ไหวจะอาย!
ตอนเย็น
ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมาฉันหมดเวลาไปกับการหาสถานที่ท่องเที่ยว และดูโรงแรมที่พักเซฟเก็บเอาไว้ก่อน รอที่จะหารือกับเก๋าอีกที ว่าเจ้าตัวสามารถไปเที่ยวด้วยได้วันไหนบ้าง
พอตกบ่ายก็เป็นอีกวันที่ออกมายังห้างสรรพสินค้าเพื่อจับจ่ายใช้สอยซื้อของเพิ่มเติมหลังจากเมื่อวานก็ซื้อมาเยอะแล้ว แต่แน่นอนว่ามันไม่หมดแค่นั้น
และเพิ่มเติมคือตอนนี้ฉันจองคอร์สทำหน้าเพิ่มมาด้วยแบบงง ๆ เพราะพนักงานขายหว่านล้อมพูดดึงดูดทรัพย์เก่งเหลือเกิน ก็อะไรแบบที่เขาเรียกกันว่าฉีดโบท็อกซ์ ฉีดฟิลเลอร์ ดูดไขมันเหนียงอะไรนั่นแหละ
เงินมันเหลือ ๆ ก็ต้องใช้ไปก่อนเดี๋ยวจะไม่ได้ใช้…
การใช้พลังงานในการเดินมาตลอดทั้งวัน อีกทั้งยังซื้อของเยอะแยะ ก่อนกลับเลยต้องแวะเติมพลังที่ร้านอาหารสักหน่อย กินไปได้ไม่ถึงคำก็รู้สึกกินไม่ลงขึ้นมาเมื่อมองออกไปนอกร้านแล้วดันเห็นใครคนหนึ่ง
ก็คนที่เมื่อเช้านอนบนเตียงเดียวกับฉันไง…
เส้นก๋วยเตี๋ยวที่กำลังสูดอยู่แทบจะพุ่งออกจากปาก เมื่อเห็นว่าไอ้เด็กเก๋าในชุดนิสิตหากแต่วันนี้มีเสื้อช็อปสีกรมสวมทับอยู่ด้วย เด็กนั่นอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ก็อยู่ในชุดนิสิตเหมือน ๆ กัน
ร่างสูงของเก๋ากำลังก้าวยาว ๆ เดินตามผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะคว้าเข้าที่แขนแล้วกระชากคนที่ว่าให้หันกลับมา
ถ้าเกิดผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หน้าตาบูดบึ้งแสดงอารมณ์หงุดหงิดอยู่ในขณะนี้ก็น่าจะสวยมากทีเดียว เท่าที่ลอบสังเกตทั้งคู่คงกำลังมีปากเสียงกัน และก็ดูอารมณ์พลุ่งพล่านทั้งสองฝ่าย
ในสายตาคนนอกอย่างฉันมอง ภาพที่ได้เห็นไม่ต่างอะไรจากคู่รักทะเลาะกันเลยแม้แต่น้อย และต่อให้อยากจะเผือกต่อแค่ไหน ถึงจะชะโงกคอมองตามก็ไม่ทันอีกแล้ว เพราะผู้หญิงคนนั้นเริ่มเดินหนีอีกครั้ง และเก๋าก็เดินตามติดเป็นเงาตามตัว เดาได้ว่าคงมีปากเสียงกันหนักหนาพอสมควร
ใจมันเกิดระแวงขึ้นมาว่าเด็กนั่นมีแฟนอยู่แล้วหรือเปล่า และแม้จะดูหลงตัวเองไปนิดแต่ฉันคนนี้อาจจะเป็นสาเหตุของการทะเลาะกันของคนทั้งคู่
และประเด็นก็คือ ฉันไม่ทันได้ถามเก๋าก่อนแม้แต่คำเดียวถึงเรื่องแฟน มีก็แค่อีกฝ่ายที่ถามสถานะกันเรียบร้อยตั้งแต่ต้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าฉันอาจจะโดนหลอกให้ตายใจ
ถึงบอกว่าทำงานให้ฉันคนเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเมียสักหน่อย
เอาแล้ว… ไอ้เก๋าเล่นกานดาแล้วไง…
ฉันไม่รอช้ารีบคว้าทุกอย่างขึ้นสู่ข้อแขน ทิ้งก๋วยเตี๋ยวที่กินไปได้ไม่กี่คำไว้ตรงนั้น ยังไงก็ต้องตามไปดูให้ได้
