“อาวุธสำหรับเจ้า เอาไว้ฝึกวรยุทธ หากเจ้าเลือกเส้นทางแล้ว และอยากเป็นแม่ทัพ ข้าจะสนับสนุนเจ้าเต็มที่ แต่เจ้าต้องตั้งใจฝึก อย่างน้อยก็ต้องอารักขาถิงถิงให้ได้ก่อน”
“นี่มัน มากเกินกว่าที่ข้าจะคิดฝัน ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึง..”
“หลังจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา พวกเจ้าเองก็ต้องมีกองกำลังของตัวเองเช่นกัน ถิงถิงบอกข้าว่าเจ้าอยากเป็นทหาร ข้าแค่มอบโอกาสนั้นให้กับเจ้า แต่ว่า นั่นก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของเจ้าด้วย เจ้ารับปากข้าได้หรือไม่ว่าจะตั้งใจฝึก”
อาหลานคุกเข่าลงถวายคำนับให้เขาอย่างรู้สึกนับถือหมดหัวใจ
“อาหลานขอสัญญาว่าจะตั้งใจฝึกเพคะ จะปกป้องดูแลคุณหนูเท่าชีวิต ท่านอ๋องโปรดวางใจได้เลยเพคะ”
“ดีมาก เรือนร้อยบุปผายังต้องฝึกคนอีกมาก เจ้าเริ่มจากที่นี่ก่อน ข้าจะจัดหาคนมาให้เจ้าฝึก”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ”
“เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะให้คนยกไปเก็บที่ห้องของเจ้าให้ ถิงถิง ไปอาบน้ำกันเถอะ”
“เอ่อ เดี๋ยวเจ้าค่ะ ท่านก็ไปอาบห้องท่านสิเจ้าคะ”
“ก็ใช่ ข้าแค่ชวนเจ้าไปอาบน้ำพร้อมกัน ไม่ได้บอกว่าอาบด้วยกันเสียหน่อย หรือว่าเจ้า….”
“ฝันไปเถอะ ขอตัวเจ้าค่ะ”
“อาหลานขอบพระทัยท่านอ๋อง”
“อาหลาน ข้าต้องขอโทษเจ้าที่เคยปรามาสพวกเจ้าในตอนแรก สิ่งนี้ถือว่าแทนคำขอโทษจากข้า แต่หลังจากนี้เวลาข้าไม่อยู่ ชีวิตของถิงถิง ข้าขอฝากไว้ให้เจ้าช่วยดูแลด้วย"
“หม่อมฉันรับด้วยเกล้าเพคะ”
“ข้าขอตัวก่อน”
เขาเดินตามถิงถิงขึ้นไปยังห้องพักของเขาเพื่อจะอาบน้ำ เมื่อเขาขึ้นมาแล้วก็พบว่าเป่าอี้รอเขาอยู่พร้อมกับเสี่ยวเฟย เหยี่ยวของเขานั่นเอง
“ข่าวส่งมาจากเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
เขารับจดหมายนั้นมา เมื่ออ่านจบจึงส่งคืนไปให้เป่าอี้
“เป็นดังที่คาด ข่าวที่ปล่อยออกไปทำให้พวกมันกระจายกำลังตามหาข้าที่นอกเมือง รวมถึงเมืองหลวงด้วย ต้องให้คนอารักขาเสด็จพ่อให้ดี”
“กระหม่อมเพิ่มกำลังในวังเพิ่มขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ในหย่งโจวเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดูเหมือนจะไม่มีการเคลื่อนไหวในช่วงนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด เจ้าส่งคนไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่จวนท่านเจ้าเมืองดู ข้ารู้สึกว่ากลิ่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“พระองค์คิดว่าคุณหนูหลิน…”
“ข้ายังไม่รู้ จนกว่าคนร้ายจะปรากฏตัว เราห้ามประมาทโดยเด็ดขาด”
“ท่านอ๋อง แต่ว่าทางร้านร้อยบุปผาตอนนี้ มันจะเป็นที่ผิดสังเกตไปหรือไม่ขอรับ”
“ไม่หรอก เพียงแค่อาหลานฝึกอาวุธให้คนในเรือน มีอะไรน่าผิดสังเกต ข้าแค่อยากรู้ว่า หากมีคนเห็นว่าที่นี่มีการฝึกฝน ผู้ใดมันจะดิ้นรนจนร้อนตัวบ้างก็เท่านั้น”
“เรื่องที่คุณหนูหลินทะเลาะกับแม่นางฟาง คิดว่าไม่นานน่าจะถึงหูท่านเจ้าเมือง นางต้องหาเรื่องแม่นางฟางแน่นอน”
