ในขณะนี้ รถม้าได้เริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าแล้ว รถม้าที่โยกเล็กน้อย ทำให้หลี่เฉินและจินเสวี่ยยวนซึ่งนอนทับกันในรถม้ารู้สึกได้ถึงการกระตุ้นประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยม ในที่สุดหลี่เฉินก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนจำนวนมากถึงได้ชอบสวมเครื่องแบบ การแต่งกายของจินเสวี่ยยวนในวันนี้ ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นกว่าปกติจริงๆ เมื่อเห็นว่ามือเท้าของหลี่เฉินเริ่มไม่ซื่อสัตย์ จินเสวี่ยยวนก็โกรธจัด นางจับมือของหลี่เฉินแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้!” ทั้งดวงตาและน้ำเสียงก็ดูหนักแน่น และการปฏิเสธครั้งนี้ก็เด็ดขาดกว่าครั้งก่อนๆ “ทำไม?” หลี่เฉินถาม จินเสวี่ยยวนโกรธจัด นางรู้สึกว่าไม่ว่าก่อนหน้านี้ ชายผู้นี้จะเป็นคนธรรมดาหรือว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน คนๆ นี้ล้วนหน้าด้านไร้ยางอายอยู่ดี ยังจะกล้าถามอีกว่าทำไม? “เจ้าคือองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน ส่วนข้าคือองค์หญิงแห่งเสียนเฉา ไม่ก็คือไม่! หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะเกิดปัญหาใหญ่เอาได้!” จินเสวี่ยยวนกล่าว หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ และถามว่า “เรื่องนี้จะแพร่ออกไปได้อย่างไร?” จินเสวี่ยยวนตกตะลึง และรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย “ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงใดที่สายลมเข
เป้าหมายของจินเสวี่ยยวนและเสียนเฉาทั้งหมดมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือการทำให้หลี่เฉินใช้อำนาจขององค์รัชทายาทผลักดันข้อสรุปเรื่องส่งทหารไปที่เสียนเฉา แต่ปัญหาก็คือ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมของต้าฉินในปัจจุบันแล้ว หลี่เฉินจะต้องจ่ายราคามหาศาลเพื่อบังคับส่งทหารออกไป แต่จินเสวี่ยยวนไม่ได้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ นางแค่ต้องการให้ทหารจากต้าฉินเข้าสู่ดินแดนของตัวเอง เพื่อต่อสู้กับตงอิ๋งและกอบกู้ประเทศของนางมันไม่เกี่ยวว่าดีหรือแย่ มันก็แค่สัญชาตญาณเห็นแก่ตัวตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่หลังจากทะลุมิติมาแล้ว หลี่เฉินก็ไม่อยากทำตัวเป็นสุนัขเลีย[footnoteRef:1]ผู้หญิงคนไหนอีก [1: เลีย อุปมาว่าประจบสอพลอ ตามเอาอกเอาใจ] ไม่ว่าจะสวยแค่ไหนก็ตาม ถ้าจะเลีย เขาจะต้องเป็นคนที่ถูกเลียเอง คำพูดของหลี่เฉินสมจริงมากจนแทบจะไร้ความปรานี ทำให้จินเสวี่ยยวนที่ต้องการจะหักล้างคำพูด แต่เมื่อความจริงมาวางไว้ตรงหน้า นางก็รู้ตัวว่าไม่ได้คิดจริงๆ ว่าหลี่เฉินจะต้องจ่ายเท่าไรเพื่อสนองความปรารถนาของนาง ดังนั้นความมั่นใจของจินเสวี่ยยวนจึงลดลง “แต่เรื่องแบบนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อชายและหญ
“องค์หญิง...” ขุนนางเสียนเฉาที่มีเคราแพะกำลังจะพูด แต่จินเสวี่ยยวนก้มศีรษะลงและไม่มองฝูงชน นางพูดว่า “เมื่อครู่ข้าเผลองีบหลับไป รบกวนทุกท่านรอนานแล้ว” พูดจบ จินเสวี่ยยวนก็เหยียบลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กแล้วลงจากรถม้า เพียงแต่ร่างกายของจินเสวี่ยยวนดูเหมือนจะอ่อนแอมาก จู่ๆ ขาของนางก็เกิดอ่อนแรงขึ้นมา จนเกือบจะล้มคว่ำ โชคดีที่สาวใช้ส่วนตัวของจินเสวี่ยยวนหูตาว่องไว จึงประคองนางได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อสาวใช้สัมผัสตัวก็รู้สึกว่าพระวรกายขององค์หญิงร้อนผ่าว และใบหน้าอันสวยงามที่หลบเลี่ยงสายตาของทุกคน