Mag-log inเจ้าของร่างสูงสง่า ใบหน้าหล่อเหลาสไตล์โอปป้าเกาหลีทว่ามีหนวดเคราชวนมอง แต่งตัวออกแนวแบดบอย กลายเป็นจุดสนใจของสาวน้อยสาวใหญ่ทันทีที่เยื้องย่างกรายเข้าสู่สถานบันเทิงชั้นนำในตัวเมืองเชียงใหม่ แววตาเย็นชาทว่าแฝงพลังอำนาจมองหากลุ่มเพื่อนซี้ ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้น
“เฮ้! ไอ้เมศทางนี้!”
เสียงของเพื่อนที่นั่งข้างกายป้องปากตะโกนเรียกผู้มาใหม่ ทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยผงกหัวขึ้น ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่เดินล้วงกระเป๋ามุ่งหน้ามาเป็นใคร
ชั่วอึดใจปรเมศก็เดินมาถึงโต๊ะที่เพื่อนในแก๊งนั่งอยู่ เพื่อนสนิทของเขาทั้งสามคนจบแพทย์มาจากมหา’ลัยเดียวกับเขา และทำงานที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มหล่อมาดทะเล้นอย่างภูธฤทธิ์ วงศ์วาณิชย์ หนุ่มเซอร์มาดกวนเช่นแทนไท มโนไมย และหนุ่มตี๋มาดนิ่งอย่างดนัย อาภาศิริกุล
แต่ที่มันน่าหงุดหงิดก็คือมีตัวแถมอีกหนึ่งรายที่เขาไม่อยากจะกล่าวถึง ไม่อยากเห็นหน้าหรือเสวนาด้วย เดาว่าเพื่อนเขาหนึ่งในสามตัวต้องเป็นคนชวนยัยทอมมาด้วยแน่ๆ เพราะยัยนั่นก็ทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกับพวกเขา ถึงแม้เขาจะแทบไม่ได้คุยกับเธอ ยกเว้นจำเป็นจริงๆ เรื่องงาน แต่พนันว่าเพื่อนเขาต้องได้คุยหรือไม่ก็ชวนยัยนั่นไปแฮงเอาท์ด้วยอย่างแน่นอน เพราะสมัยเรียนพวกมันก็สนิทกับเธออยู่ไม่น้อย
ครั้นได้มองปรเมศในระยะใกล้ธารธาราก็แทบจะตะลึงตาค้าง หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำ จากผู้ชายสะอาดสะอ้าน หล่อแบบโอปป้าเกาหลี พอมีหนวดมีเครามาประดับบนหน้าขาวๆ ก็ทำให้ลุคเปลี่ยนเป็นดิบเถื่อนระคนดุดันอย่างน่าทึ่ง มาดที่ออกแมนๆ ขาลุยแบบนี้ทำให้เธอเผลอมองตาไม่กะพริบ
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหรือไง” คำพูดรวนๆ ชวนหาเรื่องของคนพาลทำให้เธอได้สติ เลือกที่จะเงียบ ก่อนจะขยับนั่งตัวตรงอย่างเกร็งๆ แล้วปรับสีหน้าให้เรียบสนิท
ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเขาก็ยังทำท่ารังเกียจเธอเหมือนเดิม…ไม่เคยเปลี่ยน
ธารธาราคิดอย่างเศร้าใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะต่อให้ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนเธอก็ยังจดจำปรเมศ จิรกุล ได้ว่าเป็นแพทย์หนุ่มที่หล่อที่สุดในรุ่น เขาขึ้นชื่อเรื่องความฮอตฉ่า เป็นสุภาพบุรุษ อ่อนโยน เทคแคร์ดีเยี่ยม และให้เกียรติผู้หญิงทุกคน ยกเว้นเธอที่ถูกอีกฝ่ายตั้งแง่รังเกียจตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรกในงานรับน้อง เพียงเพราะว่าเธอแต่งตัวและซอยผมสั้นเหมือนผู้ชาย เขาก็เลยประณามว่าเธอเป็นพวกผิดเพศ และเปิดฉากเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตั้งแต่นั้นมา คำพูดจาหยาบๆ มักจะถูกซัดใส่หน้า จนเธอต้องพลอยใช้สรรพนาม มึง กู กับเขาไปด้วย เขาอาจจะพูดจาอ่อนหวานกับผู้หญิงทั้งโลก แต่ไม่ใช่กับเธอ
