LOGIN8
เหตุผลที่ควรรีบลงผา
“คีรี ผมมีเรื่อง...” ผมตั้งใจจะถามเขาเรื่องรีบลงผา แล้วก็เรื่องแปลกที่สงสัย ทำไงได้คนไทยขี้สงสัยชอบใส่ใจเรื่องชาวบ้าน “จันยังไม่นอนอีกหรอ” ยังไม่ทันได้ถามปริมก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ผมเลยพับเก็บโครงการนี้ไว้ก่อน
“มีโอกาสค่อยคุย คุณพักผ่อนเถอะ รีบทำแผลด้วยล่ะ” พอเห็นปริมเดินมา คีรีก็ปลีกตัวออกไป ผมสับสนนิดหน่อยเหมือนเขาอยากหลบเลี่ยงคนอื่น ไม่ยอมเข้าใกล้หรือพูดคุยกับใคร เขาพูดน้อยจนในบางครั้งเหมือนพูดไม่ได้
พี่มีนหันมองผมยักไหล่ให้แทนคำถาม มองตามเขาก้าวไปไม่กี่ก้าว “แปลกจริง ๆ นั่นแหละแต่คุณคีรีดูคุยกับหนูจันเยอะกว่าคนอื่น บางทีเป็นฝ่ายเข้ามาคุยเองด้วยซ้ำ” ผมขมวดคิ้วจนรู้สึกได้ว่ากลางหน้าผากมีรอยย่น พี่มีนยกกล่องปฐมพยาบาลมาวางไว้ข้าง ๆ
“จันบาดเจ็บหรอ” กลับมาถึงปริมก็เบิกตาโตถามผมเสียงตกอกตกใจใหญ่โต หมอนี่เวอร์อีกตามเคย ชอบทำตัวก่อร้อก่อติกผมตลอด ตอนเรียนผมเลยไม่มีโอกาสได้มีความรักอะไรกับชาวบ้านเขา ผมรู้ว่าเขารู้สึกอะไรแต่ผมเคยบอกชัดเจนไปแล้วว่าเป็นได้แค่เพื่อนกัน ปริมก็รับรู้ไม่ได้ว่าหรือกดดันให้ผมตอบรับ
หมอนี่ก็เลยอยู่เป็นเพื่อน เป็นพี่ บางทีก็สวมบทพ่อไปด้วยแบบนี้ บางครั้งผมก็เอือมหมอนี่อยู่เหมือนกัน
“ไม่เป็นอะไรมาก คงได้มาตอนมือหลุดจากเชือก”
“พี่มีน รีบทำแผลให้จันหน่อยสิ”
“ฉันทำอยู่ นายตาบอดหรือไง” พี่มีนดุปริมเสียงเขียว มือก็ทำความสะอาดแผลให้ ปริมขมวดคิ้วให้พี่มีน เอื้อมมือมาแตะไหล่ผมเบา ๆ “จันเจ็บมากหรือเปล่า” ผมรู้ว่าทุกคนเป็นห่วง แต่บางทีมันก็เวอร์ไปผมอายุยี่สิบสี่แล้ว ไม่ใช่เด็กอายุสิบสี่ แผลยาวแค่นิ้วเดียวทำหน้ากันเหมือนป่วยเป็นโรคระยะสุดท้าย
ผมลืมตาตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงโวยวายรอบตัว หันมองคนรอบตัว ทุกคนมองไปทางเดียวกันหมด ผมขยี้ตาเล็กน้อยรู้สึกว่าภาพชัดเจนถึงได้ลุกยืน มองไปทางเดียวกับทุกคน
หน้าผาที่เราไต่ลงมาเมื่อคืน ตอนนี้มีหมอกปกคลุมจนทำให้มองได้ไม่ชัด หลายคนเดินเข้าใกล้ขึ้น สำรวจหน้าผาก่อนจะกลับมาบอกว่าบริเวณหน้าผามีแต่แมลงเกาะเต็มหน้าผา นอกจากแมลงยังมีน้ำมันอะไรสักอย่างไหลอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
มีสองคนที่อยากลองของเอามือไปแตะ ๆ น้ำมันดูพบว่าตอนนี้ผิวหนังพองสุก พี่มีนปฐมพยาบาลให้ ไม่อยากคิดเลยถ้าเราเลือกไม่เชื่อคีรีแล้วยื้อมาลงเขาตอนเช้า มีสองอย่างที่เป็นไปได้ หนึ่งเราทั้งทีมตัวสุกพอง สองเสียเวลาไปอีกหนึ่งวัน