ก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงระเรื่อและเหงื่อเล็กๆ นี่มันคนเพิ่งตื่นที่ไหนกัน มันเหมือนคนที่เพิ่งออกกำลังกายเสร็จมากกว่า แต่สาวใช้คิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่า องค์หญิงจะสามารถออกกำลังแบบไหนในรถม้าได้? “องค์หญิง พระองค์สบายดีหรือไม่?” สาวใช้ถามอย่างกังวล “สะ สบายดี” เพียงจินเสวี่ยยวนเปิดปากพูด สาวใช้ที่เติบโตมาข้างกายจินเสวี่ยยวนก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเสียงนี้นุ่มนิ่มเกินไป...นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แค่ได้ฟังก็ยังรู้สึกรับไม่ไหวอยู่บ้าง “กลับไปกันเถอะ” จินเสวี่ยย
“ค่อนข้างน่าสนใจ” หลี่เฉินรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “พูดมา เจ้าพึ่งพาอะไรเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าสังหารเจ้า และทำไมเจ้าถึงยอมเสี่ยงขนาดนี้?”ก่อนที่โจวผิงอันจะพูด หลี่เฉินก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “เจ้ามีโอกาสแค่สามประโยคเท่านั้น” โจวผิงอันหยุดชั่วคราว และกลืนคำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากลงไป หลังจากนั้นไม่นาน โจวผิงอันก็พูดว่า “ผิงอันมีพี่น้องอยู่สามคน และผิงอันเป็นคนเล็กสุด พี่ใหญ่ทำการค้าในต้าฉิน...ทำการค้าเกี่ยวกับอาวุธ” “ประโยคที่หนึ่ง” หลี่เฉินหรี่ตาลงขณะพูด การค้าเกี่ยวกับอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ไหน หากประชาชนแตะต้องสิ่งนี้ พวกเขาจะต้องตาย ตามกฎหมายของต้าฉิน ผู้ที่ไม่สวมเครื่องแบบราชการ หากพกอาวุธเดินอยู่บนถนนจะถูกโบยสามสิบไม้ หากในบ้านซุกซ่อนชุดเกราะหรืออาวุธเกินสามชิ้น จะถูกลงโทษด้วยข้อหาอาชญากรรมร้ายแรง สถานเบาถูกส่งตัวไปยังชายแดน สถานหนักยึดของกลางและประหารทั้งตระกูล และโจวผิงอันก็เปิดเผยความจริงที่ว่าพี่ชายคนโตของเขาทำการค้าเกี่ยวกับอาวุธ เมื่อกลับไป หลี่เฉินจะส่งหน่วยบูรพาไปตรวจสอบ โจวผิงอันสูดหายใจเข้าแล้วกล่าวต่อไปว่า “พี่รองทำงานเป็นที่ปรึกษาในจวนอ๋องห
“เจ้าอยากทำอะไร?” หลี่เฉินถาม “ผิงอันเคยกล่าวว่าสำเร็จวิชาบุ๋นบู๊ และขายตัวเองให้กับราชวงศ์ของจักรพรรดิ” โจวผิงอันตอบอีกครั้ง หลี่เฉินหัวเราะและถามว่า “ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร” โจวผิงอันตอบกลับอย่างสงบนิ่ง “สิ่งที่ผิงอันเพิ่งบอกฝ่าบาทไปนั้น คือความจริงใจของผิงอัน ส่วนความสามารถของผิงอันนั้น...ภายในหนึ่งเดือน ผิงอันสามารถปราบกบฏมณฑลซีซานลงได้ โดยไม่เสียเลือดใดๆ” หลี่เฉินมองดูโจวผิงอันที่ค้อมกายคำนับ และไม่พูดอะไร คำสัญญาของโจวผิงอันนั้นยากยิ่งนัก แต่เมื่อนึกถึงอาวุธของกลุ่มกบฏในมณฑลซีซาน ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ใหญ่ของเขาจัดหามาให้ และผู้บงการเบื้องหลังอย่างอ๋องหนิงหรือสายลับที่ซ่อนอยู่อย่างพี่รอง ดูเหมือนเรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของหลี่เฉินนั้น การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของโจวผิงอัน ก็ก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ไม่น้อยไปกว่ากบฏในมณฑลซีซานเลย สามพี่น้องนี้ แต่ละคนต่างดำรงตำแหน่งสำคัญในสาขาอาชีพของตน และก้าวไปสู่ระดับที่สูงมาก พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่? หลี่เฉินไม่พูด ส่วนโจวผิงอันก็รักษาท่าทางโค้งคำนับไว้ไม่เคลื่อนไหว เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ร