และหากเกิดว่ามันเป็นแบบที่ฉันคิด ก็เรียกได้ว่าเด็กนั่นตีหน้าซื่อได้เนียนมากจริง ๆ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 3 หลายปีต่อมา เพราะมีบ้านแล้วและเพราะฉันว่างมากจากอาชีพเดิมคือการเป็นเทรดเดอร์ นอกจากวัน ๆ จะต้องนั่งเฝ้าจอดูราคาหุ้น ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดแทบจะตลอดเวลา ฉันก็ว่างแหละ ไม่ก็พยายามจะว่าง…ช่วงนี้ฉันตื่นแต่เช้าตรู่ทุกวัน จัดการทำข้าวกล่องส่งขายตามตลาดเช้าเพื่อหารายได้เพิ่มเติมจากรายได้เดิมที่มันก็ไม่ได้แย่อะไร และกว่าข้าวกล่องพวกนี้จะเสร็จก็กินเวลาเกือบเจ็ดโมงหากเป็นวันธรรมดาในเวลาเดียวกันนี้ จะได้เห็นร่างสูงของเก๋าในเชิ้ตกับสแล็กส์เรียบร้อยเตรียมพร้อมที่จะออกไปทำงาน แต่เพราะวันนี้เป็นวันหยุดจึงไม่ได้เห็นคนที่ว่าอยู่ในสภาพดังกล่าวฉันอาจจะลืมเล่าไปถึงเรื่องที่ว่า คนเป็นสามีเรียนจบวิศวะเครื่องกลมา และตอนนี้กำลังทำงานควบคุมออกแบบ ติดตั้งเครื่องจักรกลที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ถึงหน้าตาเก๋าเหมือนไม่ได้เรื่องสักเท่าไร แต่อย่างที่เห็นว่าพอจะได้เรื่องอยู่บ้าง วันนี้เป็นวันหยุดของเก๋า แต่กลับได้ยินเสียงคนที่ว่าดังมาจากทางห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่บริเวณส่วนหน้าของตัวบ้านตั้งแต่เวลาย่ำรุ่ง และไม่ใช่เสียงเก๋าคนเดียว… แต่ม
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 2 “คุณเป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงติดขัดเอ่ยถามขึ้นก่อน สายตาจะเลื่อนขึ้นสบในวินาทีต่อมา “ชีวิตฉันตอนนี้ดีมาก ดียิ่งกว่าปีไหน ๆ”ฉันเอ่ยตอบในทันทีด้วยรอยยิ้ม แม้จะแฝงไปด้วยอารมณ์เกลียดขี้หน้าเหลือประมาณก็ตามที “ผมคิดถึงคุณนะ” คงเพราะสายตาสื่อความนัยแบบที่แค่มองก็รู้ว่าคิดอะไร ส่งผลให้รอยยิ้มของฉันคลายลงโดยอัตโนมัติ พึมพำตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะเค้นขู่ลอดไรฟัน “เกิดจะคิดถึงขึ้นมาได้เชียว” “เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไว้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันไหม? ผมเป็นเจ้ามือเอง ยังไงก็คนคุ้นเคย…” คำว่า ‘คนคุ้นเคย’ กับการแสดงออกผ่านสายตาน่ารังเกียจ ทำเอาฉันรู้สึกอยากจะขย้อนอาเจียนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ธนาก้าวเข้ามาอีกก้าวแล้วควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเข้าสู่หน้าแอปพลิเคชันสำหรับใช้ติดต่อ “พลอยคงจะเสียใจถ้ารู้ว่าคุณทำตัวแบบนี้” คนฟังระบายรอยยิ้มน่ารังเกียจอีกครั้ง แล้วกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งฟังยิ่งทุเรศหู “พลอยไม่รู้หรอก” แล้วก็ยื่นโทรศัพท์มา