“ก็ลองดูว่าพวกเขาจะกล้าแค่ไหน กล้ามายุ่งกับคนของข้า ก็ต้องกล้ารับสิ่งที่พวกเขาต้องจ่าย ส่งข่าวให้เสด็จพ่อทราบด้วยเรื่องที่นี่ พระองค์จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาล่ะ ข้าจะอาบน้ำ เจ้าก็ไปจัดการได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เขาเดินออกมาเพื่อจะอาบน้ำ แต่เขาก็ลืมถามถิงถิงว่าห้องอาบน้ำอยู่ที่ใดแน่เพราะอยู่ที่นี่ เมื่อท่านหมอไม่ให้โดนน้ำ เขาจึงไม่ได้อาบน้ำหรือแช่น้ำเลย ทำเพียงแค่เช็ดตัวกับอ่างที่พวกสาวใช้เตรียมมาให้เท่านั้น
แต่ตอนนี้แผลของเขาแห้งมากแล้ว การแช่น้ำทำได้แต่จะแช่นานๆ ไม่ได้ เขาเลยเดินไปตามทางเดินและได้ยินเสียงน้ำ เขาจึงเดินไปตามทางนั้น กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาตามทางจนเขาเดินตามไปอย่างใจลอย
“นี่คงเป็นห้องอาบน้ำสินะ”
เขาเดินเข้าไป ห้องอาบน้ำนี้ใหญ่พอสมควรสำหรับอาบน้ำ แต่ไม่ได้ใหญ่มากเท่าจวนอ๋องของเขา แต่กลิ่นหอมนี้ไม่เหมือนที่ใดแน่นอน
เขาเห็นฉากกั้นก่อนจะถึงอ่างอาบน้ำ ไอน้ำที่ลอยขึ้นมาทำเอาจิตใจเขาเริ่มว้าวุ่น เป็นเพราะน้ำหอมที่ลอยมาหรือไม่นะ
เขาเห็นว่ามีคนกำลังเดินมาจึงต้องหลบไปที่ฉากกั้นด้านหลัง นางสวมเพียงชุดคลุมสีขาวสะอาด ผมถูกรวบเก็บเอาไว้ด้านบนจนหมด
เขายืนพิงที่ฉากกั้นอย่างตื่นเต้นเมื่อนางเริ่มปลดอาภรณ์ที่เหลือออก คองามระหงของนางนั้นช่างยั่วตาเขาเหลือเกิน เขาไม่เคยเห็นนางในรูปลักษณ์นี้มาก่อน
ท่านอ๋องกลืนน้ำลายเหนียวลงไปอย่างยากลำบากเมื่อเห็นว่าร่างเล็กของนางค่อยๆ เดินเปลือยเปล่าลงน้ำไป
หัวใจเขาเต้นแรงราวกับว่ามันจะทะลุออกมาด้านนอกแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองผู้ที่อยู่ในอ่างน้ำนั้น ผิวนางช่างขาวเนียนละเอียดยิ่งนัก
เขาแทบจะไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้ เพียงแค่คิดถึงจูบรสน้ำตาลปั้นเมื่อครู่ก็เริ่มรู้สึกว่าจะยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไหวอีกต่อไป แต่เขาจะทำอย่างไรดี
หากออกไปตอนนี้ คนตรงหน้าจะเข้าใจเขาหรือไม่ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจแอบมาดูนางอาบน้ำเลย ทุกอย่างมันเป็นเรื่องบังเอิญที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน แต่อย่างไรเขาก็อดทนที่จะยืนตรงนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“ถิงถิง”
นางสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับหันมองหาเสียงนั้นพร้อมกับห่อตัวลงไปที่อ่างน้ำอย่างรวดเร็ว นางหันมาเห็นว่าเขาเดินออกมาจากฉากกั้น
“ท่านอ๋อง นี่ท่านจะทำอะไร เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่”
นางไม่กล้าหันไปแต่เสียงเขาเดินเตะของในห้องอาบน้ำทำให้นางต้องค่อยๆ หันไปมองเขาอีกครั้ง
“ท่าน ท่านอ๋อง นั่นท่านทำอะไร เหตุใดท่านจึง…”
ท่านอ๋องเอาผ้าขาวปิดตาตัวเองเอาไว้ พร้อมกับควานหาทางเดินไปทั่ว ถิงถิงเดินขึ้นมาพร้อมกับสวมชุดคลุมและเดินมาหาเขา
“เหตุใดท่านไม่รอข้าไปเรียกเจ้าคะ”
“ข้าผิดเองที่ไม่ได้ถามเจ้า ข้าเพียงแค่อยากแช่น้ำเท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะพาท่านไปแช่ ข้า..”
