ฉินอวิ๋นฟานสีหน้าสงบ ไม่ลังเลใด ๆ ย่างเท้ามาถึงตรงหน้ามู่หรงจิ่นก่อนจะยิ้มบางเอ่ย “ได้ แต่โทษตายละเว้นได้ โทษเป็นยากจะหลีกหนี”“อะไรนะ? ท่าน ท่านไม่ตรองสักหน่อยก็ตอบตกลงแล้วหรือ”“รัชทายาท ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือไม่? เหลียงคังจวิ้นคือศัตรูของท่านนะ เป็นคนที่ลบหลู่ท่านกับพระชายารัชทายาทต่อหน้าผู้คน ท่านจะละเว้นชีวิตเขาหรือ?”“นี่พระชายารัชทายาทกำลังขอร้องแทนศัตรูของท่านอยู่นะ จะรับปากได้ยังไง?”......ทุกคนต่างประหลาดใจ เมื่อครู่ฉินอวิ๋นฟานยังมีท่าทีต้องเอาชีวิตเหลียงคังจวิ้นให้ได้ ทำไมแค่พระชายารัชทายาทเอ่ยขอคำเดียวก็ตอบตกลงแบบไม่คิดสักนิดแล้วเล่า?“น้องเจ็ด เจ้าบ้าไปแล้วกระมัง? เหลียงคังจวิ้นคือคนที่อยากจะเอาชีวิตเจ้านะ แล้วยังอยากได้ชายาของเจ้าด้วย เจ้าจะปล่อยคนประเภทนี้ไปอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่ควรสั่งสอนชายาของเจ้าต่อหน้าทุกคนหรือ? ทำไมยังรับปากคำขอของนางอีก?”องค์ชายรองดวงหน้าฉงนสนเท่ห์ แล้วยังสงสัยด้วยว่าตัวเองหูฝาก อิสตรีออกสิทธิ์ออกเสียงในราชสำนักได้ที่ไหน? แล้วยังเป็นปรปักษ์กับสามีตัวเองอีก ผู้หญิงประเภทนี้เรียกได้ว่าขาดการอบรมฉินอวิ๋นฟานไม่สนใจการถามอย่างสงสัยของทุกคน ทั
นางจะคิดได้ยังไงว่าฉินอวิ๋นฟานให้ความสำคัญกับนางขนาดนี้ กระทั่งไม่สนใจศักดิ์ศรี การที่รัชทายาททำเช่นนั้น มันทำให้หัวใจนางหวั่นไหวเล็กน้อยทันที“ขอบคุณรัชทายาทที่ละเว้นชีวิต ขอบคุณพระชายารัชทายาทที่ขอร้องให้ ขอบคุณขอรับ!”เหลียงคังจวิ้นตื้นตันใจคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นอย่างบ้าคลั่ง พ้นเคราะห์มาได้ อย่าพูดเลยว่าดีใจแค่ไหน ทว่าคำพูดต่อมาของฉินอวิ๋นฟานกลับทำลายความหวังของเขาอีกครั้ง“ข้าแค่บอกว่าไม่ฆ่าเจ้า ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยเจ้าไป เจ้าตื้นตันอะไร...”เห็นเพียงฉินอวิ๋นฟานยิ้มร้าย “ทหาร เอาตัวเหลียงคังจวิ้นไปตอนซะ”“อะไรนะ...”ครั้นได้ยินว่าจะถูกตอน เป้ากางเกงของเหลียงคังจวิ้นเย็นเฉียบทันที ไอเย็นยะเยือกแทรกเข้ากระดูกพุ่งขึ้นสมอง ล้มกองกับพื้นสีหน้าสิ้นหวังอีกหนท่ามกลางสายตาของทุกคน เหลียงคังจวิ้นเฉกเช่นสุนัขตัวหนึ่ง ถูกลากออกไปอย่างไร้อารมณ์ แม้จะเป็นองค์ชายใหญ่ก็ยังทำหน้าเย็นชาสามารถรักษาชีวิตของเหลียงคังจวิ้นได้ มู่หรงจิ่นใช้ความกรุณาและคุณธรรมที่สุดแล้ว ถ้านางยังขอร้องให้เหลียงคังจวิ้นอีก จะไร้มารยาทแล้วจริง ๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าฉินอวิ๋นฟานจะรับปากหรือไม่ แต่ไท่ซั่งหวงผู้อยู่สูง