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 1 เขาว่ากันว่าเวรกรรมมีจริง ใครทำอะไรมักจะได้อย่างนั้น ผลของการกระทำมักจะเข้าเล่นงานแบบไม่ทันให้ตั้งตัว… ห้างสรรพสินค้า S ฉันกับเก๋าเราออกมาซื้อข้าวของเครื่องใช้เตรียมตัวย้ายเข้าสู่เรือนหอของเราทั้งคู่ หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ร่วมสองเดือน และแน่นอนว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้ชายที่เมื่อแรกเจอเราทั้งคู่กัดกันยิ่งกว่าอะไร… “ที่รัก” “…” “ที่รัก” “…” “กานดา” “ฮะ?” เพราะฉันกำลังให้ความสนใจกับของตกแต่งบ้านชิ้นหนึ่งที่ดูแล้วเหมาะน่าจะเอาไปตั้งในห้องนอนของเรา เลยไม่ทันได้ยินเสียงของคนด้านหลัง หันไปมองก็พบว่าคนเรียกกำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกง สีหน้าเบื่อหน่ายฉายชัด “ทำไมจะต้องสรรหาสรรพนามอื่นมาเรียกกันด้วย? ผมเรียก พี่ก็ไม่หันอยู่ดี” “เมื่อกี้ไม่ได้ยิน เรียกอีกที ๆ” “…” ฉันที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำผิดข้อตกลงเรื่องล่าสุดระหว่างเราจำต้องรีบหมุนตัวกลับอีกครั้ง แสร้งทำเป็นดูของตกแต่งชิ้
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 52 สามปีต่อมา ฉันหมดแรงทิ้งเข่าทรุดกายลงตรงจุดซึ่งมีธงปักอยู่บ่งบอกว่าเราได้มาถึงจุดสูงสุดของยอดเขาซึ่งอยู่ทางแถบภาคตะวันตกของประเทศเป็นที่เรียบร้อย ด้านบนนี้ลมพัดแรงจนผมเผ้าที่รวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังสะบัดปลิวพลิ้วไหว ขายาวของคนที่มาด้วยกัน หยุดยืนลงที่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเก๋านั้นไม่ได้ดูหมดสิ้นเรี่ยวแรง กระทั่งแสดงออกว่าเหนื่อยสักนิดก็ยังไม่มี คนเป็นแฟนยืนทิ้งเข่า ยกขวดน้ำขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสบาย ๆ สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้าซึ่งเป็นภาพของเหล่าภูเขาสลับซับซ้อนเรียงรายมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนนัยน์ตาซึ่งหรี่เล็กน้อยเพราะแรงลมจะเลื่อนต่ำลงมองสภาพของฉันด้วยสายตาที่บ่งชัดว่ากำลังสมน้ำหน้ากัน โอเค…ฉันมันบ้าเองที่อยากจะเดินป่าขึ้นเขาขึ้นดอยให้ได้ และตอนแรกเก๋าก็ไม่เห็นด้วยกับการทำอะไรประเภทนี้ถึงแม้ฉันจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำก็จริง แต่เพราะยังไม่เคยทำกิจกรรมอย่างนี้มาก่อนเลยทำให้คนเป็นแฟนมีทีท่าไม่เห็นด้วยอย่างที่บอกเก๋าค้านว่า อย่างน้อยเราก็ต้องมีประสบการณ์เดินทางไกล หรือไม่ก็ต้อ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 