“กูถามว่ามองหน้ากูทำเชี่ยอะไร!” เห็นเธอไม่ตอบเขาก็ชักสีหน้าใส่ ก่อนจะเค้นเสียงดุดันติดจะกระด้างพร้อมมองคนที่เอาแต่นั่งเม้มปากอย่างหงุดหงิด
“อ้าว...ไอ้เชี่ยนี่! มาถึงก็ปากหมาเลยนะมึง” แทนไทเอ่ยขึ้นอย่างนึกหมั่นไส้ เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันจงเกลียดจงชังอะไรธารธารานักหนา
“พวกมึงทำไมไม่บอกว่ามันมาด้วย กูจะได้ไม่มา” เขาเอ่ยเสียงแข็งๆ พลางจ้องหน้าธารธาราเขม็ง
วาจาที่แสดงถึงความรังเกียจอย่างเปิดเผยทำให้ธารธาราอยากจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น หากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมาเธอคงไม่มา เพราะไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัดเช่นนี้
“ไม่เอาน่าไอ้เมศ มึงจะเกลียดอะไรมันนักหนาวะ ไอ้น้ำมันก็เป็นเพื่อนเรานะโว้ย” ภูธฤทธิ์เอ่ยขึ้นอย่างเห็นใจคนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักตั้งแต่โดนไอ้เพื่อนตัวร้ายของเขามองอย่างไม่เป็นมิตร
“มันไม่ใช่เพื่อนกู! กูไม่ชอบพวกผิดเพศ!”
คำพูดทำร้ายจิตใจที่ไม่ว่าจะได้ยินกี่ครั้งก็ยังสร้างความเจ็บปวด ทำให้ธารธาราอยากจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการแต่งหญิง แต่ใจยังไม่กล้าพอ เพราะมีปมในอดีตคอยย้ำเตือนว่าหากเธอทำอย่างนั้นพวกคนชั่วจะตามมาเอาชีวิต ได้แต่หวังลึกๆ ว่าสักวันเธอจะลืมความเลวร้ายในอดีตไปเสียสิ้น
“กูก็ไม่ชอบคนขี้เก๊กปากหมาอย่างมึงเหมือนกันล่ะว่ะ” หลังจากซัดเหล้าย้อมใจธารธาราก็เชิดหน้าสวนกลับเสียงแข็งๆ ทำให้จอมเย็นชาหน้านิ่งชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะเค้นเสียงดุกร้าวลอดไรฟัน
“ปากดีแบบนี้มึงจะเอากับกูเหรอวะ”
“เฮ้ย! หยุดๆ พวกมึงนี่โตๆ กันแล้วยังจะกัดกันเหมือนหมาอยู่ได้” เห็นท่าไม่ดีภูธฤทธิ์ก็รีบห้ามทัพ ตั้งใจจะฉุดแขนปรเมศให้นั่งลงข้างๆ ทว่าแทนไทกลับสวนขึ้นเสียก่อน
“เกลียดมันนักก็มานั่งข้างๆ มันนี่มา จะได้กัดกันให้ตายกันไปข้าง”
“เรื่องอะไรกูต้องนั่งข้างมัน” ปรเมศเอ่ยอย่างหยิ่งๆ ก่อนจะทรุดกายลงนั่งข้างภูธฤทธิ์
“เออ…ไม่นั่งก็ไม่นั่งโว้ย!” แทนไทกระแทกเสียงใส่ด้วยความหมั่นไส้