การแข่งขันอยู่ตรงหน้า องค์ชายรองไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย ต่อหน้าพวกเขากำลังชิงสิทธิ์ในการตอบคำถามก่อน แต่ความจริงคือการชิงตำแหน่งในราชสำนักระหว่างพวกเขาสองคน ตอนนี้เขากับองค์ชายใหญ่ยังคงอยู่ในลู่วิ่งเดียวกัน ย่อมไม่ยอมให้องค์ชายใหญ่ข่มได้“ความสามารถหรือ? เจ้าก็เป็นแค่คนที่เคยแพ้ข้า มีสิทธิ์อะไรมาช่วงชิงกับข้า? หลีกไป!”องค์ชายใหญ่พูดเสียดสี“ท่าน... ท่านเองก็เคยแพ้น้องเจ็ดมิใช่หรือ มีสิทธิ์อะไรมาวางมาดต่อหน้าพวกเรา!”ถูกองค์ชายใหญ่ถากถางต่อหน้าสาธารณชน องค์ชายรองบันดาลโทสะ แม้รอบก่อนหน้านี้เขาจะแพ้องค์ชายใหญ่ก็จริง แต่ต่างก็เป็นผู้แพ้เหมือนกัน ยังจะทำตัวเด่นดังอะไร“พอที!”“ที่นี่คือราชสำนัก มิใช่สถานที่ที่ให้พวกเจ้าด่าสาดกัน!”ทั้งสองต่างไม่ลดราวาศอก ถกเถียงไม่จบไม่สิ้น ไท่ซั่งหวงสีหน้าอึมครึม ที่นี่คือราชสำนัก ขุนนางบุ๋นบู๊กำลังดูอยู่ อีกอย่างฮ่องเต้หญิงแคว้นเหมียวทางชายแดนตะวันตกก็อยู่ด้วย มีอย่างที่ไหน?“เสด็จปู่!”ครั้นถูกเสด็จปู่ตำหนิ ทั้งสองใบหน้าเปลี่ยนสี รีบค้อมตัวปิดปาก ไม่ต่อล้อต่อเถียงต่อทันทีเหมียวชิงอีมิได้ใส่ใจกับสถานการณ์เช่นนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ แววตานางอยู่ที่ตัวฉ
“หมื่นลี้เพื่อสิ่งใด ตรวจตรากำแพงเมืองยาว”“ข้าใช่เปี่ยมด้วยสามารถ ล้วนด้วยบรรพบุรุษสร้างสม”“กลศึกรัดกุมแสนหมื่น ล้วนเพื่อปวงประชา”เสียงซึ่งมีน้ำหนักของฉินอวิ๋นฟานเต็มไปด้วยพลัง ครั้นเอ่ยปากก็พาทุกคนเข้าสู่สมรภูมิหมื่นขุนศึกอันยิ่งใหญ่ พาลให้ทุกคนเกิดอารมณ์ตื่นเต้นทั่วตัวครั้นสะบัดพู่กันก็คือลายเส้นอันชดช้อย การจรดพู่กันที่ราวกับเมฆาคล้อยสายน้ำไหลมีพลัง ร่ายรำอยู่บนกระดาษเซวียนจื่ออย่างต่อเนื่อง ประดุจม้วนภาพงามวิจิตร ฝากเลือดร้อนของกษัตริย์และแม่ทัพที่ปกป้องบ้านเมืองแคว้นเว่ยเมื่อกลอนแต่ละวรรคออกมาจากปากของฉินอวิ๋นฟาน ทุกคนเคร่งขรึมให้ความเคารพ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง แต่ฉินอวิ๋นฟานมิได้จบเพียงเท่านี้!“มิกล้าไม่คิดไม่กังวล นอนสุขสมอยู่ในวัง”“พบขุนศึกที่น้ำเหนือ ธงรบหมื่นคัน”“ขุนเขานทีราง ๆ ทอดตามองหญ้าไกล ๆ”“ตีฆ้องหยุดทัพ ลั่นกลองเคลื่อนพล”“พันทหารหมื่นขุนพล ม้าดื่มชลข้างกำแพงยาว”“สารทอัสดงเมฆครึ้ม จันทร์กระจ่างเหนือหอเมือง”“ม้าเร็วห้อตะบึง สงครามปะทุแจ้งเกิด”“ขุนนางพิทักษ์เมืองรายงาน พบข่านลำพัง”“ภูผาฟ้าครามควันสลาย แสงสาดตะวันฉายเหนือนภา”“สันติสุขได้
