จงหนานจิ่น ย่วนพั่นสำนักหมอหลวงก็คุกเข่าต่อหน้าหลี่เฉิน แล้วพูดอย่างละอายใจว่า “กระหม่อมไร้ความสามารถ ยังหาเบาะแสไม่พบ ฝ่าบาทโปรดลงโทษกระหม่อมด้วย”“สมควรถูกลงโทษจริงๆ”หลี่เฉินตะคอกเสียงเย็นชาแล้วกล่าวว่า “หมอหลวงของสำนักหมอหลวงประมาทเลินเล่อในการดูแลองค์ชายเก้า เจ้าในฐานะย่วนพั่น ถูกสงสัยว่าละเลยหน้าที่ งดเบี้ยหวัดครึ่งปี ส่วนหมอหลวงที่รับหน้าที่รักษาองค์ชายเก้าจงออกมา”หมอหลวงที่เพิ่งถูกหลี่เฉินสอบปากคำไปเมื่อครู่ยังคงคุกเข่าอยู่ เขาหน้าซีดแล้วโขกหัวพูดว่า “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต!”“การที่องค์ชายเก้าสิ้นพระชนม์ไปอย่างกะทันหัน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่ถ้าหากเจ้าเฝ้าอยู่ข้างกายองค์ชายเก้าตลอดเวลา บางทีคงหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้ ตอนนี้ข้อผิดพลาดใหญ่เกิดขึ้นแล้ว และสายเกินไปที่จะพูดอะไรได้ ลากตัวออกไปประหารชีวิต”เมื่อหลี่เฉินสั่ง ก็มีทหารองค์รักษ์ที่พกดาบก้าวไปข้างหน้า จับแขนหมอหลวงคนละข้างแล้วลากตัวออกไปเสียงอ้อนวอนด้วยความหวาดกลัวของหมอหลวงยังคงดังอยู่ในหูของเขา หลังจากที่อีกฝ่ายถูกลากตัวออกไปไกลแล้ว หลี่เฉินก็เหลือบมองหมอหลวงที่อยู่ตรงนั้น และพูดอย่างเย
จ้าวชิงหลานตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวเสวียนจี ขณะที่เขาไล่สาวใช้ออกไป “ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงมั่นใจนัก?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงขรึม “เดิมที ข้าจะส่งคนมาสังหารองค์ชายเก้าคืนนี้” “แต่ทันทีที่มาถึงพระที่นั่งข้าง คนของข้าก็บอกว่า เขายังไม่ทันจะได้ลงมือ องค์ชายเก้าก็สิ้นพระชมน์แล้ว” “ตอนแรก ข้าก็คิดว่าองค์รัชทายาทนำหน้าข้าไปหนึ่งก้าว และต้องการจะวางอุบายใส่ข้า แต่ตลอดกระบวนการทั้งหมด เขาไม่พูดถึงเรื่องการติดตามฆาตกร และไม่มีความตั้งใจจะโยนเรื่องนี้ใส่ข้า สุดท้ายก็มอบเรื่องนี้ให้ศาลต้าหลี่กับสำนักคุมประพฤติไปสืบสวน ซึ่งสองกรมนี้ล้วนเป็นคนของข้า องค์รัชทายาทมีหรือจะไม่ทราบ?” “หากเขาต้องการใช้เรื่องนี้มาจัดการข้า เช่นนั้นการตัดสินแบบนี้ไม่ดูลวกๆ ไปหน่อยหรือ” คิ้วของจ้าวเสวียนจีขมวดลึก สีหน้าของเขาดูสงสัยเล็กน้อย “แต่ว่า ถ้าเช่นนั้นเป็นใครกันล่ะ?” “มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้ท่านพ่อถึงไม่ให้ข้าพูด” จ้าวชิงหลานขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “หากเป็นเช่นนั้น ก็มีบางอย่างผิดปรกติจริงๆ ด้วย” พูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเสียงรายงานของนางกำนัลก็ดังมาจากด้านนอก “ฮองเฮา องค์ชายแปดขอเข้าเฝ้า