“อะไรวะ ไอ้กูก็นึกว่าพวกมึงจะปรองดองกันตั้งแต่ได้ทำงานที่เดียวกันแล้วซะอีก” คนที่นั่งจิบเหล้าเงียบๆ มาโดยตลอดอย่างดนัยเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
ธารธาราอยากจะบอกนักว่าปรเมศก็ยังเป็นปรเมศคนเดิม เขาเป็นสุภาพบุรุษและดีกับผู้หญิงทุกคนยกเว้นเธอ ตั้งแต่วันวาเลนไทน์ปีนั้นเขาและเธอก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย
การเรียนแพทยศาสตร์ใช้เวลาเรียน 6 ปี ปีแรกเรียกชั้นเตรียมแพทยศาสตร์ เรียนวิทยาศาสตร์ทั่วไปเน้นเกี่ยวข้องทางชีววิทยา ปีที่ 2-3 เรียนวิชาที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ เรียกระยะนี้ว่าพรีคลีนิก (Preclinic) ปีที่ 4-5 เรียนและฝึกงานผู้ป่วยจริงร่วมกับแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์ เรียกระยะนี้ว่าชั้นคลินิก (Clinic) และปีสุดท้ายเน้นฝึกปฏิบัติกับผู้ป่วยจริงภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์ เรียกระยะนี้ว่าเอกซ์เทิร์น (Extern)
หลังเรียนจบธารธาราต้องทำงานชดใช้ทุนรัฐบาลเป็นเวลาสามปี จากนั้นก็เลือกที่จะเรียนต่อเฉพาะทาง (resident) สาขาสูตินรีแพทย์ ส่วนทายาทอภิมหาเศรษฐีอย่างปรเมศนั้นไปเรียนประสาทศัลยแพทย์ที่อเมริกาตั้งแต่เรียนจบ แล้วหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ข่าวคราวของเขาอีกเลย
จนกระทั่งมาเจอกันที่โรงพยาบาลรักษ์…โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังของเชียงใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งธารธาราเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้ไม่นาน และเพราะความฮอตในหมู่สาววายไม่ต่างจากสมัยเรียนทำให้มีสาวๆ มาตามกรี๊ด แต่ที่มันกลายเป็นปัญหาจนเธอต้องกุมขมับคือมีบุคลากรสาวถึงขั้นตบตีกันแย่งชิงเธอ ทั้งที่เธอยืนยันชัดเจนว่าตัวเองเป็นผู้หญิง และชอบผู้ชาย ไม่มีใจเอนเอียงไปทางเพศเดียวกันเด็ดขาด
ทว่าเรื่องราวกลับบานปลายใหญ่โต สองสาวที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกันโดนไล่ออกในวันรุ่งขึ้นโทษฐานที่ทำให้โรงพยาบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง และก่อความวุ่นวายจนเพื่อนร่วมงานไม่เป็นอันทำงาน ส่วนเธอก็ถูกเรียกตัวเข้าพบท่านรองผู้อำนวยการที่เพิ่งมารับตำแหน่ง วินาทีแรกที่ได้มีโอกาสเห็นหน้าเจ้านายของตัวเองธารธาราแทบช็อก เพราะไม่คิดว่าท่านรองฯ ที่พยาบาลสาวๆ ต่างกล่าวถึงด้วยความปลาบปลื้ม ว่าเป็นหมอผ่าตัดสมองที่ทั้งเก่ง หล่อ และรวย จะเป็นปรเมศ จิรกุล ผู้ชายพันธุ์ดิบที่เธอยังคงแอบรักไม่เสื่อมคลาย