“แปลกจริง ๆ แต่เชื่อแล้วว่าเป็นคนมีฝีมือ” พี่มีนพูดหลังจากเดินมาถึงบริเวณหน้าผา ผม ปริม พี่มีนเดินมาดูว่า คนในคณะพูดกันเรื่องจริงหรือเปล่า ไม่มีคำไหนที่เกินจริงมาสักนิด
น้ำมันนั่นดูเหมือนมาจากแมลงตัวใหญ่ ๆ พวกนั้น มันไหลจากหน้าผาตกลงบนพื้น แต่ไม่มีทีท่าว่าจะมีอันตรายเลยสักนิด ไม่แปลกใจทำไมคนในทีมถึงลองเอามือจับแบบนั้น
“ถ้าเมื่อคืนไม่รีบลงตอนนี้ผิวสุกเป็นอึ่งลวกแล้ว” ปริมสั่นไหล่แกล้งทำเป็นขนลุก แต่ผมเห็นด้วยกับทั้งพี่มีนและปริม ค่าจ้างแพง เล่นตัวเก่ง ไม่แปลกใจจริง ๆ ที่เอาใจยากแบบนี้
“เดี๋ยวผมมา” ผมปลีกตัวออกมา คีรียืนพิงต้นไม้รอพวกเราอยู่ทางด้านหลัง ผมเห็นเขายืนอยู่คนเดียวเลยถือกล่องอาหารสำเร็จรูปเข้าไปหา จะได้มีเรื่องเริ่มปูทางพูดคุยเรื่องอื่นต่อ
“ผมเห็นคีรียังไม่ได้กินอะไรก็เลยเอามาให้”
“ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไรณจันกินเถอะ”
“ไอ้นี่อร่อยนะ ไม่กินแล้วจะเสียใจ” คีรีหัวเราะหึหึ ก่อนจะพยักหน้าให้ ในป่าแบบนี้จะหาอะไรกินก็ยาก แต่ดูจากท่าทางเขาไม่อยากกินมันจริง ๆ
ผมเปิดกล่องอาหารนั่งตรงข้าม ตักอาหารเข้าปาก หันกลับไปมองพี่มีนเห็นปริมกำลังจะตามมาแต่โดนพี่มีนเขกกะโหลกไปทีถึงยอมหยุด
“มีอะไรจะพูดหรอ” ผมตักข้าวใส่ปากคำแรกคีรีถามขึ้นทันที มือก็ยกกระติกสนามขึ้นมาจิบน้ำ สายตามองมาที่ผม เหมือนเขารู้ว่าผมจะพูดอะไรเหมือนที่เขารู้เรื่องอื่น ๆ
“คีรีเคยมาที่นี่ใช่มั้ย”
“อยากได้คำตอบจริง?” ถามไปก็ต้องอยากได้คำตอบจริง อยู่แล้วเปล่าวะ ใครจะอยากได้คำโกหก ไอ้หมอนี่มันกวนทีนใช่ไหม คิดว่าผมจะกล้าบอกกับเขาแบบที่คิดเหรอ ไม่หรอก ผมแค่ทำหน้าซื่อ ๆ เหมือนทุกทีพยักหน้าให้
“ถือว่าเคยมาแล้วก็ได้”
“คีรีรู้ได้ยังไงว่าผมบาดเจ็บ”
“ถ้าผมบอกว่าได้กลิ่นเลือดคุณจะเชื่อหรือเปล่า”
“จริงหรอ?” คีรีเกือบจะหลุดขำออกมาตอนผมพ่นเม็ดข้าวจากปาก กลิ่นเลือดเนี่ยนะทั้งที่เป็นแค่แผลเล็ก ๆ เลือดไหลไม่กี่หยด ผมเองยังไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ คนที่ยืนห่างขนาดนั้นจะได้กลิ่นได้อย่างไร
เขาต้องจมูกดีกว่าคนปกติขนาดไหนกันนะ อย่าบอกนะว่าที่เขาเร่งให้เรารีบลงผาก็เพราะได้กลิ่นน้ำมันแปลก ๆ จากแมลงพวกนั้น
“ใช่ น้ำมันแมลงพวกนั้นผมก็ได้กลิ่น ที่คุณตกผาผมก็ได้ยินเสียง” เขาตอบทั้งที่ผมยังไม่ทันได้ถามคำถามด้วยซ้ำ หลายครั้งเหมือนเขาเดาได้ว่าผมคิดอะไร จะพูดอะไร ทำผมแปลกใจปนกลัวนิด ๆ
เพราะอยู่ในป่าหรือเปล่าผมถึงคิดแต่เรื่องเหนือธรรมชาติอยู่ตลอด ผมต้องเลอะเลือนแล้วแน่
