“โทษทีพี่เผลอหลับ มารอนานแล้วใช่ไหม”
“ไม่นานเท่าไหร่ค่ะ”
ก็แค่ชั่วโมงกว่า ๆ เอง!
ปากบอกอย่างแต่ใจกลับบ่นอีกอย่าง เพราะอดน้อยใจกับเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายลืมนัดของเธอไม่ได้
“นั่งรอพี่แป็บนึง น้ำอยู่ในตู้เย็นนะ เปิดได้เลย”
“อ่า ค่ะ”
ฟ้าใสหันมาขานรับเสียงใส เธอมองตามหลังจนกระทั่งรุ่นพี่เดินหายเข้าไปในห้องนอนแล้วจึงหันกลับมาสำรวจห้องของผู้ชายในฝันต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น
วอลเปเปอร์และผ้าม่านสีขาวสะอาดตาเข้าเซตกัน เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เป็นสไตล์โมเดิร์นและ Built in เข้ากับผนังเกือบทั้งหมด ทำให้ห้องดูโปร่งและกว้างขวาง มีการแบ่งแยกโซนต่าง ๆ ให้เป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน ดูน่าอยู่มาก ๆ
ข้าวของทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระบบระเบียบ ไม่มีแม้แต่ฝุ่นผงกวนใจเลยแม้แต่น้อย บ่งบอกถึงนิสัยความรักสะอาดของผู้เป็นเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี
แต่ที่ดูจะดึงดูดสายตาของเธอมากที่สุดเห็นจะเป็นชั้นวางหนังสือตรงหน้า เพราะมันอัดแน่นเต็มไปด้วยหนังสือทางด้านการแพทย์และผลงานการวิจัยต่าง ๆ ที่รุ่นพี่เก็บสะสมเอาไว้ หนาแน่นชนิดที่แต่ละเล่มบดเบียดกันจนชั้นหนังสือแทบแตก
สมกับเป็นห้องของนายแพทย์หนุ่มอนาคตไกล ที่เก่งถึงขนาดได้รับทุนของโรงพยาบาลให้ไปเรียนต่อเฉพาะทางที่ต่างประเทศ
เฮ้อ ทำไมถึงได้ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ทั้งรวยแบบนี้นะ
แคก แคก ~
ฟ้าใสหันขวับตามเสียงไอแห้ง ๆ ที่ดังลอยออกมาจากในห้องนอน ก่อนที่ร่างสูงในชุดเดิมแต่กระดุมถูกติดครบทุกเม็ดแล้ว เดินออกมาพร้อมเจ้าโทรศัพท์มือถือเครื่องสีชมพูฟรุ้งฟริ้งในมือ
“ขอบคุณค่ะ”
ฟ้าใสรับโทรศัพท์เจ้าปัญหามาเก็บลงกระเป๋าสะพาย แล้วส่งยิ้มหวานให้ผู้มีพระคุณจากใจจริง พลันรอยยิ้มก็จางลงเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับขอบตาคล้ำ ๆ และความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเขา
“นี่....พี่นัทไม่สบายเหรอคะ?”
“นิดหน่อยน่ะ”
“แต่ฟ้าใสว่าไม่นิดแล้วนะคะ พี่นัทหน้าซีดมากเลย ปากก็แห้งแตกจนเลือดซิบ ๆ ขนาดนี้ ที่บอกเผลอหลับนี่เพราะแบบนี้ใช่ไหมคะ”
“อืม กลับเลยไหม นี่ก็ดึกแล้ว เดี๋ยวพี่ลงไปส่ง”
นัทเหลือบตาไปมองตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอนาฬิกาติจิตอลซึ่งวางอยู่บนหลังชั้นหนังสือ แล้วหันมาเอ่ยถามรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าปกติ
ใจก็อยากจะขับรถไปส่งเธอที่บ้านทว่าประเมินสังขารของตัวเองแล้วคงให้เธอกลับเองดีกว่า เพราะเกรงว่าเขาจะไปเป็นภาระให้เธอเสียมากกว่า
ฟ้าใสไม่สนใจในคำถามเชิงคำเชิญกลับกลาย ๆ นั่น แต่โฟกัสไปยังเรื่องที่เธออยากรู้แทน
“พี่นัททานข้าวทานยาหรือยังคะ”
“พี่ไม่หิว”
“ไม่หิวก็ต้องทานค่ะ เป็นหมอก็ควรรู้นี่คะว่าต้องปฏิบัติตัวยังไงเวลาที่ไม่สบาย ไปนั่งรอค่ะเดี๋ยวฟ้าใสทำข้าวต้มให้”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สายตาคมฉายแววประหลาดใจออกมา เมื่อรุ่นน้องที่มักจะพูดน้อยและมีท่าทางเกร็งเสมอเมื่ออยู่ใกล้เขา มาวันนี้กลับพูดจายาวเหยียดทั้งยังกล้าออกคำสั่งกับเขาอีกด้วย
“หึหึ ไม่เป็นไร เรากลับไปเถอะ ขับรถดึก ๆ มันอันตรายนะ”
“ไว้ทำข้าวต้มเสร็จแล้วฟ้าใสจะกลับนะคะ ไหนดูสิมีของสดอะไรบ้าง?”