51 หนึ่งเดือนต่อมา ร่างกายร้อนผ่าวของฉันนอนทาบทับคร่อมเรียวขาอยู่เหนือเรือนร่างเปลือยเปล่าของเก๋า ก้นสองข้างกำลังถูกฝ่ามือหนาจับสับโยกเข้าหาความแข็งขืนของตัวตนที่ผงาดกร้าวตั้งเป็นลำตอนนี้เป็นเวลาตีห้าเกือบจะหกโมงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น แต่แค่เรานอนกอดนอนเกยกันนิดเดียวก็เกิดจะปลุกเปลวเพลิงให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาได้ เสียงร่องเนื้อรูดขึ้นลงตามจังหวะการทิ้งสะโพกเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ในขณะนี้ คนที่นอนอยู่ด้านล่างคลอเคลียจูบเข้าที่ซอกคอ หอมเข้าที่ข้างแก้มไม่หยุดมาตั้งแต่เราเริ่มบรรเลงบทรักเมื่อชั่วโมงก่อน “เสียวไหม?”เสียงห้าวแหบเอ่ยถาม ทั้งมือยังคงควบคุมจังหวะความเร็วอยู่อย่างนั้น ฉันเลื่อนริมฝีปากกระซิบเข้าที่ข้างหูของคนเป็นแฟนก่อนจะเอ่ยบอกเสียงพร่า“เสียวจนจะแตกอีกแล้ว”“ชอบของผมไหม?”เก๋าหยักยิ้มเอ่ยขอคำชมที่ก็มักจะขอเสมอ และฉันก็ให้คำตอบด้วยการออกแรงขย่มสับรัวเร็วอย่างเอาใจ พลางกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่พร่าสั่นหนักกว่าเดิม“ขึ้นให้ทุกเช้าแบบนี้ เธอคิดว่าชอบไหม?”“ชอบตรงไหน?”“ชอบทุกตรง”“ผมก็ชอ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 50 หลายวันต่อมา หลายวันที่ผ่านไปคนที่บอกว่าจะจีบก็มาจีบทุกวัน เช้ารอบ เย็นอีกรอบ แต่ถ้าวันไหนติดงานแล้วมาไม่ได้ก็จะส่งกลอนหวานเลี่ยนมาทางแชตแทน แม้เป็นการจีบที่ไม่ได้เรื่อง แต่เก๋าก็ทำให้ฉันยิ้มได้ไม่หยุดและตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาค่ำแล้ว การได้เห็นเจ้าตัวปรากฏตัวจึงไม่ได้น่าแปลกใจเพราะก็มาอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ต่างไปจากวันอื่นตรงที่เก๋าแบกเอากีตาร์มาด้วยร่างสูงอยู่ในชุดนิสิตเหมือนหลายวันที่ผ่านมาเพราะมหา’ลัยเปิดเรียนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ว่าก็ยังมีความพยายามที่จะขับมอเตอร์ไซค์มาหา“มาจีบ”ไม่ต้องรอให้ถามเจ้าตัวก็รีบชิงพูดขึ้นทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็เหมือนจะแกล้งกันเล่น เก๋าปลดกระเป๋ากีตาร์ออกจากหลัง ก่อนจะเริ่มทำการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ด สายตาร้อนแรงจับจ้องมองกันแบบไม่วางตา“ถอดเสื้อถอดผ้าทำไม?”“ร้อน”“โกหก”“ใช่”“ถอดกางเกงทำไม?”“ร้อน”“เก๋า”“ใช่ ผมโกหก”ฉันหลุบตาลงมองนิยายในมือที่กำลังอ่านอยู่ขี้คร้านจะต่อล้อต่อเถียงด้วย กระทั่งพื้นที่ว่างบนเตียงยุบลงก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกทีเก๋าในสภาพกึ่งเปลือยมีกีตาร์วางพาดอยู่