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ”ฟู่อวี้จือเป็นคนแรกที่พูด เขาลูบเคราแล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “องค์รัชทายาทกำลังวางแผนการที่ลึกล้ำบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับสมบัติไท่จู เขาอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาท ก็ต้องอยากนำสมบัติไท่จูกลับคืนมา...หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าคงไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดเขาได้ และเมื่อองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ ก็จะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาจากการขึ้นครองบัลลังก์ได้ ถึงตอนนั้นแค่โยนคำพูดสองสามคำอย่างไท่จูปกปักษ์ออกไป ยังจะมีใครกล้าปฏิเสธอีก?” “ในความคิดของข้า องค์รัชทายาทจะทุ่มกำลังอย่างเต็มที่ เพื่อค้นหาสมบัติไท่จูโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ต้องจ่าย” ตอนนี้เอง จางปี้อู่ก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “และถ้าอยากไปค้นหาสมบัติไท่จูเพื่อนำกลับคืนมา สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือส่งทหารไปที่เสียนเฉา เพื่อปราบปรามความโกลาหลในเสียนเฉา” “ดังนั้น เรื่องส่งทหารไปที่เสียนเฉา พวกเราจะต้องหยุดมันเอาไว้” คำพูดของฟู่อวี้จือและจางปี้อู่ ทำให้จ้าวเสวียนจีพยักหน้าช้าๆ จากนั้นเขาก็หันไปมองต้วนจิ่นเจียงที่ไม่พูดอะไรเลยสักคำ เมื่อเห็นท่าทางฟุ้งซ่านของฝ่ายหลังจึงพูดว่า “ใต้เท้าต้วน ท่านยังกังวลเกี่ยวกับลูก
หลี่เฉินนั่งอยู่ในพระที่นั่งสีเจิ้ง มองไปที่ซานเป่าแล้วยกจอกชาขึ้นจิบ ก่อนจะพูดว่า “การเดินทางในครั้งนี้ คงจะฆ่าคนไปไม่น้อย กลิ่นเลือดบนตัวเจ้าถึงได้แรงมาก” ซานเป่ารีบกล่าวว่า “ได้ฆ่าขุนนางทรยศไปบางส่วน บ่าวควรจะอาบน้ำชำระล้างกลิ่นสกปรกก่อนจะมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทำให้พระเนตรของฝ่าบาทต้องแปดเปื้อน บ่าวสมควรตาย” หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เล่ามา สถานการณ์ในมณฑลซีซานทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ซานเป่ากล่าวด้วยสายตาที่เฉียบคมว่า “หลังจากที่บ่าวไปถึงมณฑลซีซาน พบว่าสถานการณ์จริงนั้นร้ายแรงกว่านี้มาก” “ไท่หยวน หยางชวี และเซียงติ้ง ทั้งสามอำเภอได้ล่มสลายลงแล้ว และขนาดของกลุ่มกบฏก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว โดยใช้ประโยชน์จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ หลายคนจึงเข้าร่วมกับพวกเขาทุกวัน ในช่วงเวลานี้ ขนาดของกบฏได้เพิ่มขึ้นจากหลายหมื่นเป็นเกือบ 100,000 คน ตอนที่บ่าวจากมา พวกเขาก็โจมตีต้าถงฟู่ที่อยู่ห่างจากซีซานไปร้อยลี้” “ทุกที่ที่พวกกบฏผ่านไป ขุนนางและทหารต่างก็หวาดกลัวและแทบไม่สามารถต้านทานได้ พวกเขายังโจมตีและสังหารผู้มีอำนาจด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีคติขวัญว่า “แผ่นดินเป็นของประชาชน”
หลังจากส่งซานเป่าออกไปแล้ว หลี่เฉินก็ออกจากพระที่นั่งสีเจิ้ง และกลับไปที่พระที่นั่งร้อยบุปผา เวลานี้จ้าวหรุ่ยกำลังพักผ่อนอยู่ แต่หลังจากที่รู้ว่าองค์รัชทายาทมาถึงแล้ว นางก็ลุกลงจากเตียงทันที เพื่อปรนนิบัติหลี่เฉินด้วยการถอดชุด “ได้ยินคนด้านล่างบอกว่า วันนี้เจ้าไปพบมารดาของเจ้าอีกแล้วหรือ?” หลี่เฉินถามอย่างสบายๆ จ้าวหรุ่ยพูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่เพิ่งมาถึงที่นี่และไม่คุ้นเคยกับทุกอย่างในเมืองหลวง นอกจากนี้ บิดาก็ออกไปชานเมืองเพื่อดูแลผู้ประสบภัย จึงไม่มีคนรู้จักที่สามารถพูดคุยได้ หม่อมฉันจึงออกไปเยี่ยมสักรอบ” หลี่เฉินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ในฐานะลูกสาว เจ้าควรมีความกตัญญู คราวหน้าถ้าเจ้าจะออกไปอีกครั้ง