“ท่านราชเลขาต้องการองค์ชายสักองค์เพื่อยืนหยัดต่อสู้กับองค์รัชทายาท ส่วนข้าก็ต้องการการสนับสนุนจากท่านราชเลขา”หลี่อิ๋นหู่กัดฟันพูดว่า “ดังนั้นพวกเราจึงเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุด”จ้าวเสวียนจีส่ายหัวอย่างสบายๆ ก่อนจะพูดว่า “แค่นั้นยังไม่พอหรอก”“ในบรรดาองค์ชาย ไม่ได้มีแค่องค์ชายแปดเพียงพระองค์เดียว แต่ยังมีองค์ชายอีกสองพระองค์ แล้วเหตุใดกระหม่อมถึงต้องร่วมมือกับองค์ชายแปดด้วย?”หลี่อิ๋นหู่แสยะยิ้มอย่างเย็นชา “มารดาผู้ให้กำเนิดของพวกเขายังอยู่ และยิ่งไปกว่านั้น แต่ละคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง”“พี่สี่หมกมุ่นอยู่กับศิลปะการต่อสู้และการทหาร เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใด นอกจากนี้เขายังเป็นคนประมาทไม่รอบคอบ อีกทั้งนับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ฉิน พวกเราต่างก็เน้นไปที่วรรณกรรม และปราบปรามศิลปะการต่อสู้ พี่สี่อาจจะมีคุณสมบัติที่จะเป็นแม่ทัพ และยังเป็นยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นองค์จักรพรรดิ เพราะเหล่าบัณฑิตในใต้หล้าจะไม่เห็นด้วย”“ส่วนพี่หกก็ใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อย วันทั้งวันก็เอาแต่ปลอมตัวไปเที่ยวเล่น ขึ้นเขาลงน้ำเตร็ดเตร่อยู่กับสาวงาม ส่วนมารดาผู้ให้กำเนิดแซ่เจิ้งนั้น เด
เฉินทงเบิกตากว้าง ความตกใจปรากฏบนใบหน้าหลี่เฉินก้มศีรษะลงเพื่อดื่มชาแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าคิดว่าเป็นจ้าวเสวียนจี แต่ปฏิกิริยาของเขาไม่ถูกต้อง ถ้าเขาทำ เกรงว่าคืนนี้คงไม่ง่ายนักที่ข้าจะจัดการกับผลที่ตามมา แต่เห็นได้ชัดว่า การฆาตกรรมกะทันหันในครั้งนี้ ทำให้เขามือไม้ปั่นป่วนเพียงใด...บางทีเขาอาจจะเตรียมวางแผนสังหารองค์ชายเก้าเอาไว้แล้ว หรืออาจจะไม่ ใครจะรู้ แต่มันไม่สำคัญ”“ส่งคนฉลาดสองสามคนไปจับตาดูเจ้าแปดซะ”หลี่เฉินวางถ้วยชาลงแล้วพูดอย่างใจเย็น “สองคนนี้น่าจะร่วมมือกันแล้ว อีกไม่กี่วันข้างหน้า คงจะแสดงออกมาให้เห็น เรามารอดูกันเถอะ”เฉินทงกล่าวด้วยความเคารพ “กระหม่อมเข้าใจ.. นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่อง”“จ้าวเหอซานมาถึงเมืองหลวงในวันนี้ แต่มีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ทันทีที่จ้าวเหอซานมาถึงเมืองหลวง เขาก็ถูกกลุ่มอันธพาลโจมตี ถึงแม้ว่าจ้าวเหอซานจะรอดชีวิต แต่ภรรยาของเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและใกล้จะเสียชีวิต องครักษ์เสื้อแพรกำลังสืบสวนเรื่องนี้อยู่ แต่มีพวกอันธพาลเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกจับได้ จนถึงตอนนี้ก็ทราบแล้วว่า พวกเขาถูกจ้างวานมาฆ่าคน แต่เบาะแสเพิ่มเติมถูกกำจัดออกไปแล้ว ทำใ