“ถิงถิง ข้าสาบานว่าข้าไม่ได้ตั้งใจเข้ามาเจอเจ้าที่นี่”
“หม่อมฉันเชื่อเพคะ”
“ถิงถิง ข้าปิดตาแล้ว เจ้าก็ยังอาบน้ำไม่เสร็จ ถ้าอย่างนั้น ข้าขออาบกับเจ้าด้วยได้หรือไม่”
“ไม่ได้เพคะ”
“แต่ว่าข้าอาจจะทำแผลข้าโดนน้ำ เจ้าต้องช่วยข้า นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า ลืมแล้วหรือ”
“แต่หม่อมฉันเป็นสตรี ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่สามารถทำเช่นนั้นได้”
“ข้าจะปิดตาเอาไว้ สาบานว่าจะไม่มีทางเปิดออกมา ถิงถิง แค่วันนี้ เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่ ไหนๆ ข้าก็เข้ามาแล้ว”
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านอาบน้ำอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
“อาหลิน ข้าอาบน้ำอยู่ เจ้าไม่ต้องเข้ามา เดี๋ยวข้าอาบเสร็จแล้วจะลงไปเอง”
“ข้าจะมาถามว่าท่านจะกินข้าวพร้อมกับคุณชายหมิงเลยหรือไม่เจ้าคะ ท่านป้าลี่ให้มาถาม จะได้จัดสำรับเอาไว้ให้พวกท่านถูกเจ้าค่ะ"
“เจ้าต้องกินข้าวกับข้า เจ้าต้องทำแผลให้ข้าด้วย อย่าลืม”
“พระองค์หุบปากไป ข้าทราบแล้วเพคะ”
พวกเขากระซิบกันอยู่ข้างในห้องอาบน้ำ
“เอ่อ ยกไปที่ห้องของคุณชายหมิงได้เลย เจ้ายกยาและผ้าพันแผลไปด้วย”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“ถิงถิง ตอนนี้ข้ากลับไม่ได้แล้ว”
"ก็ได้เพคะ แต่ว่าพระองค์ต้องหันหลัง หม่อมฉันก็จะหันหลังเช่นกัน"
“ก็ได้ ตอนนี้เจ้า เอ่อ อะฮึ่ม คือ สวมอะไรหรือไม่ ข้าจะให้เจ้าพาลงไปในอ่างแล้วค่อยถอดชุดออก”
“รอสักครู่เพคะ”
ถิงถิงมองที่ผ้าขาวที่ปิดตาเขาพลางโบกมือไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าเขามองไม่เห็นจริงๆ นางจึงค่อยๆ ถอดชุดคลุมอีกครั้ง และพาเขาเดินลงไปในอ่างน้ำ
“ค่อยๆ เดินเพคะ ตรงนั้นมีบันได ว้าย..”
