Masukไหนจะต้องรับมือน้องสาวต่างบิดาที่จ้องมาทำลายบ่อเงินบ่อทองตระกูลจางของนางแล้ว นางยังต้องรับมือกับคนผู้นั้นอีก ชีวิตนี้ช่างเหน็ดเหนื่อยยิ่ง ก็ตกลงกันแล้วมิใช่หรือว่าเมื่อถึงเมืองหลวงเราสองคนจะกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้า แต่เหตุใดนางถึงได้พบหน้าเขาอยู่บ่อยครั้ง เขาติดใจนางที่ใดกัน... ............... “ที่ข้าอยากได้เครื่องรางปลอดภัยก็เพราะอยากได้มาป้องกันไม่ให้ถูกสตรีมาย่ำยีร่างกายที่แสนจะบริสุทธิ์ของข้า” ‘นี่เขากำลังหลอกด่านางอยู่ใช่หรือไม่’ “เจ้ารู้หรือไม่ ร่างกายของข้านั้นล้ำค่ายิ่งนัก ข้าหวงเนื้อหวงตัว ไม่ยอมให้สตรีใดมาสัมผัสร่างกายของข้า” “...” “ข้าต้องปกป้องและรักษาร่างกายของตนไม่ให้สตรีใดมากอดจูบลูบคลำได้ ดังนั้นข้าจึงต้องการเครื่องรางปลอดภัยเพื่อใช้ปกป้องให้แคล้วคลาดจากสตรีที่หวังจะเชยชมเรือนร่างข้า” “ขะ ข้าเพียงต้องการช่วยท่านต่างหาก หาได้ตั้งใจล่วงเกินท่านไม่” .............. คำเตือน! นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายสายสุขนิยม (Feel-good) เน้นพระเอกคลั่งรัก ปล.นิยายเรื่องนี้มี NC+ตามความเหมาะสม
Lihat lebih banyakบทนำ
“มิทราบว่าวันนี้รถม้าของคุณชายรองเซี่ยเสียอีกแล้วหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถามก่อนจะนั่งลงด้านข้าง
“ข้าเพียงบังเอิญผ่านมาแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจึงเข้ามานั่งพักในรถม้า ช่างบังเอิญเสียจริงที่เป็นรถม้าของคุณหนูจาง” คนบังคับรถม้าก็เป็นองครักษ์เงาของเขาที่บัดนี้กลายเป็นผู้คุ้มกันอยู่ในจวนตระกูลจาง ดังนั้นทุกอย่างย่อมอยู่ในการควบคุมของเขา
‘หึ! ความบังเอิญช่างน่ากลัวเสียจริง’ นางลอบคิด
“ได้ยินว่าคุณหนูจางได้เครื่องรางมา ไม่ทราบว่ามีของข้าด้วยหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
“เหตุใดถึงไม่มี”
‘แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะมาขอเครื่องรางจากข้า’
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้ว่าท่านอยากได้ จึงขอมาให้เพียงคนในครอบครัวของข้า” สิ้นเสียงกล่าวของนาง เขาเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ ร่างกายของเขาแนบชิดตัวนางแล้วดันแผ่นหลังของนางให้กดลงกับผนังของรถม้า
“เช่นนั้นเจ้ายิ่งควรต้องมอบให้ข้า” เขาโน้มใบหน้าเข้าใกล้หูนางก่อนจะกระซิบเสียงเบา
“หากท่านอยากได้เครื่องรางปลอดภัยมากถึงเพียงนี้ ข้าสามารถไปส่งท่านที่หน้าทางเข้าอารามได้เจ้าค่ะ” อยากได้ก็ไปขอเอาเองจะมารีดไถจากนางด้วยเหตุใด
“ข้าอยากได้จากเจ้า หาใช่จากอาราม”
“เพราะเหตุใดเจ้าคะ” เหตุใดถึงอยากได้จากนางกัน
“ที่ข้าอยากได้เครื่องรางปลอดภัยก็เพราะอยากได้มาป้องกันไม่ให้ถูกสตรีมาย่ำยีร่างกายที่แสนจะบริสุทธิ์ของข้า”
‘นี่เขากำลังหลอกด่าข้าอยู่ใช่หรือไม่’
“เจ้ารู้หรือไม่ ร่างกายของข้านั้นล้ำค่ายิ่งนัก ข้าหวงเนื้อหวงตัว ไม่ยอมให้สตรีใดมาสัมผัสร่างกายของข้า”
“...”