“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท”จ้าวเหอซานระงับความคิดของเขา และประสานมือกล่าวด้วยความเคารพหลี่เฉินโบกมือและพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า “ท่านเป็นบิดาของหรุ่ยเอ๋อร์ ถึงแม้ว่าตามกฎหมายแล้วจะไม่ถือว่าเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน แต่ตอนนี้ข้ามีแค่หรุ่ยเอ๋อร์เท่านั้น และนางก็เป็นที่โปรดปรานของข้า ในฐานะบิดาของนาง หากเจ้าถูกลอบสังหาร ข้าย่อมไม่นิ่งดูดาย”ขณะที่พูด หลี่เฉินก็เปิดรายงานลับบนโต๊ะ และอ่านข้อมูลของจ้าวเหอซานที่เขียนไว้อย่างละเอียด พลางกล่าวว่า “จ้าวเหอซาน เป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ของจ้าวเสวียนจี เครือญาติที่ใกล้ชิดลำดับที่ 5 สอบผ่านการสอบขุนนางและเป็นจิ้นซื่อในปีแรกของรัชสมัยจักรรพดิองค์ปัจจุบัน ในปีเดียวกันนั้นก็ได้เข้าสู่สำนักฮั่นหลินในฐานะบรรณาธิการ หนึ่งปีต่อมา ก็ถูกย้ายไปยังท้องถิ่น และดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอไหวเหอ หลังจากดำรงตำแหน่งเป็นเวลาสามปี ผลงานของท่านก็ได้รับการประเมินจากกรมขุนนางว่าโดดเด่นเป็นเลิศ อยู่เหนือเหล่าจิ้นซื่อในปีเดียวกัน”“ต่อมา ได้รับยื่นเสนอขุนนางให้เลื่อนขั้นต่อราชสำนักโดยจ้าวเสวียนจี ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมขุนนางในขณะนั้น ท่านจึงรับหน้าที่เป็นทห
คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวเหอซานพูดไม่ออกเขาเผยสีหน้าละอายใจออกมา และพูดว่า “ตัวกระหม่อมไม่รู้สึกเสียใจใดๆ คำพูดและการกระทำของท่านราชเลขา ก็ไม่ใช่การกระทำของขุนนางทั้งหมด แม้ว่าตัวกระหม่อมนั้นจะต่ำต้อย แต่ในใจยังคงมีความทะเยอทะยาน ในฐานะขุนนางกินเงินเดือนของราชา ต้องกังวลเรื่องของราชา หากไม่สามารถแบ่งเบาภาระได้ ก็ควรจะกลับบ้านเกิดไปเสีย...เพียงแต่ภรรยาและลูกสาวต้องพลอยลำบากไปด้วย จึงทำให้กระหม่อมรู้สึกไม่สบายใจนัก”หลี่เฉินยิ้มและไม่พูดอะไรแน่นอนว่าเขาไม่เชื่อคำพูดนี้หรอกหากจ้าวเหอซานมีกระดูกสันหลังพอ เขาควรจะลาออกโดยตรงเมื่อถูกลดตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นจ้าวเสวียนจีหรือองค์จักรพรรดิ ก็คงจะขวางเขาไม่ได้พูดตรงๆ อย่างที่จ้าวเหอซานตระหนักดีว่า เขาเป็นเพียงของใช้แล้วทิ้ง จ้าวเสวียนจีล้มเหลวในการลงทุนกับเขา ส่วนองค์จักรพรรดิก็แค่อยากจะกำจัดเครื่องมือของจ้าวเสวียนจีทิ้ง ดังนั้นทั้งสองจึงไม่สนใจเขามากนักอย่างไรก็ตาม คนที่เคยลิ้มรสในอำนาจ ย่อมรู้ดีกว่าคนที่ไม่เคยได้ลิ้มรสมัน เมื่อได้ลองชิมแล้วก็รู้สึกมัวเมา และยากจะปล่อยมันไปจ้าวเหอซานไม่ใช่นักบุญ จึงไม่สามารถทนต่อรสชาติแห่งอำนาจได้บ