ตัวเขาดันเข้าไปจนชิดนางจนนางต้องกอดเขาไว้แน่นเพราะกลัวว่าเขาจะหกล้ม ร่างเปลือยเปล่าของนางตอนนี้แนบชิดกับเขาอยู่ในอ่างน้ำ แต่กลิ่นแก้มของนางที่อยู่ใต้จมูกเขานั้นยังได้กลิ่นชัดเจนจนเขาเริ่มจะอดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่
หมิงลี่หยางและเสิ่นจวินมองผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ด้วยความตกใจ“ท่านหญิง!!” “ถิงถิง เจ้าคิดอะไรอยู่”“งานนี้เป็นงานเลือกคู่ของข้า ข้าจึงต้องเป็นคนประลองเอง หากเอาชนะข้าได้ข้าก็จะเลือกคนนั้น”“ท่านหญิง แต่ว่าทั้งชีวิตของข้า ไม่เคยคิดต่อสู้กับสตรี”“องค์ชาย ท่านจะถอนตัวงั้นหรือเพคะ”“คือว่า…นั่นมัน…องค์ชายหมิง ท่านคิดว่าอย่างไร”หมิงลี่หยางมองหน้าถิงถิงที่ยืนยิ้มให้เขาอย่างท้าทาย สายตานางเหมือนกับครั้งแรกที่เจอกัน ท้าทาย อวดดี ไม่ยอมคน“หากท่านหญิงพูดเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอรับคำท้า”“องค์ชาย แต่ว่านาง…เป็นสตรี”“องค์ชายเสิ่น ในสนามรบ ท่านเคยถามคนที่ท่านจะฆ่าหรือไม่ว่าเป็นบุรุษหรือว่าเป็นสตรี”“ไม่เคย”“นั่นเพราะท่านคิดว่าทั้งหมดที่ท่านฆ่าไปคือบุรุษ ใช่หรือไม่ แต่ที่จริงหนึ่งในนั้นหรืออาจจะครึ่งของกองทัพอาจจะเป็นสตรีก็ได้โดยที่ท่านเองก็ไม่ทราบ”“อ่อ เป็นเช่นนั้นเอง ถ้าเช่นนั้น ท่านหญิงข้าเองก็ขอรับคำท้าของท่านเช่นกัน”“ท่านหญิง ท่านมีกติกาอะไรหรือไม่”“ไม่มี พวกท่านสามารถใช้อาวุธได้ตามที่ท่านถนัดได้เลย ไม่นับเวลา ไม่มีกฎเกณฑ์ ใครสู้ไม่ไหวถือว่าแพ้”“แล้วท่านหญิงจะใช้อาวุธใดพ่ะย่ะค่ะ”“ข้
สิ้นเสียงของหมิงลี่หยาง แม่ทัพจึงถามเขาเพื่อความแน่ใจ แม้จะรู้ว่าพวกเขาอาจจะเอาชนะหมิงลี่หยางยากก็ตาม“องค์ชาย พระองค์มั่นใจนะพ่ะย่ะค่ะ เวทีนี้จะไม่มีความปราณีใดๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบคุณท่านแม่ทัพ เชิญทุกท่าน”แม่ทัพหันไปพร้อมกับทำสัญญาณมือให้นักสู้สิบคนที่เหลือเดินขึ้นบนเวทีพร้อมกัน“นั่นเขาบ้าไปแล้วหรือ จะต่อสู้ทีเดียว นั่นมันหนึ่งต่อสิบเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่ ท่านไม่ไปห้ามสหายท่านหน่อยหรือ ถึงจะเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามแต่ก็ไม่ควรประมาทคู่ต่อสู้แบบนี้ สิบคนนั้น ครึ่งหนึ่งเป็นอาจารย์ของพวกข้าเชียวนะ”“ไม่ต้องห่วงหรอก เขารู้ว่าเขากำลังทำสิ่งใดอยู่”“จะไม่เป็นไรแน่หรือพ่ะย่ะค่ะ”“…..”แม้ว่าพูดไปอย่างนั้น แต่ฟ่านหยวนผิงก็แอบขมวดคิ้วเล็กน้อยกับการกระทำที่บ้าบิ่นของหมิงลี่หยางในครั้งนี้ ที่จริงเขาเห็นด้วยกับองค์ชายใหญ่ ครั้งนี้หมิงลี่หยางอาจจะวู่วามเกินไป เพราะสิบคนนั้นคือยอดฝีมือของม่านโจวที่ใช่ว่าจะเอาชนะได้ง่ายๆ“องค์ชายหมิงโหดเกินไปแล้ว นั่นเขาจะสู้หนึ่งต่อสิบหากแพ้ขึ้นมาเล่า องค์ชายเสิ่นจวินท่านไม่ห้ามเขาหน่อยหรือ”“ข้ามีสิทธิ์อะไรไปห้ามเขากันเล่า พวกท่านก็ดูอยู่เฉยๆ เถิด ในเมื่อองค์ชาย