“เรื่องลงผาผมก็อยากขอบคุณคีรีเหมือนกัน ถ้าไม่ได้คุณช่วยผมอาจหัวกระแทกหรือแขนขาหักไปแล้ว”
“ผมเคยบอกแล้วว่า คุณจะปลอดภัยจนถึงจุดหมาย” เขาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมอดซึ้งในใจหน่อย ๆ ไม่ได้ เขาไม่ได้มีส่วนอะไรในชีวิตกลับรับงานนี้ทั้งที่ไม่ได้เงินสักบาท
การเดินป่าจะใกล้ไกลแค่ไหนก็มีอันตราย ยิ่งเป็นที่ ๆ ไม่มีคนไปแบบนี้ยิ่งอันตรายไปใหญ่
“ขอบคุณครับ ผมมีอย่างสุดท้ายที่จะถาม”
“ลองถามมาสิ”
“ทำไมคีรีถึงรับงานนี้ ทั้งที่ตอนแรกยืนยันว่าไม่รับ”
“เพราะณจัน ถึงจุดหมายคุณจะรู้เองว่าผมหมายถึงอะไร” ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไรแต่สายตาเขาบอกว่าไม่ได้โกหก ผมไม่กล้าสู้หน้าเลยตักข้าวมากินแทน เขาเองก็เหมือนจะรู้ว่าผมคิดมาก
“รีบกินเถอะจะได้เดินทางกันต่อ อีกไกลเลยกว่าจะได้พัก”
“อ๋อ โอเค ได้เลยงั้น” พูดจบผมก็รีบยัดข้าวสำเร็จรูปจนหมดจะได้เร่งเดินทางกันต่อ คีรียื่นกระติกสนามของตนเองมาให้ “กินเร็วขนาดนั้นเดี๋ยวข้าวติดคอหรอก กินน้ำสักหน่อย”
“ไม่เป็นไร ผมมีของผม คีรีเก็บไว้กินเถอะ ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีแหล่งน้ำอีกหรือเปล่า”
“ผมหาให้ได้ ไม่ต้องห่วง”
36ขอบคุณสำหรับทุกอย่างผม พี่ภัทร พี่มีน ช่วยกันพยุงคีรีขึ้นมานั่งบนฝั่ง พี่มีนก่อกองไฟให้เราพิงไฟเพราะเสื้อผ้าเปียก กลางคืนในป่าอากาศค่อนข้างเย็น ใจผมอยากลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาและตนเองแต่คีรีไม่ยอมปล่อยมือครึ่งค่อนคืนเรานั่งอยู่แบบนี้ตั้งแต่ตัวเปียกชื้น จนตอนนี้เกือบแห้งหมดแล้ว คีรีเหมือนจะหลับไปแล้ว คีรีที่ไม่เคยหลับใหลและเหน็ดเหนื่อย เวลานี้ใบหน้าซีดเผือดเรียกไม่หือไม่อือใด ๆ ทั้งนั้น สภาพเขาแย่อย่างที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมาก่อน แต่มือยังคงมีแรงมหาศาลแกะอย่างไรก็ไม่ยอมหลุด“คีรี ปล่อยมือได้แล้ว ผมไม่เป็นไรแล้ว” ผมกระซิบบอกเขาเสียงเบา มือที่จับกันแน่นถึงค่อย ๆ คลายออก ผมรีบตะโกนเรียกพี่ภัทร เขานั่งห่างออกไปเล็กน้อย พี่มีนกับพี่ภัทรรีบวิ่งมาหาทันที“ผมต้องทำยังไงต่อ” พี่ภัทรยื่นผ้าก็อซปิดแผลสีขาวให้ ผมรับมาใช้มันพันแผลอีกครึ่งที่ไม่ได้ถูกปิดไว้ พอปิดครึ่งล