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”ในแววตาขององค์ชายใหญ่เต็มไปด้วยความทึ่ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผลงานล้ำเลิศเช่นนี้จะออกมาจากมือของฉินอวิ๋นฟาน? เขาร่ำเรียนวรยุทธ์แต่เล็ก มีฝึกประสบการณ์ในค่ายทหารสามสิบกว่าปี มีกลอนชายแดนอะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น?อีกทั้งเขาเป็นคนที่เข้าใจเรื่องสงครามชายแดนมากที่สุดในบรรดาองค์ชาย ภาพห้ำหั่นเช่นนั้นเขารู้ซึ้งดี แต่อย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง เขาเตรียมตัวดีอย่างนั้นแล้ว เมื่อต่อหน้าฉินอวิ๋นฟาน กลับสู้ลมผายสุนัขไม่ได้สีหน้าองค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยแย่มากกว่า เดิมการประลองด้านบุ๋นเป็นขอบข่ายที่เขาชำนาญมากที่สุด นึกว่าจะสะกดข่มทุกคนในด้านนี้ได้ เอาชนะแบบสบาย ๆ ไม่คิดว่ามาถึงก็ถูกเหลียงคังจวิ้นฉีกหน้าและคิดไม่ถึงว่านี่ยังไม่ใช่เรื่องที่อนาถที่สุด ฉินอวิ๋นฟานแซงหน้ากะทันหัน กลับเอาชนะเหลียงคังจวิ้นอัจฉริยะอันดับหนึ่งได้ในเสี้ยววินาที ทั้งยังมีระดับพรสวรรค์พู่กันสูงยิ่งนิราศม้าดื่มน้ำข้างกำแพงยาวหนึ่งบท! ทำให้ทุกคนหุบปากสนิทใครจะกล้าสงสัยทักษะด้านวรรณกรรมของฉินอวิ๋นฟาน? ถ้าเขาสร้างผลงานสุดยอดแห่งยุคขึ้นมาอีกบทจะทำอย่างไร? นั่นมิใช่ฉีกหน้าหรือ? ดูท่าคนที่สามารถเอาชน
ดูจากการประลองด้านบุ๋น ฉินอวิ๋นฟานได้รับชัยชนะไปแล้ว แต่ฉินอวิ๋นฮุยกลับไม่ยินยอม ดนตรีคือรายการที่พิเศษอย่างยิ่งในการประลองด้านบุ๋น องค์ชายใหญ่ได้ใช้คนนอกช่วยไปแล้ว เช่นนั้นเขาจึงได้แต่ยอมแพ้ในเรื่องดนตรีดังนั้น สำหรับองค์ชายรอง นี่น่าจะเป็นการแข่งที่เขาต้องชนะเท่านั้น“เจ้าเชิญแม่นางเสี่ยวซวงกับแม่นางต้าซวงดังคาด เตรียมตัวดีจริงนะ”ทันทีที่ได้ยินชื่อแม่นางทั้งสอง สีหน้าองค์ชายใหญ่ก็บึ้งตึงทันที ก่อนหน้านี้เขาก็ไปหาแม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงเหมือนกัน ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะปิดประตูไม่รับแขกตามการสันนิษฐานของเขา เป็นไปได้มากว่าจะถูกฉินอวิ๋นฮุยชิงตัดหน้า ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง“ย่อมเป็นเช่นนั้น เรื่องสนุกยังอยู่ข้างหลัง พี่ใหญ่ต้องเตรียมใจไว้ให้ดีนะ”องค์ชายรองยิ้มร้าย“หึ เล่นลูกไม้!”องค์ชายใหญ่ไม่ได้ตระหนักความหมายเชิงลึกขององค์ชายรองในประโยคนี้ และเพราะว่าเขาไม่ให้ค่า จึงทำให้เขาเสียเปรียบในการประลองด้านบุ๋นเป็นอย่างมาก“เฮ้ย แฝดหรือนี่?”ทันทีที่แม่นางทั้งสองก้าวเข้ามาในตำหนักใหญ่ ฉินอวิ๋นฟานตาโตจนเกือบร้องอุทานออกมาการปรากฏตัวของทั้งสองกลายเป็นจุดวิวที่โดดเด่น สาย