“ฟ้าใส”
รุ่นพี่เอ่ยเรียกเสียงเข้ม แต่ฟ้าใสก็ทำเมินใส่สายตาดุ ๆ ที่เขาส่งมาให้ ก่อนจะเดินลอยหน้าลอยตาไปเปิดตู้เย็นแล้วสำรวจของด้านในอย่างถือวิสาสะ
จะให้เธอทิ้งคนป่วยที่ไม่ยอมดูแลตัวเองแล้วกลับบ้านไปตอนนี้ ใจเธอคงได้พะวักพะวนเรื่องเขาทั้งคืนพอดี!
“ฟ้าใส! อย่าดื้อกับพี่ได้ไหม”
“ฟ้าใสเปล่าดื้อ! คนที่ดื้อก็คือพี่นัทต่างหากค่ะ ไปค่ะ! ไปนั่ง! ป่วยแล้วอย่ามาทำเก่งได้ไหมคะ ถ้าเอาเชื้อไปแพร่จนคนไข้อาการหนักขึ้นมาจะทำยังไงคะ!?”
แววตามุ่งมั่นที่แฝงด้วยความห่วงใยคู่นั้นมันทำให้เขานิ่งเงียบไร้คำโต้เถียง เพราะตามหลักแล้วเขาก็ควรจะรักษาตัวเองให้หายดีก่อนจริง ๆ
มองกันไปมองกันมาอยู่สักพักนัทก็ยอมจำนน เขาถอนหายใจพรืดใหญ่แล้วหย่อนสะโพกลงนั่งบนโซฟาตามคำสั่งของหมอสาวในที่สุด
“เฮ้ออ จะทำอะไรก็ทำ”
“ ก็แค่นั้นแหละค่ะ”
สายตาคมมองรอยยิ้มอย่างผู้ชนะของเธอแล้วเบือนหน้าหนี เสยผมที่ยุ่งเหยิงอย่างขัดใจ ปากก็พึมพำคำบ่นออกมาเบา ๆ ราวกับต้องการพูดกับตัวเอง
“นี่เป็นน้องหรือเป็นแม่วะ”
ทว่าเสียงบ่นนั้นก็ยังลอยไปกระทบโสตประสาทของคนหูดีอย่างฟ้าใสเข้าอยู่ดี เธอจึงโผล่หน้าทะเล้น ๆ ขึ้นมาเหนือประตูตู้เย็นแล้วตะโกนตอบกลับด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะ
“แม่ค่ะ! .... แต่ขอเป็นแม่ทูนหัวนะคะ “
นัทถึงกับหลุดอมยิ้มกับมุกจีบหนุ่มที่หมอสาวยิงใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว มองใบหน้าแดงระเรื่อของคนที่เล่นเองเขินเองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ขี้เกียจจะเถียงกับคนหัวรั้นอีกต่อไป
ดวงตาคมกริบมองตามหญิงสาววิ่งไปวิ่งมาในห้องครัวซึ่งร้างราจากการทำอาหารมานานหลายปีนับตั้งแต่เขาเป็นนายแพทย์เต็มตัวอย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะสะดุ้งแล้วรีบเก็บคืนสายตาเมื่อคนถูกจ้องดันรู้สึกตัวแล้วหันมาส่งยิ้มหวานให้
อืม ตามสบายเลย คิดเสียว่าเป็นห้องของตัวเองไปก็แล้วกัน!
นัทแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นรอยยิ้มสดใสนั้น มือใหญ่เอื้อมไปหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อจากที่อ่านค้างไว้เมื่อวานเพื่อฆ่าเวลา แล้วปล่อยให้หมอสาวระเบิดครัวของเขาได้ตามชอบใจ
โดยที่ชายหนุ่มคงลืมไปแล้วว่า...เขาไม่เคยปล่อยให้ใครรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวถึงขนาดนี้มาก่อน
“ผมต้องขอโทษแทนลูกสาวผมด้วยนะ”“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมมาก่อนเวลาเองครับ”“วันนี้มีธุระที่ไหนอีกหรือเปล่า อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะพ่อนัท”“คงไม่สะดวกค่ะ!”ในที่สุดฟ้าใสก็ไม่อาจทนนั่งปั้นหน้าอยู่ในวงสนทนานี้ได้อีกต่อไป เธอพูดโพล่งขึ้นมากลางวงโดยสนใจว่าคนข้าง ๆ จะตกใจหรือไม่“อ่า งั้นเหรอ แล้วลูกล่ะหิวหรือยัง ให้แสงดาวตั้งโต๊ะเลยไหม”“คงไม่รบกวนหรอกค่ะ เชิญคุณท่านทานก่อนได้เลยค่ะ ฟ้าใสขอตัวนะคะ”สีหน้าของคู่สนทนาเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อถูกตัดบทอย่างไร้เยื่อใย แต่ฟ้าใสรู้ว่านั่นมันก็แค่การแสดงฉากฉากหนึ่งเท่านั้น เธอผุดลุกขึ้นยืนพลางหันไปฉุดมือของรุ่นพี่ให้ลุกขึ้นตามถ้อยคำสร้างภาพที่คนคนนั้นพูดพ่นออกมา มันทำให้เธอรู้สึกสะอิดสะเอียนเสียจนแทบจะอาเจียนอยู่รอมร่อ หากทนฝืนอยู่นานกว่านี้อีกหน่อยเธอคงเก็บอาการไม่อยู่แน่ ๆ“ฟ้าใส!”“พี่นัทมีธุระจะคุยกับฟ้าใสใช่ไหมคะ เราขึ้นไปข้างบนกันเถอะค่ะ!”แรงฉุดกระชากของหมอสาวแทบไม่สามารถดึงตัวให้เขาลุกขึ้นได้หรอกหากเขาไม่ยินยอม ทว่าแววตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองระคนเจ็บปวดคู่นั้น มันทำให้เขาขัดใจเธอไม่ลง“ผมขออนุญาตนะครับ”“อืมม ตามสบายนะ ถ้าต้องการอะไรก็เรียกเด
ก้อกก้อกก้อกเสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง ก่อนจะตามด้วยเสียงของแม่นม ผู้ที่เปรียบเสมือนแม่คนที่สองร้องเรียกเธออยู่หน้าประตู“คุณหนู! คุณหนูตื่นหรือยังเจ้าคะ!?”“ค่ะนม”ฟ้าใสซึ่งรู้สึกตัวตื่นมาได้สักพักแล้ว แต่ยังคงนอนเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงนอนอย่างเกียจคร้าน หันไปขานรับก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู“ มีอะไรหรือเปล่าคะ”“มีแขกมาขอพบคุณหนูเจ้าค่ะ”“หะ? แขก? ใครคะ?”“คุณณัฐพลเจ้าค่ะ”“อ๋อ~ ณัฐพล หะ! ณัฐพล เอ่อ ณัฐพลที่เป็นหมอ หล่อ ๆ สูง ๆ ขาว ๆ หน้าดุ ๆ แก้มนุ่ม ๆ ใช่ไหมคะนม!?”ฟ้าใสทำตาโต ถลาเข้าไปเกาะแขนหญิงสูงวัย แล้วพยายามอธิบายรูปพรรณสัณฐานของบุคคลที่คิดว่า ‘ใช่’ รัวเร็วด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเขย่าแขนเร่งเร้าเอาคำตอบอย่างร้อนรนเมื่ออีกฝ่ายมัวแต่อ้ำอึ้งอึกอัก“เอ่อ คงใช่ ... ใช่ กระมังคะ”แสงดาวอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง เนื่องจากไม่มั่นใจว่าจะใช่คนเดียวกันกับที่เจ้านายพูดถึงหรือไม่ เพราะอีกฝ่ายก็แต่งกายด้วยชุดลำลองธรรมดาทั่วไปแต่เท่าที่ฟังจากคำบรรยายแล้วก็เข้าเค้าไปเสีย 8 ใน 10 ส่วนเรื่องแก้มนุ่มไหมนั้น.... เธอไม่น่าจะตอบได้“แล้วตอนนี้พี่นัทเขาอยู่ที่ไหนคะ??”“นั่งรออยู