“นี่เป็นความอัปยศที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับจักรวรรดิต้าฉินของเราในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา องค์จักรพรรดิทรงพิโรธมาก ทหารใหม่ก็สู้จนตัวตาย ทหารเก่าและผู้บัญชาการก็ถูกตัดศีรษะ เช่นเดียวกับรองเสนาบดีกรมยุทธนาการฝ่ายซ้ายและขวาที่ถูกตัดศีรษะด้วยเช่นกัน มีเพียงต้วนจิ่นเจียง เสนาบดีกรมยุทธนาการที่โชคดีรอดมาได้ ซึ่งตอนนี้จิ่นเจียงเป็นมหาอำมาตย์เหวินเก๋อในสำนักราชเลขา เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในราชสำนักที่เชี่ยวชาญความลับด้านการทหารทั้งหมด”จ้าวเหอซานหายใจเข้าและพูดต่อว่า “หลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้น เหยียนไจ้เต้าก็มีชื่อเสียงขึ้นมา ข่านของอาณาจักรเหลียว เย่ลู่อาเปา จึงแต่งตั้งให้เขากลายเป็นอัครมหาเสนาบดี”“เหยียนไจ้เต้ารับหน้าที่เป็นอัครมหาเสนาบดี และกุมอำนาจทางการทหารของอาณาจักรเหลียว จักรวรรดิต้าฉินของพวกเราพยายามโจมตีอาณาจักรเหลียว ต่อสู้ไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง โดยมีกำลังพลมากกว่า 200,000 นาย และมีค่าใช้จ่ายมหาศาล แต่กลับไม่ได้รับชัยชนะ!”“ด้วยเหตุนี้ ชื่อเสียงของท่านแม่ทัพจึงตกต่ำลง เสียงเรียกร้องให้ยุติสงครามและสร้างสันติภาพในราชสำนักก็แข็งแกร่งขึ้น และบารมีของกองทัพก็เสื่อมถอยลงอย่างสิ้นเชิง”“ราช
เฉินทงตอบกลับอย่างไม่ลังเลว่า “ต้วนจิ่นเจียงผู้นี้มักจะถ่อมตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เข้ามาในสำนักราชเลขาแล้ว เขาก็แทบจะไม่มีปากมีเสียง เรื่องส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจ้าวเสวียนจี”“เขาใช้ชีวิตอย่างสันโดษในวันธรรมดา งานอดิเรกที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือ การสะสมตำราทหารและการเขียนพู่กันของผู้ที่มีชื่อเสียง นอกจากนี้ เขายังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับยักษ์ใหญ่ในวงการวรรณกรรมอย่างท่านจิ้งจือ ซึ่งทั้งสองเป็นสหายสนิทกัน นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฉินทงก็ดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ และพูดต่อไปว่า “อย่างไรก็ตาม บุตรชายของต้วนจิ่นเจียง ต้วนจั่งเหมียนเป็นลูกผู้ดีที่เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง เมื่อไม่นานมานี้ ฝ่าบาททรงมีพระราชดำสั่งให้กระหม่อมจับตาดูทูตเสียนเฉาอย่างใกล้ชิด พวกเราจึงรู้ว่าหลังจากที่ต้วนจั่งเหมียนได้พบกับองค์หญิงเสียนเฉา อีกฝ่ายก็ตกหลุมรักนางจนโงหัวไม่ขึ้น แทบจะตอบรับทุกคำขอของนางเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับนางทุกวัน และเพราะเขา องค์หญิงเสียนเฉาจึงไปเยือนที่จวนต้วนหลายครั้ง ซึ่งต้วนจิ่นเจียงก็ไม่ปฏิเสธ และยังต้อนรับเสมอ”หลี่เฉินหรี่ตาลงแล้วก็ยืนขึ้น