35คุณจะกลับไปอย่างปลอดภัย“คุณจะได้กลับไปอย่างปลอดภัย” น้ำเสียงจริงจังหนักแน่นของคีรีทำผมหลุดจากภวังค์ พอผมเงยหน้ามองเขาก็ยิ้มให้เป็นรอยยิ้มจริง ๆ ไม่ใช่แค่เพียงการยิ้มมุมปากเหมือนทุกที รอบข้างไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าเรื่องเล่าจากคีรี ผมเลยไม่ได้หลุดโฟกัสไปไหนเลย“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง คีรีบอกเองว่าผู้ช่วงชิงตราต้องชดใช้ความผิด ทายาทจึงจะหลุดพ้นจากคำสาป แต่ตอนนี้เจ้าของตรานี้คือผม”“เพราะมีผมอยู่ ณจันจะไม่เป็นไร เชื่อใจผมแล้วอย่าคิดมาก”“คีรีรู้หรือเปล่าว่าคำสาปที่ว่านั่นคืออะไร” ผมพยักหน้าให้แล้วถามเรื่องอื่นต่อไป ไม่กล้ามองหน้าเขาที่พูดประโยคเมื่อครู่นาน ๆ คีรีส่ายหน้านั่นทำผมหมดคำถามจะถามต่อ ประจวบกับพี่มีนกลับมาพอดี ผมกับคีรีจึงเลิกพูดคุยเรื่องนี้กันไป เปลี่ยนมาสนใจไก่ย่างสองตัวเหนือกองไฟแทน“อะแบ่ง ๆ กันไปนะ กินเนื้อบ้างจะได้มีแรง” พี่มีนว
34คำสาปผู้ช่วงชิงตราผมดวงไม่ดีหรือไง ทำไมขอพรทีไรได้ตรงข้ามกันทุกทีเลย คีรีเดินกลับมาที่แคมป์ในมือถือไก่ป่าสองตัว พี่มีนหันมายิ้มให้ผมจากนั้นลุกเดินไปหาคีรี“ฉันทำอาหารให้” คีรียื่นไก่ป่าสองตัวนั้นให้พี่มีน แล้วเดินมายืนตรงหน้า ผมนึกว่าเขาจะถามเรื่องที่คุยกับพี่มีนเมื่อครู่แต่เปล่าเลย เขาแค่ถามผมว่า “จะไปอาบน้ำหรอ” ผมถอนหายใจพรืดพยักหน้าให้เขา ถือกระเป๋าเป้ที่จัดของเสร็จ ลุกยืนประจันหน้ากับเขา“ลำธารอยู่ทางไหนหรอ” น้ำเสียงผมคงไม่ค่อยเป็นมิตร ค่อนข้างหมั่นไส้ที่เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แต่ก็ช่างเถอะมันไม่ใช่เวลาจะมาคุยเรื่องนี้ พอคีรีชี้ทางให้ผมก็เดินออกไปตามลำพัง ถึงจะเข้าใจว่านี่ไม่ใช่เวลามาคุยเรื่องนี้ผมก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี ไม่รู้คาดหวังอะไรอยู่กันแน่เดินมาเกือบแปดนาทีก็พบลำธารที่คีรีบอก ลำธารกว้างราวสองเมตร ในน้ำมีทั้งปลาทั้งหอย ป่าบนเขานี่ดูอุดมสมบูรณ์ดีเสีย
33ปีนผาพรานพงปีนขึ้นไปเป็นคนแรก ผม ปริม พี่มีน ภัทร ไต่เชือกตามไปอยู่ตามชะง่อนหินที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก เกือบครึ่งชั่วโมงภัทรกับพี่มีนถึงปีนขึ้นมาอยู่ชะง่อนกลางเขาได้ ผมกับปริมใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะชะง่อนสูงเกือบถึงยอดเขาพี่เก็ตได้พี่โทนแบกขึ้นมาพี่มีนกับภัทรช่วยกันดึงเชือกให้ทั้งสองคนค่อย ๆ สูงขึ้น พอขึ้นมาถึงชะง่อนผาแรกต่อมาก็เป็นหน้าที่ผมกับปริมดึงต่อ ส่วนพี่มีนกับภัทรก็ดึงคู่ต่อไปขึ้นมา ตลอดชั่วโมงกว่า ๆ ไม่มีอะไรผิดพลาดเราดึงพวกเขาขึ้นมาได้สองคู่แล้วคู่สุดท้ายพี่เดี่ยวหัวหน้าทีมสองเป็นคนแบกลูกน้องขึ้นมา พี่เดี่ยวเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่บึกบึนไม่น่าห่วงเรื่องกำลังวังชาเลย แต่คนที่มีปัญหาคงจะเป็นภัทรกับพี่มีนที่ดึงขึ้นมาสองคู่แล้วขณะกำลังดึงเชือกจึงเผลอทำเชือกหลุดมือรูดลงจนทั้งสองคนบนเชือกเกือบหล่นลงไปข้างล่าง คีรีที่อยู่บนพื้นกระโดดทีเดียวก็ขึ้นไปยืนอย