@เช้าวันถัดมา ครืดครืด ครืดครืด ครืดครืดคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นบ่งบอกถึงอารมณ์หงุดหงิดของผู้เป็นเจ้าของ หลังถูกรบกวนจากเสียงแจ้งเตือนที่ดังระรัวติด ๆ กันไม่หยุดหย่อนตลอดช่วงเช้าของวันหยุดจนจำต้องตื่นขึ้นมาก่อนเวลาที่ต้องการดวงตาคมกริบเหลือบไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่ปรากฏตัวเลข 07:50 บนหัวเตียงแล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ยัยเด็กนี่มีธุรกิจพันล้านหรือยังไง ทำไมโทรศัพท์ถึงส่งเสียงดังตลอดเวลาแบบนี้นัทเอื้อมมือไปหยิบเจ้าโทรศัพท์มือถือเครื่องสีชมพูขึ้นมา หมายจะกดปิดเสียงเพื่อตัดความรำคาญ ทว่านิ้วมือกลับชะงักค้างอยู่เหนือปุ่มกด“หึ!”ความงัวเงียสลายหายไปทันทีเมื่อมองเห็นชื่อของเจ้าของข้อความที่ส่งมาก่อกวนนับสิบฉบับเต็ม ๆ ตาตั้งแต่เช้า ไม่ยักรู้ว่าก่อนว่าทั้งสองจะสนิทชิดเชื้อกันจนมีเรื่องให้ต้องสนทนากันมากมายขนาดนี้พี่เกมส์สุดหล่อ (เหรอ?) : ยัยเด็กเอ๋อ เป็นยังไงบ้าง ขาหายเจ็บหรือยัง‘พี่เกมส์สุดหล่อ (เหรอ?) : ถ้าเจ็บหนักก็แวะมาที่โรงพยาบาลได้นะพี่เกมส์สุดหล่อ (เหรอ?) : เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะเสียสละช่วยตรวจดูให้พี่เกมส์สุดหล่อ (เหรอ?) : แลกกับกาแฟสักแก้วสองแก้ว หรือถ้าอยากได้ข้อมูลอย่างอื่น พี
เสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันดังขึ้นเมื่อคนข้าง ๆ ขยับตัวพลางยกแขนขึ้นกอดตัวเองแล้วหลับต่ออย่างสบายอกสบายใจ“ยัยเด็กกะโปโลเอ๊ย”นัทหันไปมองเด็กขี้เซาที่ขดม้วนหนีลมแอร์ราวกับเม่นตัวเล็กแล้วอมยิ้มน้อย ๆ อาศัยจังหวะที่รถยนต์จอดแน่นิ่งขณะรอสัญญาณไฟจราจร หันไปดึงเสื้อเชิ้ตสำรองที่มักแขวนเอาไว้ติดรถแล้วค่อย ๆ วางคลุมลงบนร่างของหมอสาวอย่างเบามือฟ้าใสขยับตัวเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงเงาวูบไหวที่ลอยไปมาอยู่เหนือร่าง ทว่าเปลือกตาของเธอกลับหนักอึ้งเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมามองมันความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง มือเล็กจึงเอื้อมมาดึงรั้งแล้วกำเสื้อเชิ้ตไว้ในมือแน่น ปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นบนใบหน้าราวกับกำลังฝันดี ก่อนที่เธอจะผ่อนลมหายใจแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง.ไม่นานรถยนต์ก็แล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง นัทปลดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองก่อน จากนั้นจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้ร่างเล็กเพื่อปลดล็อกให้เธอด้วยเช่นกัน“อื้ออ”เสียงหวานครางแผ่วเบาพลางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงดึงรั้งที่พาดทับบนลำตัว พลันดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจเมื่อสิ่งแรกที่ปะทะสายตา คือข้างแก้มขาว ๆ นวลเนียน