“ข้าต้องปกป้องและรักษาร่างกายของตนไม่ให้สตรีใดมากอดจูบลูบคลำได้ ดังนั้นข้าจึงต้องการเครื่องรางปลอดภัยเพื่อใช้ปกป้องให้แคล้วคลาดจากสตรีที่หวังจะเชยชมเรือนร่างข้า”
“ขะ ข้าเพียงต้องการช่วยท่านต่างหาก หาได้ตั้งใจล่วงเกินท่านไม่”
“คราวนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าจึงต้องมอบเครื่องรางปลอดภัยที่ขอมาให้ข้า” กล่าวจบเขาก็อ้าปากงับใบหูนางก่อนจะขบกัดมันเบา ๆ
“อ่ะ! ก็ได้เจ้าค่ะ” นางรีบตอบรับพร้อมกับหัวใจดวงน้อยที่เต้นรัวแรง ดวงหน้าหวานแดงก่ำลามไปจนถึงใบหู ก่อนจะรีบหยิบเครื่องรางที่ซ่อนไว้ในช่องลับบริเวณอกออกมา
“ดียิ่ง ต่อจากนี้นอกจากเจ้าแล้วจะได้ไม่มีใครมาย่ำยีร่างกายข้าได้อีก”
‘เซี่ยหงหมิง ท่านใช้คำให้มันดี ๆ หน่อยได้หรือไม่’ หากมีผู้ใดมาได้ยินคงเข้าใจผิดเป็นแน่ ยามนั้นนางเพียงช่วยเหลือเขา หาได้ทำตัวเช่นโจรบุปผาไม่
อย่าได้คิดมาใส่ร้ายนางนะ...
ผ่านไปหนึ่งกระบวนท่าโจรป่าพวกนั้นถูกสังหารจนหมดสิ้นเหลือเพียงตัวหัวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บหนักนอนหายใจรวยริน “เหตุใดถึงนอนนิ่งเช่นนั้นเล่า มิอยากชมเชยสตรีแล้วหรือ” “มะ ไม่แล้ว ท่านจอมยุทธ์ได้โปรดไว้ชีวิตข้า ข้าสัญญาจะไม่ทำเรื่องชั่วช้าอีก” “เรื่องนี้เจ้าควรไปบอกกับท่านเหยียนหลัวหวาง[1]ในปรโลก แล้วรอพี่น้องลูกเมียของเจ้าอยู่ที่นั่น ข้าสัญญาว่าจะต้องส่งพวกเขาไปหาเจ้าครบทุกคน” “มะ ไม่!” สิ้นเสียงร้องนั้น เขากดกระบี่ที่ปักอยู่บริเวณอกทำให้หัวหน้าโจรป่าสิ้นใจไปในทันที นัยน์ตาคมที่กวาดมองร่างของเหล่าโจรป่าฉายแววเย็นชา ก่อนที่เขาจะทรุดกายคุกเข่าลงบนพื้นดินอย่างหมดแรง แม้แผนการที่วางเอาไว้จะผิดพลาดไปแต่ทว่าสุดท้ายเขาก็สามารถเอาชีวิตรอดมาได้ ‘หึ! หนีรอดสายตาของพวกนั้นมาได้ถึงเมืองหลวงแล้ว แต่กลับเกือบตายเพราะผลประโยชน์ที่รับปากเอาไว้’ คิดจบเขาก็ปรายตามองต้นไม้ใหญ่ที่ซ่อนเร้นคุณหนูผู้นั้นเอาไว้ เขาฝืนร่างกายที่บาดเจ็บลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ต้นไม้ต้นนั้น ก่อนจะส่งเสียงเรียกให้นางโผล่หน้าออกมา “คุ
เปรี๊ยะ! เสียงไม้ลั่นดังขึ้น พริบตาเดียวรถม้าคันที่นางนั่งอยู่ก็แตกกระจุยกระจายกันไปคนละทิศละทางทำให้เขาจำต้องโอบเอวนางแล้วใช้วิชาตัวเบาออกห่างจากรถม้า “ลูกพี่ มีสตรีจริง ๆ ด้วย นางงดงามยิ่งนัก” เจ้าโจรป่าที่เห็นว่านางออกมาจากรถม้าตะโกนบอกหัวหน้าของมัน “เออ...