รอบที่สอง ประลองการต่อสู้รอบนี้เป็นการประลองตัวต่อตัวกับนักสู้ที่ทางม่านโจวจัดขึ้นมา สามารถเลือกใช้อาวุธได้ตามถนัด โดยจะนับจากจำนวนคนที่สู้ได้ชนะมากที่สุด ซึ่งองค์ชายสองเมืองที่ขึ้นมาประลองก่อนสามารถเอาชนะไปได้ห้าคน คนที่สองเอาชนะไปได้เพียงสามคนเท่านั้น“องค์ชายเสิ่นจวิน ถึงตาท่านแล้ว”เสิ่นจวินเดินขึ้นไปบนเวทีเพื่อทำการประลอง โดยคนที่ขึ้นมาประลองกับเขาจะผลัดกันขึ้นมา แต่ละคนจะใช้อาวุธต่างกันออกไปทั้งหอก ดาบ ค้อน มีดสั้น อาวุธลับและมือเปล่า แล้วแต่ว่าผู้เข้าแข่งขันจะเลือกอาวุธชนิดใดมาต่อสู้กับคู่ต่อสู้ ไม่มีการกำหนดการใช้อาวุธ ไม่กำหนดเวลา แต่หากล้มคู่ต่อสู้ให้ออกจากสนามได้ถือว่าชนะ“ชนะคนที่ห้า”เสิ่นจวินลงมาพัก หมิงลี่หยางเดินนำน้ำมาให้เขา เสิ่นจวินมองและขอบคุณอีกครั้ง“ท่านไหวหรือไม่”“ยังพอไหว แต่ที่เหลือนั่น ข้าคงต้องปรับกลยุทธ์ใหม่”“ท่านกินยานี่ก่อน มันจะช่วยปรับสมดุลลมปราณของท่านให้คงที่ อย่าพึ่งออกแรงมาก ท่านสังเกตคนที่เหลือ พวกเขาใช้อาวุธ ท่านผ่านด่านที่ยากที่สุดมาแล้ว ยังเหลืออีกไม่กี่คนเท่านั้น”“องค์ชาย เหตุใดท่านต้องช่วยคู่ต่อสู้เช่นข้าด้วย ทั้งๆ ที่เรา...”“เราไม่ได้แ
ทั้งสนามเงียบกริบเมื่อลูกธนูนั้นถูกยิงออกไป และทหารวิ่งเข้าไปเพื่อตรวจสอบก่อนที่ธงสีแดงจะถูกยกขึ้น“คะแนนเต็ม”“ยอดเยี่ยม”เสิ่นจวินกำหมัดขึ้นด้วยความดีใจ เขารีบหันกลับไปก้มคำนับให้กับหมิงลี่หยางเพื่อขอบคุณเขาที่ชี้แนะวิธีนี้ให้เขา“ขอบคุณองค์ชายหมิง หากครั้งนี้ไม่ได้ท่าน ข้าคงพลาดเป้าสุดท้าย”“ด้วยฝีมือของท่าน ข้ามั่นใจว่าท่านต้องยิงโดนแน่ ท่านมีทักษะการยิงธนูที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ข้าเพียงแนะนำเล็กน้อยเท่านั้นอย่าได้เกรงใจ”หมิงลี่หยางเดินออกไปลานยิงธนู เขาเลือกคันธนูและดึงลูกธนูออกมา เป้าด้านหน้าเริ่มวิ่งเขายิงธนูออกไป ที่จริงต้องพูดว่า เขายิงลูกธนูออกเพื่อให้พอดีกับจังหวะที่เป้าจะวิ่งมาถึงได้อย่างพอดี ธนูดอกแรกพุ่งเข้ากลางเป้า เมื่อตอนนี้เขาจับทิศทางของการเคลื่อนไหวแล้วเขาจึงหันไปที่เป่าอี้“นั่นเขาจะทำสิ่งใดกัน”“เสด็จอายังจำครั้งที่เราถูกล้อมที่ชายแดนต้าหูวเมื่อสี่ปีก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"“ข้าย่อมจำได้ดี เจ้าหมายความว่า เขาจะใช้วิธีนั้นงั้นหรือ ข่มขวัญศัตรู” "เขาทำสิ่งใดงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ เล่าให้พวกข้าฟังที"หมิงลี่หยางที่ถูกศัตรูล้อมเพราะมาช่วยพ่อและหยวนผิงในศ