ร่างระหงของคุณแม่ยังสาวแถมยังห้าวเป้งเกินหญิงก้าวมาหยุดลงตรงหน้าคนที่กำลังกอดอกหลับตานิ่งๆ อยู่ตรงม้านั่งยาวในสวนสวยข้างลานลอดรถ คลี่ยิ้มบางๆ แล้วไล้แก้มสากอย่างอ่อนโยน หลุดหัวเราะคิกเมื่อคนที่เผลอหลับชักได้สติครางงึมงำในลำคอคล้ายขัดใจ ครั้นเธอจะละมือห่างเขากลับคว้าเอาไว้ แล้วจูบหนักๆ ลงบนหลังมือนุ่ม แต่แค่นั้นดูเหมือนยังไม่สาแก่ใจ เพราะพ่อเจ้าประคุณทำให้เธอหลุดอุทานหน้าตื่นด้วยการฉุดร่างอ้อนแอ้นลงไปนั่งแหมะบนตักแกร่ง แล้วร้อยรัดเอวคอดกิ่วด้วยวงแขนอุ่นอย่างไม่กริ่งเกรงว่าใครจะมาเห็น ฟอด!!!“คิดถึงจังเลยทูนหัว”หลังจากกดจมูกลงหอมแก้มนวลปลั่งของเมียรักฟอดใหญ่ ชายที่ใครต่อใครต่างขนานนามว่าผู้ทรงอิทธิพลแห่งน่านน้ำอันดามันก็เอ่ยอย่างอ้อนๆ“ปี่ก็คิดถึงคุณค่ะ แต่ปล่อยก่อนได้ไหมคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า อายเขาตายเลย”เจ้าของใบหน้าร้อนจี๋ที่ไม่ได้พบหน้าสามีมาสามวันเต็มๆ เพราะเขาบินไปทำธุระด่วนที่ฮ่องกง กระซิบบอกเสียงหวาน แล้วละล่ำละลัก พลางขืนกายออกจากวงแขนล่ำด้วยท่าทีขัดเขิน “ฮื่อ…เห็นก็ช่างเขาสิจ๊ะ ก็ผมคิดถึงคุณนี่นา ลงจากเครื่องได้ก็ให้ไอ้ยุทธมาส่งหาคุณเลยนะ” นอกจากจะไม่ทำตามที่เธอต้องการ ค
ห้าปีผ่านไปชีวิตคู่ของจอมพลกับปิยฉัตรยังคงหวานชื่นไม่สร่างซา ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงห้าปี เขาไม่เคยรักเธอน้อยลง เช่นเดียวกับเธอที่ไม่เคยรักเขาน้อยลงเช่นกัน ความรักของทั้งคู่ยังคงหวานฉ่ำอย่างไม่น่าเชื่อ แถมใครที่มีโอกาสได้เห็นสองสามีภรรยาแสดงความรักต่อกันก็ต่างอ้าปากค้าง เพราะคิดไม่ถึงว่าผู้ชายบุคลิกดิบเถื่อน เย็นชา ดุดัน และแข็งกระด้าง จะปากหวานและช่างเอาอกเอาใจเมียรักได้มากมายจนชวนทึ่ง เช่นเดียวกับปิยฉัตรที่ทำให้หลายคนซึ่งมีโอกาสได้เห็นบทบาทในฐานะเมียของจอมพล ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงห้าวๆ ลุยๆ บุคลิกค่อนไปทางผู้ชายจะอ่อนหวาน และช่างเอาอกเอาใจสามีได้อย่างน่าอัศจรรย์ ที่สำคัญคือจอมพลรักและหลงเมียมากจนเป็นที่กล่าวขาน แต่ที่นอกเหนือไปกว่านั้นคือเขาหวงเธอเอามากๆ หวงแม้กระทั่งกับลูกชายและลูกสาวของตัวเอง “แม่จ๋า หนูปิ่นอยากนอนกับแม่” เด็กหญิงปีย์วรา อาศิระ หรือหนูปิ่น หนูน้อยวัยสี่ขวบเอ่ยออดอ้อน พลางซบหน้าที่ถอดพิมพ์มาจากผู้เป็นพ่อเด๊ะแต่ตาสวยเหมือนแม่ลงตรงอกอุ่น น้ำคำออเซาะของลูกสาวสุดสวาททำให้คนเป็นพ่อที่นั่งเหยียดขาพิงหลังกับหมอนชะงักมือที่กำลังเลื่อนอ่านงานผ่านห