หากเจ้าอยากได้นางก็ต้องสังหารสามีนางเสียก่อน” คนเป็นหัวหน้ากล่าวก่อนจะพยายามเข้าโจมตีบุรุษชุดดำที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ใด แต่ด้วยจำนวนคนที่มากกว่าจึงไม่ได้กังวลอันใดมาก “แม่นางคนงามรอข้าสังหารสามีเจ้าก่อน ประเดี๋ยวค่อยเชยชมเจ้า” วาจากักขฬะของโจรผู้นั้นทำให้สตรีที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “หากไม่อยากฝันร้ายจงหลับตาเสีย” สิ้นเสียงกล่าวของเขา จางซีถิงรีบหลับตาอย่างว่าง่ายทันที เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงหันไปตอบโต้กับพวกคนชั่วช้า “ดูจากหน้าตาเจ้าคงไม่ได้มีวาสนานั้น” กล่าวจบคุณชายหานโอบกอดแม่นางน้อยเอาไว้ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปต่อสู้กับเจ้าโจรปากเน่าเหม็นผู้นั้น ยังไม่ถึงครึ่งกระบวนท่าด้วยซ้ำคนที่เอ่ยวาจากักขฬะอยากเชยชมสตรีที่ไม่เต็มใจก็ถูกกระบี
การเดินทางที่ล้วนเต็มไปด้วยความเงียบที่แฝงการเอื้อประโยชน์ต่อกันก็ดำเนินเข้าสู่วันสุดท้าย ซึ่งอีกครึ่งชั่วยามข้างหน้ารถม้าก็จะเคลื่อนเข้าสู่ประตูเมืองหลวง “เจ้าเข้าใจที่ข้าบอกใช่หรือไม่” เขาถามนางหลังจากเล่าแผนการที่เขาเตรียมไว้หากเกิดเรื่องซ้ำอีกครั้ง ซึ่งคนขับรถม้าและสาวใช้คนสนิทของนางก็รับทราบถึงแนวทางการเอาตัวรอดเรียบร้อยแล้ว “...” “คุณหนูจาง หากเจ้าไม่อยากตายก็รีบเปิดตาเปิดหูมาฟังข้าเสีย” ท่าทางที่เคลิ้มหลับของสตรีตรงหน้าทำให้เขานึกอยากจะใช้กำปั้นทุบหัวนางไปสักทีสองที เขาอุตส่าห์ยอมพูดยาวเหยียดเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแต่นางกลับกล้าหลับต่อหน้าเขา “ขออภัยเจ้าค่ะ เชิญท่านพูดต่อได้” คุณหนูจางสะดุ้งตื่นก่อนจะนั่งหลังตรงอย่างตั้งใจเมื่อได้ยินเสียงก่นด่าของเขา ทว่าดวงตากลับไม่ยอมให้ความร่วมมือพาลจะปิดอยู่ร่ำไป “หากเจ้าไม่ยอมลืมตาขึ้น ข้าจะปล่อยเจ้าไว้กลางกลุ่มโจรป่า” สิ้นเสียงกล่าวเขา นางก็พยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก “เชิญกล่าวมาเถิดเจ้าค่ะ” นางพยายามต่อสู้กับ
เมื่อรถม้าจอดพักบุรุษแซ่หานก็ลงจากรถม้าทันที ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากและทำท่าทางล้อเลียนตามหลัง คนขับรถม้าและสาวใช้แผ้วถางทำที่นั่งเพื่อให้ผู้เป็นนายได้นั่งพักกินข้าว แต่ทว่าเมื่อนางทรุดกายลงนั่ง คนที่นั่งอยู่ก่อนก็รีบลุกขึ้นก่อนทำท่าจะเดินย้ายไปนั่งที่อื่น ‘โอ๊ย! พ่อบุรุษรูปงาม หวงตัวเสียด้วย’ นางนั่งห่างเกือบห้าฉื่อ[1]ยังรีบลุกหนี นี่เขาหวงตัวไม่ให้สตรีใกล้ หรือแท้จริงรักใคร่บุรุษรังเกียจสตรีกันแน่ถึงได้แสดงท่าทีมากถึงเพียงนี้ “ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” นางรีบเอ่ยปากรั้งเขาไว้ “มีอันใด” บุรุษรูปงามเอ่ยเสียงห้วน “ข้าเตรียมข้าวมาเผื่อท่านด้วย หากไม่รังเกียจก็รับไปกินเถิดเจ้าค่ะ” เดิมทีก็ตั้งใจจะผูกมิตรจึงคิดเตรียมพร้อมไว้ ไม่คิดว่าสุดท้ายบุรุษที่นางหวังจะผูกมิตรจะเย่อหยิ่งจนน่ารำคาญเช่นนี้ “ไม่จำเป็น” เขากล่าวก่อนจะเดินจากไป ไม่แม้แต่จะปรายตามองห่อข้าวที่นางยื่นไปให้ ‘เสียมารยาทยิ่งนัก ไม่กินก็ตามใจ ข้ากินเองก็ได้’ นางคิดค่อนขอดในใจก่อนจะทรุดกายนั่งลงเพื่อแกะห่อข้าวของตนและเลิกสนใจบุรุษเย่อ