32คนป่วยเช้ามืดวันต่อมาคีรีอธิบายกับทุกคนว่าจะไปอย่างไรกันต่อ ทีแรกเราค่อนข้างกังวลเพราะต้องปีนผาสูง ไหนจะมีคนป่วยอีกสามคนที่ดูซึมมากขึ้น แต่คีรีบอกว่าตนเองจะปีนล่วงหน้าขึ้นไปก่อน แล้วค่อยหาที่ผูกเชือกหย่อนลงมาให้เราปีนตาม ถึงได้เบาใจขึ้นมาพี่มีนบอกให้คนป่วยพักอีกครึ่งวันไม่งั้นอาจไม่มีแรงปีน ฉะนั้นตอนนี้พวกเราเลยยังอยู่ใต้ชะง่อนผา เหนือหัวมีคีรีกำลังปีนภูเขาหินเพียงลำพัง ผมนั่งชะเง้อมองขึ้นไปแทบทุกห้านาที เขาไม่ได้ปีนนั่นเรียกว่ากระโดดเกาะจะดีกว่า กระโดดทีหนึ่งเกือบสองช่วงตัวของตนเองคนอื่นไม่ได้สังเกตเขาเท่าไรหรือเขาอาจไม่สนแล้วถึงได้ปีนผาแบบไม่สนใจใคร ไม่ถึงยี่สิบนาทีเขาก็ปีนถึงยอดภูเขาหิน ผมคิดว่าตอนนี้คีรีคงหาที่ผูกเชือกอยู่ เชือกยาวประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบเมตร ไม่รู้ว่ามันจะยาวพอดีหรือเปล่า“โอ๊ยเจ็บ” ระหว่างที่กำลังคิดอยู่ก็มีเสียงร้องโอดโอยดังมาจากหนึ่งในลู
31ลานหินร่วงพักอยู่สิบนาทีก็เดินต่อ คีรีบอกเสียงเข้มไม่ว่ายังไงเราก็ต้องเดินผ่านลานหินกว้างนี้ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน ผมไม่ได้ถามว่าทำไมแต่ถ้าเขาบอกมาแบบนี้แปลว่ามันอันตรายลานดินแบบนี้เดินง่ายกว่าเส้นทางในป่าเยอะเลย อาจเพราะยังสว่างอยู่ทำให้เราสามารถเดินหลบเศษหินแกรนิตก้อนเล็กก้อนใหญ่ได้สบาย ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงหน่อย ๆ เราก็เดินมาถึงกลางเส้นทางแล้ว ฟ้ายังดูครึ้มอยู่เลยไม่แน่ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าฝนอาจตกลงมา เราจึงรีบเดินเพื่อให้ถึงภูเขาหินข้างหน้าก่อนค่ำ“มีบางอย่างกำลังมา” คีรีหยุดฝีเท้าหันมาบอกพวกเราเสียงแผ่ว พอคีรีว่าจบก้อนเมฆก้อนใหญ่ก็เคลื่อนไปบดบังแสงดวงอาทิตย์ พวกเราไม่มีใครได้ยินอะไรสักคนเลยพากันจ้องใบหน้าของอารักษ์ขาประจำทีม เขาหยุดนิ่งเงี่ยหูฟังบางอย่าง เห็นเขานิ่งแบบนั้นผมก็เลยไม่กล้าขยับตัวตามไปด้วย“ฝนจะตกอีกแล้ว” หนึ่งในลูกทีมของพี่เดี่ยว ถ้าจำไม่ผิดน





![เพียงหัวใจเพรียกหา - [Omegaverse]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