เสียงหัวข้าะเบาๆ ของต้วนจิ่นเจียง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหัวข้าะลั่น ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวข้าะคลุ้มคลั่ง ต้วนจิ่นเจียงราวกับเสียสติ เงยหน้าหัวข้าะอย่างบ้าคลั่ง แม้สายฝนเย็นเฉียบสาดซัดใส่ใบหน้า เขาก็ยังไม่หยุดหัวข้าะ “ดี! ดีมาก!” ต้วนจิ่นเจียงหัวข้าะจนแทบหายใจไม่ออก เขาชี้ไปที่หลี่เฉิน กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “องค์รัชทายาท เจ้านี่ช่างเป็นผู้ถูกมังกรคุ้มครองแท้จริง แม้หลี่อิ๋นหู่กับจ้าวเสวียนจีจะร่วมมือกัน ก็ยังโค่นเจ้าไม่ลง!” “ข้าเพียงเสียดาย ที่ยามท่านอ่อนแอที่สุด ข้ามิได้ลงมือเด็ดขาด ปล่อยให้เจ้าเติบโตมาจนถึงขั้นนี้ ข้า...เสียใจนัก!” สภาพของต้วนจิ่นเจียงเริ่มเข้าสู่ความคลุ้มคลั่งเต็มขั้น ดวงตาแดงฉาน ใบหน้าเหยเกดั่งอสูร “ทำไมกัน! ทำไมข้ารอบคอบวางแผนมาขนาดนี้ เจ้าถึงยังไม่ตาย! มันเป็นเพราะอะไร!” ในถ้อยคำนี้ เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความไม่ยอมแพ้อย่างถึงที่สุด “วางแผนรอบคอบย่อมดี แต่คนอย่างเจ้าที่เอาแต่ซุกซ่อนในมุมมืด ดุจหนอนใต้ซากศพ คอยวางแผนลอบกัดไปวันๆ ยังคิดหวังจะทำการใหญ่ได้หรือ?” หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ “ข้าไม่มีเวลามากพอจะปล่อยให้พวกเจ้าถ่วงเล่น มาเข้าเรื่องกัน
ตึก ตึก ตึก... เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะพร้อมเพรียงดังขึ้น ฟังแล้วชวนให้หัวใจพลุ่งพล่านอย่างไม่ทราบสาเหตุ พร้อมเสียงเกราะกระทบกัน สักพักหนึ่ง เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ลาน พวกเขาเคลื่อนที่อย่างมีระเบียบและได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ทันทีที่เข้าสู่ลาน ก็จัดรูปขบวนทันที ล้อมรอบกลุ่มของหลงไหวอวี้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบูรพกษัตริย์ การล้อมวงเช่นนี้ ทำให้ต้วนจิ่นเจียงรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันทีโดยสัญชาตญาณ “เกิดอะไรขึ้นหรือ อาจารย์?” หลงไหวอวี้ที่รู้สึกว่าต้วนจิ่นเจียงเริ่มตึงเครียดก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย ต้วนจิ่นเจียงตอบเสียงหนักแน่น “พวกทหารเหล่านี้กำลังล้อมข้าอยู่” ต้วนจิ่นเจียงซึ่งเคยเป็นขุนนางกระทรวงกลาโหม ย่อมมีพื้นฐานด้านการยุทธ เขาเพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่านี่คือรูปขบวนของทหารต้าฉิน ใช้สำหรับล้อมศัตรูกลุ่มเล็กโดยเฉพาะ หากเป็นคนของหลี่อิ๋นหู่หรือจ้าวเสวียนจี ต่อให้คิดฆ่าพวกเขาก็ไม่ควรจะเป็นเวลานี้ และยิ่งไม่ควรจะทำได้ง่ายดายเช่นนี้ ต้วนจิ่นเจียงหรี่ตาลง พยายามเพ่งมองเครื่องแบบเกราะของทหารเหล่านี้ หวังจะดูให้แน่ชัดว่าเป็นหน่วยใด แต่ด้วยความมืดของยามค่ำคืน และสายฝน
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล
ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส
“ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า
เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