“ไร้ยางอาย!”องค์ชายใหญ่ด่าทอคำหนึ่งด้วยหน้าตาบึ้งตึงแม้รอบนี้องค์ชายทุกคนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันชิงบัลลังก์ได้ แต่ตามกติกาการแข่งขัน นี่คือการแข่งตัดสินระหว่างเขากับองค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุย คนอื่นเข้าร่วมก็เป็นได้แต่ไม้ประดับเดิมการประลองด้านบุ๋นเป็นรายการถนัดของฉินอวิ๋นฮุย เป้าหมายแรกขององค์ชายใหญ่คือชนะรอบเดียวก็พอแล้ว ถ้ามีคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือสูสีกันในการแข่งพู่กัน โดยรวมแล้วก็คือสำเร็จภารกิจในการประลองด้านบุ๋นด้านการประลองด้านบู๊ เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะกดองค์ชายรองได้ทุกด้าน เช่นนี้เขาจะกุมบัลลังก์ได้อย่างมั่นคงแล้วจู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็แซงโค้งมา เอาชนะสองรอบติดต่อกัน เหนือความคาดหมายของพวกเขาสองคนโดยสมบูรณ์ แต่สำหรับองค์ชายใหญ่ นี่คือเรื่องดีอย่างไม่ต้องสงสัย ประลองด้านบุ๋นจบแต่เพียงเท่านี้ เท่ากับว่าฉินอวิ๋นฮุยแพ้ในการประลองด้านบุ๋นราบคาบ!คิดไม่ถึงว่าผลการประลองด้านบุ๋นจะชี้ชัดแล้ว แต่ฉินอวิ๋นฮุยก็ไม่คิดยอมแพ้ กลับเชิญแม่นางเสี่ยวซวงต้าซวงสองพี่น้องมาด้านดนตรี ทักษะของพวกนางสองพี่น้องเรียกได้ว่ารู้กันทั่ว นี่มิใช่ชัยชนะที่ตัดสินอยู่แล้วหรือ?องค์ชายรองพูดถากถาง “เ
ฉินอวิ๋นฟานยกยอปอปั้นอย่างไม่ลังเลสักนิด เขาพูดต่อว่า “ข้าชอบผู้มีความสามารถ มั่นใจว่ามีทักษะด้านดนตรีเล็กน้อย ชั่วดีดนิ้วสามารถเป็นหนึ่งเพลง อยากแข่งดนตรีกับแม่นางทั้งสองสักหน่อย ไม่ทราบว่าจะแลกเปลี่ยนเชิงลึกกับแม่นางทั้งสองได้หรือไม่?”มู่หรงจิ่นจ้องท่าทางเล่นหูเล่นตาของฉินอวิ๋นฟาน มุมปากกระตุกทีหนึ่งทันที เจ้าหมอนี่เอาอีกแล้วนะคนอื่นอาจไม่รู้ความหมายเชิงลึกในถ้อยคำของฉินอวิ๋นฟาน สามวันมานี้นางได้ยินมาไม่น้อยจริง ๆ กระทั่งเห็นฉินอวิ๋นฟาน ‘ชี้แนะ’ เสี่ยวจวี๋กับตาตัวเองภาพนั้นทำให้นางแทบมองดูตรง ๆ ไม่ได้ใบหน้าของสองดรุณีราบเรียบ แม้จะอยู่ในราชสำนัก อีกทั้งตรงหน้ายังเป็นรัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าเฉียน แต่พวกนางก็ยังทำตัวเป็นธรรมชาติปกติ ไม่มีอาการตื่นตระหนกแม้แต่น้อยสำหรับความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของฉินอวิ๋นฟาน พวกนางไม่ได้คิดมาก ต้าซวงจึงตอบ “นึกไม่ถึงจริง ๆ รัชทายาทจะศึกษาดนตรีด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราพี่น้องก็คาดหวังเหลือเกินว่าจะได้ประลองกับรัชทายาทสักหน่อยเจ้าค่ะ”“รัชทายาทเชิญ!”ต้าซวงทำมือเชื้อเชิญ ท่าทีเคารพมีมารยาท“แม่นางทั้งสอง พวกเราต่างเป็นคนศึกษาดนตรี คิดว่าพว