จากนั้นยุทธนาก็เดินมาบอกบ่าวสาวว่าถึงเวลาเข้าหอแล้ว ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งคณะฮาครืนอีกรอบเพราะคำแซวต่างๆ นานา ก่อนที่คู่บ่าวสาวจะไปยังห้องสวีทของโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา “ขอบใจหนูปี่มากนะที่ยอมอดทนกับลูกชายนิสัยเสียของป๊า ยอมให้อภัยไอ้คนใจหมาอย่างมัน และยอมกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันกับมัน ป๊าดีใจนะที่หนูยอมกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกัน ยินดีต้อนรับสู่อาศิระอย่างเป็นทางการนะลูก”เจ้าสัวทรงพลเอ่ยเสียงติดจะสั่นเครือด้วยความตื้นตัน เพราะท่านเฝ้ารอที่จะได้เห็นทั้งคู่ครองรักและแต่งงานกันแบบนี้มานานแล้ว จากนั้นคนแก่ก็เดินเข้าไปสวมกอดลูกสะใภ้ “ทีนี้ก็เรียกป๊าว่าป๊าได้แล้วนะ”“ขอบคุณมากค่ะป๊า”ปิยฉัตรพนมมือไหว้อย่างอ่อนช้อยในจังหวะที่อีกฝ่ายคลายอ้อมแขน แล้วถอยห่างออกไป นัยน์ตากลมโตทั้งสองข้างคลอเคล้าไปด้วยหยาดน้ำใสๆ เพราะซาบซึ้งใจเหลือคณา “ส่วนแกก็ทำตัวให้มันดีๆ ด้วยล่ะไอ้ตัวแสบ อย่าเกเรจนเมียทิ้งอีกเป็นอันขาดเข้าใจไหม ป๊ารักแกนะโว้ย”ขาดคำผู้เป็นพ่อก็ขยับเข้าไปสวมกอดลูกชาย ตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ ในจังหวะที่เขาเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณครับป๊า ผมก็รักป๊าเช่นกันครับ” จากนั้นก็เป็นน้องกั
ต่อจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเดือน งานแต่งของทั้งคู่ก็ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งที่ปิยฉัตรค้านหัวชนฝาแต่สามีจอมเอาแต่ใจกลับไม่ยอมท่าเดียว ดังนั้นเธอจึงแก้เผ็ดโดยการเป็นฝ่ายเลือกชุดบ่าวสาวเอง และบังคับว่าเขาจะต้องใส่ชุดที่เธอเลือกให้โดยไม่มีข้อแม้ และนั่นก็คือที่มาที่ทำให้งานแต่งของทั้งคู่เป็นที่กล่าวขานไปทั้งประเทศ อีกทั้งคนมางานก็ต่างฮาครืน ระเบิดเสียงหัวเราะ หรือถ้าเป็นผู้รากมากดีหน่อยก็จะกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง ก็จะไม่ให้งานแต่งของทั้งคู่เป็นประเด็นทอร์คออฟเดอะทาวน์ได้ยังไง ในเมื่อชุดเจ้าสาวแต่เจ้าสาวไม่ได้ใส่ เช่นเดียวกับชุดเจ้าบ่าวแต่เจ้าบ่าวไม่ได้ใส่ นั่นก็เพราะปิยฉัตรบังคับให้ทั้งคู่สลับชุดกัน ซึ่งในคราแรกนั้นจอมพลออกอาการโวยลั่น แต่พอเจอเธอขึงตา และแหวใส่ว่าจะไม่แต่งเท่านั้นแหละ พ่อเจ้าประคุณก็ว่าง่ายขึ้นมาทันทีประหนึ่งโดนสะกดจิต จับให้แต่งหญิงทั้งหน้า วิกผม และสวมชุดเจ้าสาวหรูหราฟูฟ่องก็ไม่ปริปากบ่น น่ารักเสียจนเธอต้องหอมแก้มให้รางวัลคนทำหน้าเหยเกเพราะสุขล้นนั้นหลายต่อหลายครั้ง ส่วนเธอน่ะเหรอโคตรสบาย ได้สวมชุดเจ้าบ่าวเป็นทักซิโด้สีขาวถือว่าเข้าทางถนัด แต่พุงที่ยื่นออกมา