น้ำค้างหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี ขยับเข้าไปยืนใกล้ ๆ พี่ชายพลางใช้หัวไหล่กระแซะแขนอีกฝ่ายพร้อมส่งสายตาหยอกล้อ“ฮั่นแน่~ ไม่ต้องทำขรึมกลบเกลื่อนหรอกน่าาาา คนนี้จริงจังเหรอ ฮ่า ๆ ถึงขนาดพาขึ้นห้องเลยอะ”“ไม่ต้องมามอง ไม่ต้องมาทำหน้าล้อเลียน มันไม่มีอะไรทั้งนั้น แค่นัดมาเอาของ”“จะเอา แค่ของเหรอคะ โอ๊ย!”ฝ่ามือพิฆาตฟาดเข้าที่กลางกระหม่อมอันบอบบางของน้ำค้างทันควัน เธอแบะปากคล้ายจะร้องไห้ เพราะน้ำหนักมือที่พี่ชายฟาดมาแต่ละครั้งนั้น ไม่เคยมีคำว่าปราณี“ไอ้พี่บ้า! ฮืออ เจ็บนะ!”“เจ็บแล้วก็จำ! อยากมีน้องเป็นคน ไม่ใช่สัตว์เคี้ยวเอื้อง!“ถ้าจะพูดขนาดนี้ ด่าน้องมาตรง ๆ เลยก็ได้ค่ะ! ที่ถามนี่ก็เพราะเป็นห่วงหรอกนะ!”“ยุ่ง! เป็นเด็กเป็นเล็ก เอาเวลาไปตั้งใจเรียนไป!”“ใครเล็ก ไม่เล็กสักหน่อย ออกจะอวบอึ๋มบึ้มบั้ม! นี่ไง ๆ”น้ำค้างโอ้อวด ใช้สองมือดันหน้าอกหน้าใจที่มีขนาดเกินตัวให้นูนขึ้นมาเด่นชัดกว่าเดิม แล้วลอยหน้าลอยตาใส่พี่ชายอย่างท้าทาย“ถ้าเปลี่ยนเป็นสมอง พ่อกับแม่คงจะดีใจน่าดู”“น้ำค้างก็มีทุกอย่างแหละค่ะ”นัทถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่อย่างเอือมระอา ปรายตามองสีหน้าภาคภูมิใจของน้องสาวแวบหนึ่งแล้วเลือก
“ทำอะไรกันน่ะ!”เสียงแหลม ๆ ของผู้มาใหม่ทำให้สองหมอที่กำลังไล่ปล้ำกันในศึกแย่งยิงโทรศัพท์ หยุดเคลื่อนไหวแล้วชะงักแข็งค้างในท่าเดิมด้วยกันทั้งคู่ทันทีฟ้าใสค่อย ๆ หันไปมองโฉมหน้าของผู้มาใหม่อย่างช้า ๆ ใบหน้าหวานเจื่อนลงถนัดตาเมื่อพบว่าเจ้าของประโยคเมื่อครู่เป็นเด็กสาววัยรุ่นในชุดนักศึกษารัดรูปพอดีตัว และมีใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราราวกับตุ๊กตาไม่มีผิดทั้งคำถาม ทั้งสีหน้า และการมีอภิสิทธิพิเศษถึงขนาดรู้รหัสผ่าน ทำเอาใจดวงน้อยวูบโหวงและตระหนักได้ว่า ... ผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่เรียกว่า ‘คนพิเศษ’ ที่แท้จริงนัทอาศัยจังหวะที่หมอสาวกำลังตกตะลึงกับการมาของบุคคลที่สามจนลืมเรื่องโทรศัพท์มือถือไปแล้ว รีบสาวเท้าเข้ามายืนขวางกั้นระหว่างสองสาวทันที“มาทำไมน้ำค้าง มีอะไร?”“พี่นัท! นั่นใครคะ!?”น้ำค้างไม่ตอบแต่ถามสวนกลับไปแทน สายตาเอาแต่จับจ้องใบหน้าสะสวยนั่นอย่างไม่วางตา แล้วเดินตรงรี่เข้าไปหาหญิงสาวแปลกหน้า แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าใกล้ในระยะ 2 เมตร พี่ชายก็แทบจะถลาเข้ามากินหัวเธอแล้ว“แฟนเหรอ!?”“ไม่ใช่! ถ้าไม่มีธุระอะไรก็เข้าห้องไปได้แล้ว อย่าวุ่นวาย!”“ขอทักทายก่อนสิ น้องเป็นคนมีสัมมาคารวะน้าาาา”“เข้