เมื่อถิงถิงเดินออกจากตำหนักเพื่อขึ้นเกี้ยวที่รอรับอยู่เพื่อไปที่สนามประลอง นางก็ทันได้พบกับฟ่านหยวนผิงที่วิ่งมารับนางพอดี เมื่อเขาลงมาจากม้า“พี่ใหญ่ ท่านมารับข้าหรือเพคะ”“ใช่แล้วล่ะเจ้ากำลังจะไปสนามหรือไม่ ข้าจะนำขบวนเจ้าไป ขึ้นเกี้ยวเถอะ”“เพคะ ขอบคุณพี่ใหญ่”เมื่อฟ่านหยวนผิงเดินนำขบวนท่านหญิงด้วยตนเองมาที่สนามประลอง เมื่อเกี้ยววางลง ทุกสายตาที่อยู่ในสนามก็หันมามองทันที ม่านเกี้ยวเปิดออก ท่านหญิงฟ่านถิงถิงเดินลงมาพร้อมกับฟ่านหยวนผิงที่เดินไปรับนางและพาเดินไปนั่งประจำที่ข้างๆ ฝ่าบาทซึ่งเป็นเสด็จอาของทั้งคู่“อาถิงมาๆ มานั่งข้างๆ อาตรงนี้เร็วเข้า”“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”“มาๆ ไม่ต้องมากพิธี เจ้าตื่นเต้นหรือไม่”“เสด็จอาเพคะ หม่อมฉันตื่นเต้นนิดหน่อยเพคะ”“ฮ่าๆ ข้านึกสนุกอยากเห็นคนหนุ่มสู้กันเต็มที่แล้ว เจ้าน่ะ หมายปองผู้ใดเป็นพิเศษหรือไม่”“เสด็จอา พระองค์ถามเช่นนี้อาถิงคงตอบยากพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้าล่ะหยวนผิง เจ้าว่าผู้ใดจะชนะ”“ข้าก็ต้องเดิมพันข้างหมิงลี่หยาง สหายข้าอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เสด็จพี่หมายถึงองค์รัชทายาทฉีโจวหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ใช่แล้ว เจ้าล่ะองค์ชายสาม เจ้าว่างานนี้มีผู้ใดพอจะสู้เ
ถิงถิงจับตัวลี่หยางขึ้นมาพร้อมกับกระซิบเสียงดุใส่เขาเพื่อให้เขาหยุด“แม่นมอิ๋นมา อ๊ะ ลี่หยาง อย่าพึ่ง อื้มม”เขาปัดมือนางออกและจับตรึงเอาไว้พร้อมกับระดมจูบไปทั่วกายของนางโดยไม่สนใจเสียงเรียกที่หน้าประตู“อ๊าา ลี่หยาง”“ท่านหญิงเพคะ หม่อมฉันเข้าไปนะเพคะ”“อ๊าา ลี่หยาง อย่าพึ่งสิ นางจะเข้ามาแล้ว ท่านหยุดก่อน อ๊าา หยุด อาาา”“ท่านหญิง…”“แม่นม ข้ากำลังจะนอน…นอนแล้วเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา…ก็ได้…. ท่านกลับไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ”เสียงของถิงถิงขาดหายเป็นห้วงๆ เพราะสัมผัสของลี่หยางที่ใช้ลิ้นโลมเลียไปที่ร่องกลีบกลางของนางจนนางต้องกลั้นเสียงร้องอย่างสุดแรง มือที่กำหมอนแน่นราวกับกลัวว่าจะถูกแม่นมอิ๋นจับได้ว่าทำอะไรอยู่ในนี้“ชุดสำหรับวันพรุ่งนี้…”“อ๊าาา แม่นม …..อืมมม ค่อยเอามาให้ข้าวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ ข้าง่วงมากเลย อึ๊ยยย”ลี่หยางยังล้วงลิ้นเข้าไปด้านในอย่างดุเดือด มือทั้งสองเอื้อมไปบีบยอดอกอวบนั้นจนถิงถิงต้องกัดฟันแน่นเมื่อต้องตอบคนที่ยืนรออยู่หน้าประตู“ได้เพคะ ถ้าเช่นนั้น…..”“แม่นมอิ๋น…ไปพักผ่อน…เถอะเจ้าค่ะ…ข้า…ไม่ไหวแล้วว อ๊าา”ถิงถิงต้องรีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาอุดปากตัวเองแล้วร้องออกมาเพื่อระบายค