“แต่คุณก็ส่งข้อความมาได้นี่นา” “การส่งข้อความถึงคุณมันยิ่งทำให้ผมคิดถึงคุณ อยากได้ยินเสียง อยากเห็นหน้า อาการคิดถึงเมียของผมมันไม่ต่างจากอาการลงแดงนักหรอกทูนหัว” ที่สุดจอมพลก็สารภาพออกมาในสภาพโหนกแก้มแดงก่ำ มันชวนมองจนคนที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นยิ้มร่า ก่อนจะทำใจกล้ายื่นหน้าไปจูบแก้มสากเร็วๆ หนึ่งที และนั่นก็ทำเอาจอมพลถึงกับตาโต อ้าปากค้าง หัวใจพองฟูคับอก “ขอบคุณนะคะที่คิดถึงฉัน” เธอเอ่ยเสียงหวานหยดจนคนฟังใจสั่น ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในโรงพยาบาลคงได้หาทางปล้ำคนท้องให้หนำใจ และถ้ารู้ว่าแค่เจ็บตัวนิดๆ หน่อยๆ แล้วจะได้ความน่ารักจากเมียขนาดนี้เขายอมเจ็บตัวทั้งปี“ก็เมียทั้งคนนี่ครับ” น้ำคำสั้นๆ ง่ายๆ แต่ความหมายโคตรดี๊ดีทำเอาคนฟังอุ่นซ่านไปทั้งใจ ปิยฉัตรยิ้มจนแก้มปริ ดวงตายิบหยี ก่อนจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ แต่นิ่งไปสักพักถึงได้เอ่ยออกมา“จะเป็นคุณพ่อลูกสองแล้ว ต้องรู้จักปล่อยวางรู้ไหมคะ อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ขอให้มันเป็นเพียงอดีต โดยเฉพาะเรื่องของแม่คุณ และเรื่องของอรอุมา ต่อให้ผู้หญิงทั้งโลกจะเลว แต่ขอให้คุณมั่นใจได้ว่าไม่ใช่ปี่ ปี่ไม่มีวันหักหลังหรือทรยศคุณ เหมือนอย่างที่แม่ของคุณแล
เขาบอกจะไปแค่เกือบหนึ่งเดือน แต่นี่เลยหนึ่งเดือนมาเป็นอาทิตย์แล้วพ่อของอีหนูในท้องก็ยังไม่โผล่มาให้เห็น ทำเอาว่าที่คุณแม่ซึ่งจะคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ากระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก เธอหมั่นเช็กข้อความมือถือที่พ่อของลูกมักจะส่งมาสัพยอกหยอกเย้าเป็นประจำ แต่กลับไม่มีแม้แต่ข้อความเดียวในรอบอาทิตย์ ที่แย่ไปกว่านั้นคือเขาไม่โทรมาหา พอเธอตัดสินใจเป็นฝ่ายติดต่อไปก็ปรากฏว่าติดต่อไม่ได้ ความกังวลและเป็นห่วงจอมพลสารพัดทำให้ปิยฉัตรไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ทานข้าวก็ไม่ค่อยลง นอนก็ไม่หลับ ทั้งที่ตั้งแต่ท้องมาเธอคลั่งไคล้การกินและการนอนหนักเอามากๆ และสภาพเสื่อมโทรมคงไปเตะตาของเพื่อนรักอย่างธารธาราเข้า อีกฝ่ายถึงได้ทิ้งสามีมาชวนเธอไปหาอะไรอร่อยๆ ยัดลงท้องในช่วงหัวคำของสุดสัปดาห์ “ไปกันยังคะคุณแม่” ธารธาราเอ่ยเย้าเล็กๆ ครั้นเห็นเธอพยักหน้าเนือยๆ ก็ตั้งท่าจะไปช่วยถือของที่วางอยู่ข้างกายให้ ทว่ายังไม่ทันจะได้ไปไหนโทรทัศน์ซึ่งแขวนอยู่เหนือศีรษะก็มีการรายงานข่าวด่วนที่ทำให้ทั้งคู่นิ่งจังงัง ‘เครื่องบินของสายการบินดังของอเมริกาไถลออกนอกรันเวย์ ขณะกัปตันกำลังนำเครื่องลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้ผ