ก็ไปเลือกของขวัญในคลังเพื่อนำติดตัวไปด้วย ถือว่าเป็นสินน้ำใจจากข้า” จ้าวหรุ่ยยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทแทนมารดาเพคะ”“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา บิดาของเจ้าทำผลงานได้ดี ข้าได้รับข่าวสารทุกวันว่า การจัดการค่ายชั่วคราวสำหรับผู้ประสบภัยพิบัตินั้นเป็นไปอย่างมีระเบียบ แม้แต่สวีฉังชิงจากกรมครัวเรือนก็ยังยกย่องพ่อของเจ้าสำหรับความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขา จริงๆ
เสียงหัวข้าะเบาๆ ของต้วนจิ่นเจียง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหัวข้าะลั่น ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวข้าะคลุ้มคลั่ง ต้วนจิ่นเจียงราวกับเสียสติ เงยหน้าหัวข้าะอย่างบ้าคลั่ง แม้สายฝนเย็นเฉียบสาดซัดใส่ใบหน้า เขาก็ยังไม่หยุดหัวข้าะ “ดี! ดีมาก!” ต้วนจิ่นเจียงหัวข้าะจนแทบหายใจไม่ออก เขาชี้ไปที่หลี่เฉิน กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “องค์รัชทายาท เจ้านี่ช่างเป็นผู้ถูกมังกรคุ้มครองแท้จริง แม้หลี่อิ๋นหู่กับจ้าวเสวียนจีจะร่วมมือกัน ก็ยังโค่นเจ้าไม่ลง!” “ข้าเพียงเสียดาย ที่ยามท่านอ่อนแอที่สุด ข้ามิได้ลงมือเด็ดขาด ปล่อยให้เจ้าเติบโตมาจนถึงขั้นนี้ ข้า...เสียใจนัก!” สภาพของต้วนจิ่นเจียงเริ่มเข้าสู่ความคลุ้มคลั่งเต็มขั้น ดวงตาแดงฉาน ใบหน้าเหยเกดั่งอสูร “ทำไมกัน! ทำไมข้ารอบคอบวางแผนมาขนาดนี้ เจ้าถึงยังไม่ตาย! มันเป็นเพราะอะไร!” ในถ้อยคำนี้ เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความไม่ยอมแพ้อย่างถึงที่สุด “วางแผนรอบคอบย่อมดี แต่คนอย่างเจ้าที่เอาแต่ซุกซ่อนในมุมมืด ดุจหนอนใต้ซากศพ คอยวางแผนลอบกัดไปวันๆ ยังคิดหวังจะทำการใหญ่ได้หรือ?” หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ “ข้าไม่มีเวลามากพอจะปล่อยให้พวกเจ้าถ่วงเล่น มาเข้าเรื่องกัน
ตึก ตึก ตึก... เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะพร้อมเพรียงดังขึ้น ฟังแล้วชวนให้หัวใจพลุ่งพล่านอย่างไม่ทราบสาเหตุ พร้อมเสียงเกราะกระทบกัน สักพักหนึ่ง เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ลาน พวกเขาเคลื่อนที่อย่างมีระเบียบและได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ทันทีที่เข้าสู่ลาน ก็จัดรูปขบวนทันที ล้อมรอบกลุ่มของหลงไหวอวี้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบูรพกษัตริย์ การล้อมวงเช่นนี้ ทำให้ต้วนจิ่นเจียงรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันทีโดยสัญชาตญาณ “เกิดอะไรขึ้นหรือ อาจารย์?” หลงไหวอวี้ที่รู้สึกว่าต้วนจิ่นเจียงเริ่มตึงเครียดก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย ต้วนจิ่นเจียงตอบเสียงหนักแน่น “พวกทหารเหล่านี้กำลังล้อมข้าอยู่” ต้วนจิ่นเจียงซึ่งเคยเป็นขุนนางกระทรวงกลาโหม ย่อมมีพื้นฐานด้านการยุทธ เขาเพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่านี่คือรูปขบวนของทหารต้าฉิน ใช้สำหรับล้อมศัตรูกลุ่มเล็กโดยเฉพาะ หากเป็นคนของหลี่อิ๋นหู่หรือจ้าวเสวียนจี ต่อให้คิดฆ่าพวกเขาก็ไม่ควรจะเป็นเวลานี้ และยิ่งไม่ควรจะทำได้ง่ายดายเช่นนี้ ต้วนจิ่นเจียงหรี่ตาลง พยายามเพ่งมองเครื่องแบบเกราะของทหารเหล่านี้ หวังจะดูให้แน่ชัดว่าเป็นหน่วยใด แต่ด้วยความมืดของยามค่ำคืน และสายฝน
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล
ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส
“ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า
เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